ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 6 บทที่ 174 พระชายาหลิงหนาน
พิศมองดูแล้วนางมีอายุราวสามสิบกว่าๆ เท่านั้น
รูปร่างอวบ ใบหน้างดงามดั่งดอกฝูหรงมีเสน่ห์น่าดึงดูด
ที่ต่างจากฮูหยินธรรมดาทั่วไปคือร่างกายของหญิงผู้นี้มีฝุ่นเกาะเกรอะกรัง
แต่ท่าทางของนางที่แสดงออกมากลับหยิ่งยโสยิ่งนัก
หลินเมิ้งหยาคาดเดาว่านางจะต้องเป็นชายารองของใครสักคนอย่างแน่นอน
แม้จะเป็นชายาเอกแต่ตำแหน่งก็คงไม่สูง
“นั่นมันชายาฉินอันมิใช่หรือ? เพิ่งจะตะเกียกตะกายได้ตำแหน่งชายาเอกมาไม่นานก็กล้าลองดีกับพระสนมเต๋อเฟยแล้วอย่างนั้นหรือ นังคนไม่เจียมตัว”
เสียงชั่วร้ายเสียงหนึ่งดังขึ้น หลินเมิ้งหยาเบนสายตาไปยังหญิงผู้นั้น
แม้ผู้หญิงคนนั้นจะมีท่าทางสูงสง่าทว่าสายตากลับมีร่องรอยของความชั่วร้ายแฝงอยู่
ยิ่งได้ยินคำพูดคำจาของนางแล้วคาดว่าภูมิหลังทางครอบครัวจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
ผลปรากฏว่าหลังจากที่ชายาฉินอันได้เห็นหญิงสาวชั่วร้ายคนนั้น นางไม่กล้าส่งเสียงใดๆ อีก
ทว่าสายตาเผยให้เห็นความไม่พึงพอใจ
“ถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย ถวายคำนับพระชายา”
แม้จะเข่นเขี้ยวในใจแต่ก็ต้องถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟยและหลินเมิ้งหยาตามกฎระเบียบของวังหลวง
หลินเมิ้งหยาถวายคำนับกลับ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระสนมเต๋อเฟยนางไม่อาจพูดอะไรได้อย่างใจคิด
“ชายาหลิงหนาน ไม่ได้เจอกันนานมากแล้วเจ้ายังสุขสบายดีเหมือนก่อนไม่มีผิดเพี้ยน หยาเอ๋อร์ หากลองไล่ลำดับดูแล้วนางคือน้าคนที่หกของเจ้า”
ชายาหลิงหนาน? หลินเมิ้งหยาเงยหน้ามองสำรวจผู้หญิงตรงหน้า
เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้ นางเจอกับชายาหลิงหนานตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าเลยอย่างนั้นหรือ?
แต่ดูเหมือนว่าพระสนมเต๋อเฟยจะรู้จักผู้หญิงตรงหน้าเป็นอย่างดี
หรือผู้หญิงที่ไม่สนใจใยดีฟู่จวินของตนเองจะมีเรื่องราวในอดีตกับพระสนมเต๋อเฟยกันนะ?
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่
เกี้ยวเล็กนำแขกฝ่ายหญิงมาส่งที่ตำหนักชุนเอิน
หลินเมิ้งหยาพาป๋ายซูมาด้วย เหตุเพราะพระสนมเต๋อเฟยกลัวว่านางจะปฏิบัติผิดกฎระเบียบ ดังนั้นจึงส่งจิ่นเยว่ให้มาคอยกำกับอยู่ข้างๆ
“ท่านน้า เหตุใดชายาคนนั้นจึงดูสนิทสนมกับพระสนมเต๋อเฟยหรือ?”
