ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 5 บทที่ 144 เปลวเพลิงหลังบ้าน
“หากพระชายามีอาการอันใดให้รีบแจ้งข้าทันที”
หลงเทียนอวี้ยืนอยู่ข้างเตียงของหลินเมิ้งหยา ออกคำสั่งกับป๋ายจี
“เจ้าค่ะ”
หลังจากถวายคำนับ ป๋ายจีกลับมาสุขุมดังเดิม
เขาจ้องมองร่างบางบนเตียง หลงเทียนอวี้รู้สึกไม่อยากออกห่างจากห้องนี้เลยแม้แต่น้อย
แม้ห้องของหลินเมิ้งหยาจะตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นของยา ทว่าหลงเทียนอวี้กลับรู้สึกอบอุ่น
ด้านนอกห้อง พระอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว สายลมยามค่ำคืนพัดกระทบร่าง
“หลินขุ๋ย ตรวจสอบได้ความว่าอย่างไร? ”
หลังจากที่หมิงเยว่มาถึงจวน นางถูกส่งไปยังเรือนเล็กเงียบสงบทันที
หลงเทียนอวี้รู้ดีว่าพระสนมเต๋อเฟยพยายามมากขนาดไหน แต่หมิงเยว่หาใช่ผู้หญิงที่เขาจะจริงใจด้วยไม่
เขายอมรับ หมิงเยว่มีหน้าตาที่งดงาม
แม้ลักษณะภายนอกจะดูเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากกว่าหลินเมิ้งหยา
ทว่า นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอนาง ความรังเกียจพลันผุดขึ้นในใจของเขาทันที
หมิงเยว่มีบางอย่างคล้ายคลึงกับพระสนมของเสด็จพ่อ
เขาเกิดในตระกูลของฮ่องเต้ ได้เห็นเลือดและหอกดาบจนชิน เคยเห็นกลอุบายอันแสนสกปรก เคยเห็นคนที่ยืมมือผู้อื่นฆ่าคน
ทว่า หลินเมิ้งหยากลับมีความจริงใจที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน
การได้นางมาอยู่ข้างกาย เสมือนหัวใจถูกเติมเต็ม
นางมิใช่คนประจบประแจง อีกทั้งยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทว่า ทุกการกระทำกลับแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา
นางโหดเหี้ยมเฉพาะกับคนที่เข้ามายุ่มย่ามกับนางก่อน
นางปฏิบัติกับทุกคนด้วยความเที่ยงธรรม รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนหวาน
หากไม่มีนาง เกรงว่าจวนแห่งนี้คงมีแต่เพียงความเหงา
“ตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระสนมเต๋อเฟยเป็นผู้ที่ส่งคนไปคุยกับฮ่องเต้หมิง แต่เรื่องนี้ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับป๋ายหลี่อู๋เฉินด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลินขุ๋ยกับป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นเพื่อนสนิทกัน
ทว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอ๋อง เขาไม่อาจปกปิดสิ่งใดได้
“เกี่ยวข้องกับป๋ายหลี่อู๋เฉิน? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ”
กลับไปยังห้องของตนเองก่อนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดแน่น
“ท่านน้าจิ่นเยว่เอ่ยว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นผู้เข้าไปพูดโน้มน้าวพระสนมเต๋อเฟยก่อน ฉะนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงส่งคนไปหาฮ่องเต้หมิงพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่นเยว่มองคนออก แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใด นางไม่ค่อยรับฟังความเห็นของน้าจิ่นเยว่