ด้านในเกี้ยว หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
จิ่นเยว่กระซิบตอบเสียงเบาเพื่อคลายข้อสงสัยของนาง
“ชายาหลิงหนานเป็นญาติผู้น้องของพระสนมเต๋อเฟยเพคะ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก ยิ่งไปกว่านั้น แม้พระชายาจะไม่มีทายาท แต่ท่านก็ได้รับความรักจากท่านอ๋อง แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ของพระสนมเต๋อเฟยด้วยเพคะ”
ไม่มีทายาทแต่กลับได้รับความรักจากฟู่จวิน
หลินเมิ้งหยาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ถึงอย่างไรสิ่งที่ผู้หญิงในสมัยโบราณต้องการก็คือความรัก
อยู่ๆ ความรักระหว่างพระสนมเต๋อเฟยกับชายาหลิงหนานก็แปลกไป
หญิงผู้งดงามไร้ที่ติกับองค์ชายผู้เริงร่า เพราะเหตุนี้ทุกคนจึงสนใจเรื่องนี้อย่างนั้นสินะ
ตำหนักชุนเอินมีการตกแต่งใหม่เหตุเพราะต้องเตรียมต้อนรับงานวันไหว้พระจันทร์ในวันที่สิบห้าเดือนแปด
จิ่นเยว่พยุงหลินเมิ้งหยาไปพักผ่อนที่อีกฝั่ง
ด้านในพระสนมเต๋อเฟยนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ส่วนรองลงมาคือชายาหลิงหนาน
“หยาเอ๋อร์ รีบมานี่เร็วเข้า กำลังพูดถึงเจ้าพอดีเลย มานั่งกับเปิ่นกงตรงนี้เถิด”
เมื่อเดินเข้าประตูไปพระสนมเต๋อเฟยก็กวักมือเรียก
นางเดินเข้าไปท่ามกลางพระสนมและพระชายาทั้งหลาย บางคนเคยพบนางแล้ว บางคนเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก
คนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับนางจึงเริ่มเล่าวีรกรรมของนางอีกครั้ง
“เพคะ”
เดินเข้าไปอย่างมีมารยาท ใบหน้าของนางงดงามมีเสน่ห์ เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้หญิงเหล่านั้นกลับยิ่งโดดเด่น
ดังนั้นสายตาไม่พึงพอใจหลายคู่จึงจับจ้องมา แต่ถึงกระนั้นนางก็มิได้แปลกใจ
“เฮ้อ พวกเราล้วนแก่แล้ว เมื่อก่อนตอนที่เจออ๋องอวี้ เขายังเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย ตอนนี้เขามีภรรยาแล้วเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน”
ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างชายาหลิงหนานกับพระสนมเต๋อเฟยจะไม่เลวเลยนี่นา
หลินเมิ้งหยาที่อยู่ต่อหน้าพระสนมเต๋อเฟยแสดงตัวเป็นลูกสะใภ้ที่ดีและว่านอนสอนง่าย
นางยกยิ้ม ก้มหน้าลงแสดงท่าทางเขินอาย
“จริงสิพี่เต๋อเฟย ที่มาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากรบกวนท่าน”
หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป คำพูดของชายาหลิงหนานทำให้หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปมองพระสนมเต๋อเฟย
“โอ้? เรื่องอะไรเล่า บอกให้ข้าฟังเถิด”
เห็นได้ชัดว่าพระสนมเต๋อเฟยกำลังอารมณ์ดี ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
“ฮุ่ยเอ๋อร์ มานี่ซิ มาถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย”
ครู่ต่อมาหญิงสาวสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์เยื้องย่างเข้ามาหยุดตรงหน้าพระสนมเต๋อเฟยก่อนจะถวายคำนับ
หลินเมิ้งหยาลอบสำรวจหญิงสาวคนนี้ หุ่นเพรียวบางร่างน้อย ใบหน้านวลเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน
ยิ่งสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์นางยิ่งดูงดงามไร้เดียงสา
สีแดงระเรื่อประดับบนข้างแก้มทั้งสองข้าง แสดงท่าทีเขินอาย
“ฮุ่ยเอ๋อร์ถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย ถวายคำนับพระชายาอวี้”
ส่งเสียงอ่อนโยนระคนเขินอาย นางเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามหาตัวจับยากคนหนึ่ง ทว่าแผนการหนึ่งกลับผุดขึ้นในใจของหลินเมิ้งหยา
“ลุกขึ้นเถิด นี่คือ…”
พระสนมเต๋อเฟยสำรวจเด็กสาวตรงหน้าก่อนจะหันไปมองชายาหลิงหนานด้วยความสงสัย
“นี่คือลูกสาวคนโตของพี่ชายหม่อมฉัน นามว่าซ่างกวนฮุ่ย ปีนี้อายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ เป็นเด็กสาวที่รู้ความและฉลาดเฉลียวเพคะ”
ต่อให้หลินเมิ้งหยาโง่แต่นางก็ยังรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร
ชำเลืองมองซ่างกวนฮุ่ย ท่านอ๋องของนางมีคนมาหลงรักกี่คนกันแน่ เหตุใดจึงมีสาวน้อยสาวใหญ่พยายามทอดกายถวายตัวให้กับเขามากมายเช่นนี้?