จิ่นเยว่ไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองแม่ลูกต้องหมางเมิน ดังนั้นจึงมักจะพยายามเป็นกระบอกเสียงให้ทั้งคู่อยู่เสมอ
“ป๋ายหลี่อู๋เฉินตัวดี ข้าคิดว่าเขาคงจะลืมหน้าที่ของตนเองไปแล้ว”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ถึงกระนั้นความภักดีของเขาก็ไร้ซึ่งข้อกังขา
แต่ไม่รู้ช่วงนี้เขาถูกสิ่งใดกระตุ้น ดังนั้นจึงมักตัดสินใจแทนเข้าเสมอ
มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขาจะไม่ยอมทนเฉย
การกระทำของเขาในครั้งนี้กระตุ้นต่อมโกรธของหลงเทียนอวี้
ภายในตำหนักหยาเสวียน นานมากแล้วที่ไม่มีเสียงหัวเราะ
หมิงเยว่มาที่นี่เพื่อทำให้พระสนมเต๋อเฟยคลายเหงา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับคนตรงไปตรงมาอย่างหลินเมิ้งหยา นางมักจะใช้วาจาอ่อนหวานเย้าแหย่พระสนมเต๋อเฟย
ปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตนเองเอาไว้จนมิด ผันตัวเป็นกุลสตรีผู้สง่างาม ดังนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงใจอ่อนเมื่อเห็นนาง
แต่ว่า…มีได้ก็ย่อมมีเสีย
ท่าทางอ่อนโยนอ่อนหวานเช่นนี้ มิใช่คนที่พระสนมเต๋อเฟยจะเลือกมาเป็นพระชายาเอกอย่างแน่นอน
ไม่ว่าที่ซีฟานหรือต้าจิ้น ผู้ที่ช่วยค้ำจุนฟู่จวินได้ต่างหาก จึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งชายาเอก
ยกเว้นว่าหลินเมิ้งหยาจะเจ็บไข้ได้ป่วยจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้หรือตายไป
เช่นนั้นตำแหน่งชายาเอกก็จะตกอยู่ในกำมือของหญิงสาวตรงหน้า
“องค์หญิงทั้งงดงามและอารมณ์ดี พระสนมเต๋อเฟยมิได้อารมณ์ดีเช่นนี้มานานแล้วเพคะ”
จิ่นเยว่ยกขนมมาด้วยตนเอง ทว่าดวงตาเผยให้เห็นร่องรอยของความผิดหวัง
“นับเป็นเกียรติของเยว่เอ๋อร์ยิ่งนัก ตอนที่ยังอยู่บ้าน เสด็จแม่มักจะรับสั่งเสมอว่าสุภาพสตรีอันดับหนึ่งแห่งต้าจิ้นมิใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพระสนมเต๋อเฟย วันนี้หม่อมฉันได้มาเห็นกับตาตัวเองแล้ว รู้สึกว่าพระองค์งดงามสมคำร่ำลือยิ่งนัก หากเยว่เอ๋อร์สามารถเรียนรู้งานได้สักครึ่งหนึ่งของพระองค์ เช่นนั้นหม่อมฉันจะต้องเก่งขึ้นอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงอ่อนหวานละมุนละไม ทุกคำพูดที่เอื้อนเอ่ยล้วนแสดงให้เห็นถึงความเคารพนับถือ
พระสนมเต๋อเฟยหยักยิ้มอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าพระองค์ชอบคำชมเช่นนี้มาก
“ปากหวานเสียนี่กระไร เหมือนกับหย๋าเอ๋อร์ไม่มีผิด จิ่นเยว่ หย๋าเอ๋อร์อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเมิ้งหยาเจ็บไข้ได้ป่วยจนนอนซม พระสนมเต๋อเฟยรู้ต้นสายปลายเหตุดีว่าเพราะอะไร
เหตเพราะร่างกายเปียกฝนจึงทำให้เจ็บป่วย
ร่างกายของเด็กคนนี้แท้จริงอ่อนแอ เพียงเพราะลมหนาวก็สามารถทำให้นางเจ็บป่วยเกือบตายได้ หากภายภาคหน้ามีหลานให้กับนาง หลานของนางจะมิอ่อนแอตามกระนั้นหรือ?