หรือคิดว่านางเป็นเด็กสาวที่รังแกได้ง่ายๆ?
ตอนนี้สมองของหลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งความประทับใจต่อชายาหลิงหนาน
“อืม ไม่เลว เมืองหลวงมีหนุ่มรูปงามมากความสามารถมากมาย ไม่ทราบว่าคุณหนูซ่างกวนมีคนที่ถูกใจแล้วหรือไม่?”
จิตใจของพระสนมเต๋อเฟยยากแท้หยั่งถึง แม้จะมิได้เอ่ยโดยตรงแต่ก็พูดปฏิเสธทางอ้อม
“การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่จึงต้องฟังการตัดสินใจจากท่านพ่อและท่านแม่ ยิ่งไปกว่านั้นฮุ่ยเอ๋อร์ก็แล้วแต่ท่านน้าจะจัดการด้วยเพคะ”
หลินเมิ้งหยารู้สึกไม่อาจทนฟังต่อไปได้ นับตั้งแต่เจียงหรูฉินจนกระทั่งหมิงเยว่ หญิงสาวที่ประทับใจในตัวท่านอ๋องของนางมีไม่น้อยกว่าหนึ่งคน
ดูเหมือนนางควรจะแสดงสิทธิในฐานะพระชายาเอกบ้างแล้ว
“อืม คุณหนูซ่างกวนพูดมีเหตุผล มิเหมือนกับท่านอ๋องของข้า พระองค์ล้วนฟังคำพูดของข้าไปเสียหมด น่าเสียดายข้าเองก็หาใช่คนใจกว้าง เกรงว่าจะทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ต้องเสียใจตามกันไป”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาฟังดูราวกับล้อเล่นขบขัน แต่กลับทิ่มแทงใจยิ่งนัก
ในสายตาของผู้อื่นหลินเมิ้งหยาเป็นคนอ่อนโยนและน่าคบหา
นางไม่พูดมากแต่ก็มิเคยหาเรื่องผู้อื่น
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าวันนี้อุปนิสัยของนางจะเปลี่ยนไป คำพูดของนางทำให้ผู้อื่นไม่กล้าต่อกรด้วย
“ชายาอวี้….นี่….นี่หมายความว่าอย่างไรอย่างนั้นหรือ…”
แม้ชายาหลิงหนานจะไม่พอใจ ทว่าตอนนี้มีคนอยู่ในวังมากมาย ดังนั้นจึงไม่อยากถูกฉีกหน้า
“ข้าหมายความว่าอย่างไร? พระชายาน่าจะรู้ดีที่สุด”
หลินเมิ้งหยาสบตาชายาหลิงหนานอย่างไม่กลัวเกรง แววตาเจือไว้ซึ่งความเย็นชา
ถ้าหากชายาหลิงหนานมีความสัมพันธ์อันดีกับพระสนมเต๋อเฟยจริง คาดว่านางคงพาคุณหนูซ่างกวนไปดูตัวถึงจวนอวี้แล้ว
แต่เพราะเหตุใดนางจึงมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนกัน
แม้พระสนมเต๋อเฟยจะอนุญาตแต่นางเป็นชายาอวี้ดังนั้นย่อมมีสิทธิมีเสียง
แต่ถ้าหากพระสนมเต๋อเฟยไม่อนุญาตเช่นนั้นเสียงซุบซิบนินทาคงแพร่กระจายให้ทุกคนได้ยิน
หลินเมิ้งหยาไม่ได้โง่ พระสนมเต๋อเฟยไม่ได้โง่ แต่นางใช้วิธีการปฏิเสธโดยตรง
“ชายาหลิงหนาน แม้ข้ากับเจ้าจะสนิทสนมกันแต่เรื่องในจวนล้วนขึ้นกับหยาเอ๋อร์”
พระสนมเต๋อเฟยยืนข้างกายหลินเมิ้งหยา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางอดทนมามากเพียงพอแล้ว
ผลปรากฏว่าสีหน้าของชายาหลิงหนานพลันเปลี่ยนไป
ท่าทางสนิทสนมเมื่อครู่เองก็หายไปด้วย
สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความเกลียดชังและอิจฉาริษยา
“ท่านเป็นถึงพระสนมเต๋อเฟย ข้าเป็นเพียงชายาของพระญาติแต่เพียงเท่านั้น ถึงอย่างไรก็มิอาจเทียบท่านได้ เฮ้อ น่าสงสารท่านอ๋องของหม่อมฉันเหลือเกิน เขายังคงรู้สึกกับพระองค์…”
“บังอาจ!”