เมื่อเทียบกับหมิงเยว่ ร่างกายของนางเหมาะสมยิ่งกว่า
บางที นางอาจเลือกชายารองได้ถูกคนแล้ว
“หย๋าเอ๋อร์อาการดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยหมู่เฟยที่เป็นห่วง”
ขณะที่จิ่นเยว่ไม่รู้ว่าจะกราบทูลพระสนมเต๋อเฟยเช่นไร เสียงของหลงเทียนอวี้พลันดังขึ้นจากทางด้านหลัง
พวกนางหันหน้าไปมอง ก่อนจะได้เห็นหลงเทียนหยู๋ในชุดสีทองเข้มเดินสาวเท้ายาว ๆ เข้ามา
“เอ๋อร์จื่อถวายคำนับหมู่เฟย”
แม้จะเปลี่ยนชุดแล้ว แต่กลิ่นยายังคงติดตัวมา ดังนั้นภายในห้องโถงจึงเต็มไปด้วยกลิ่นยาจากตัวของเขา
พระสนมเต๋อเฟยขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความกังวล
“หมู่เฟยรู้ว่าเจ้าเอ็นดูพระชายามาก แต่เมื่อเจ้านายป่วย คนที่ต้องคอยปรนนิบัติรับใช้คือสาวใช้ เหตุใดเจ้าต้องไปขลุกอยู่ที่นั่นให้เสียเรื่อง หากเกิดเจ็บป่วยตามมา คนทั้งจวนคงลำบากไปหมด”
ใช่ว่าพระสนมเต๋อเฟยจะไม่เอ็นดูหลินเมิ้งหยา แต่นางเอ็นดูลูกชายของตนเองมากกว่า
โดยเฉพาะ หลังจากที่ได้เห็นหลงเทียนอวี้เอาใจใส่หลินเมิ้งหยาเป็นอย่างมาก หัวใจของนางทั้งรู้สึกยินดีและกังวล
ลูกชายของนางต้องทำการใหญ่ให้สำเร็จ
การรักและเอ็นดูผู้หญิงคนเดียวมิใช่เรื่องดี
หากมิใช่เพราะฮ่องเต้รักและเอ็นดูพวกนางสองแม่ลูก เกรงว่าฮองเฮาก็คงไม่เคียดแค้นพวกนางถึงเพียงนี้
“เอ๋อร์จื่อรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้หย๋าเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรแล้ว หมู่เฟยได้โปรดวางพระทัย”
หลงเทียนหยู๋หลุบตาต่ำ สายตามิเลื่อนไปมองหมิงเยว่เลยแม้แต่น้อย
แม้นางจะสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามหลากสีสัน เกล้าผมสูงดูสง่างามดึงดูดสายตา
แต่นางกลับเทียบไม่ได้กับหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีดอย่างหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา
“ท่านอ๋อง นี่เป็นยาบำรุงร่างกายที่เสด็จพ่อนำมาให้เพคะ ยาชนิดนี้เป็นสูตรลับของราชวงศ์แห่งซีฟาน แก้อาการหนาวสั่นได้เป็นอย่างดี พระองค์ลองเอาไปให้พระชายากินดูเถิดเพคะ”
นางรับกล่องไม้ขนาดเล็กมาจากสาวใช้ที่อยู่ทางด้านหลัง
กล่องไม้รูปร่างหน้าตาธรรมดา ทว่ากลับบ่งบอกถึงความเป็นซีฟานได้อย่างชัดเจน
“ไม่จำเป็น หมอหลวงมีความรู้ความสามารถ ตอนนี้หย๋าเอ๋อร์อาการดีขึ้นแล้ว”
ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย หลงเทียนอวี้รู้สึกได้ว่าคนของฮ่องเต้หมิงมิได้ประสงค์ดีกับหลินเมิ้งหยา
“อวี้เอ๋อร์ องค์หญิงมีน้ำพระทัย เหตุใดจึงปฏิเสธเยี่ยงนี้”
พระสนมเต๋อเฟยเอ่ยด้วยความไม่พึงพอใจ แต่นางรู้ดีว่าอวี้เอ๋อร์มีอุปนิสัยดื้อรั้น
เกรงว่าบ้านเล็กที่นางเป็นผู้เลือกให้เขาในครานี้ จะทำให้เขาตั้งแง่กับองค์หญิงหมิงเยว่เสียแล้ว
ดังนั้นในเมื่อไม่มีทางเลือก แต่ถ้าหากทั้งสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง อวี้เอ๋อร์อาจจะมองเห็นความดีของหมิงเยว่ก็ได้
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ไม่สำคัญ ขอเพียงได้ผลลัพธ์ออกมาก็เพียงพอ
“ไม่เป็นไรเพคะ พี่รองเคยปฏิบัติกับพระชายาไม่ดี สมควรแล้วที่ท่านอ๋องจะไม่ไว้พระทัย”
มิได้แสดงสีหน้าอึดอัดออกมา แต่กลับเผยให้เห็นถึงความเข้าอกเข้าใจ
พระสนมเต๋อเฟยพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่อุปนิสัยใจคอของลูกชายตนเองดื้อรั้นจนเกินไป
“แม้จะเคยเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น แต่ถึงอย่างไรองค์หญิงหมิงเยว่กับพวกเราก็มิใช่คนอื่นคนไกลกันแล้ว อวี้เอ๋อร์ รีบรับของเถิด”
พระสนมเต๋อเฟยบีบบังคับ หลงเทียนอวี้รู้สึกไม่พึงพอใจ
แม้แต่ก่อนจะถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับหลินเมิ้งหยา แต่เขายังไม่เคยโกรธมากขนาดนี้
หมู่เฟยเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
“หมู่เฟย เอ๋อร์จื่อยังมีเรื่องให้ต้องทำ กระหม่อมขอทูลลา”
ยิ่งพูดยิ่งยุ่งยาก หลงเทียนอวี้ลุกขึ้นแล้วจากไป
ทิ้งพระสนมเต๋อเฟยและหมิงเยว่ไว้ทางด้านหลัง หลงเทียนอวี้กลับไปพร้อมความโกรธ
ดวงตาคู่สวยเจือไว้ซึ่งความโศกเศร้า พระสนมเต๋อเฟยไม่รู้ว่าควรเอ่ยรั้งลูกชายตนเองอย่างไร
หลังจากเด็กคนนี้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พวกนางก็ยิ่งรู้สึกเหินห่างกันมากขึ้นทุกที
เพราะเหตุใดอวี้เอ๋อร์จึงโกรธเกรี้ยวมากถึงเพียงนี้?
ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อเขามิใช่หรือ?
“เหนียงเหนียง ในฐานะที่เป็นผู้หญิง หม่อมฉันอดนึกอิจฉาพระชายาไม่ได้เลยเพคะ ท่านอ๋องให้ความสำคัญพระชายามากเหลือเกิน แม้แต่ที่ซีฟานก็หาคนอย่างท่านอ๋องได้ยากยิ่ง”
ดวงตาของหมิงเยว่เผยให้เห็นความอิจฉา
พระสนมเต๋อเฟยยิ่งคิดยิ่งรู้สึกดีใจไม่ออก
คิดไม่ถึงเลยว่าลูกของนางกับหลินเมิ้งหยาจะรักกันหวานซึ้งถึงเพียงนี้
บางทีอาจเป็นไปตามที่ป๋ายหลี่อู๋เฉินพูดเอาไว้ไม่ผิด หลินเมิ้งหยาจะกลายเป็นอุปสรรคในความสำเร็จของหลงเทียนอวี้
ทว่า เมื่อหวนคิดดูอีกครั้ง หลินเมิ้งหยาเป็นคนฉลาด บางทีอาจเพราะอาการเจ็บป่วย ดังนั้นอวี้เอ๋อร์จึงรู้สึกกังวล
“ใช่แล้ว แต่การได้รับองค์หญิงเข้ามาก็ถือว่าชีวิตนี้ไม่เสียเปล่า”
หมิงเยว่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก ตอนแรกนางคิดจะมาที่นี่เพื่อสร้างความร้าวฉานระหว่างพระสนมเต๋อเฟยและหลินเมิ้งหยา
แต่ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าพระสนมเต๋อเฟยพึงพอใจในตัวลูกสะใภ้คนนั้นเหลือเกิน
นางหยักยิ้ม ทว่าในใจคิดหาวิธีอื่น
ภายในตำหนักหลิวซิน สาวใช้ทั้งสี่ รวมถึงหลินจงอวี้และชิงหูไม่ได้นอนหลับสนิทกันมาหลายวันแล้ว
ง่วง…แต่ก็ทำเพียงฟุบหลับข้างเตียงหลินเมิ้งหยาประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
หิว…วิ่งออกไปกินข้าวเพียงไม่กี่คำแล้วก็รีบวิ่งกลับเข้ามา
ฉะนั้น ทุกคนจึงซูบผอมลง
โดยเฉพาะเยว่ฉีและป๋ายจื่อที่อายุยังน้อย ดวงตาของพวกนางแดงก่ำ ปูดบวมเหมือนลูกท้อ
“ยาก็กินแล้ว โจ๊กก็กินแล้ว พวกเจ้าหมั่นเช็ดตัวให้พระชายา หากที่นอนเปียก จงรีบเปลี่ยนทันที ช่วงบ่ายสามารถโดนลมได้สักครึ่งชั่วโมง ส่วนเวลาอื่นให้ปิดประตูหน้าต่างจนสนิท อีกทั้งยาที่หมอหลวงจ่ายให้ จะต้องทำให้อุ่นอยู่เสมอ ยาจึงจะออกฤทธิ์ดี”
หมอหลวงอายุมากแล้ว เขามิอาจนั่งเฝ้าได้อย่างพวกเด็กอายุยังน้อยเหล่านั้น
กำชับเรียบร้อย ก่อนจะกลับไปยังห้องพักที่พ่อบ้านเติ้งจัดเตรียมไว้ให้