สีหน้าของหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนเป็นเย็นชาพร้อมส่งเสียงตวาด
ชายาหลิงหนานคิดไม่ถึงเลยว่าชายาอวี้ที่อายุยังน้อยผู้นี้จะกล้าขึ้นเสียงใส่นาง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหตุเพราะเรื่องราวเก่าๆ ระหว่างตนเองกับพระสนมเต๋อเฟยดังนั้นนางจึงใช้ชีวิตอยู่ในรั้วในวังได้อย่างมั่นคง
แม้แต่ตอนที่อยู่ในวังพระสนมเต๋อเฟยเองก็ต้องคอยปกป้องนาง
คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะถูกเด็กเมื่อวานซืนตะคอกใส่เช่นนี้
อีกทั้งยังต่อหน้าทุกคนดังนั้นจึงเก็บสีหน้าอาการไม่อยู่
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
ขณะที่คิดจะระเบิดอารมณ์บ้าง หลินเมิ้งหยาตวัดสายตาดุดันไปยังนางทันที
ขยับกายเข้าไปใกล้ หลินเมิ้งหยาเอียงตัวกระซิบข้างหูชายาหลิงหนานก่อนจะส่งเสียงนุ่มนวล
“หากยังพูดจาเลื่อนเปื้อนอีกล่ะก็ ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไป”
น้ำเสียงไร้ซึ่งความอบอุ่นอย่างสิ้นเชิง เสียงเย็นชาของนางฟังราวกับเสียงเตือนจากนรก
“เจ้า…”
ชายาหลิงหนานคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กเมื่อวานซืนจะมีท่าทางน่ากลัวเช่นนี้
แม้แต่นางเองยังขยับเท้าหนีเพราะความตื่นตระหนก
“พระชายารู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้วเพคะ หมู่เฟย พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถิดเพคะ อากาศข้างในน่าอึดอัดเหลือเกิน”
หลินเมิ้งหยากลับมายกยิ้มอ่อนหวานอีกครั้ง
ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพระสนมเต๋อเฟยจึงส่งจิ่นเยว่มากำชับนาง
ที่นี่คืองานเลี้ยงที่มีกลอุบายแอบแฝง
นางพยุงพระสนมเต๋อเฟยให้ลุกขึ้นจากที่นั่ง เหล่าฮูหยินที่กำลังรอดูเรื่องสนุกล้วนนิ่งอึ้ง
ทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยงของราชวงศ์ พระสนมเต๋อเฟยมักจะถูกเยาะเย้ยเรื่องคนรักเก่าอยู่เสมอ
โดยเฉพาะชายาหลิงหนาน แม้เปลือกนอกจะแสดงท่าทีสนิทสนมกับพระสนมเต๋อเฟย ทว่าในความเป็นจริงนางกลับเป็นเสมือนลมพัดกระพือกองไฟให้โหมกระหน่ำ
ทว่าวันนี้กลับถูกชายาอวี้ขัดขวาง อีกทั้งยังดูเหมือนจะถูกเล่นงานเข้าให้แล้ว
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าชายาอวี้จะต้องมิใช่คนที่จะถูกรังแกได้อย่างง่ายดาย”
ท่ามกลางกลุ่มคน ร่องรอยของความนึกสนุกปรากฏขึ้นบนดวงตาของชายาฉินอัน
งานเลี้ยงวันนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“หยาเอ๋อร์ เจ้ากำลังคิดว่าหมู่เฟยไม่ระมัดระวังใช่หรือไม่”
หลินเมิ้งหยาพยุงร่างพระสนมเต๋อเฟยเดินผ่านสวนดอกไม้
มองดูต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ บริเวณอันแสนคุ้นเคย ทว่าในสายตาของพระสนมเต๋อเฟยกลับแฝงไว้ซึ่งความเจ็บปวด
“หยาเอ๋อร์ไม่เคยคิดเช่นนั้นเพคะ หยาเอ๋อร์เพียงแค่เจ็บปวดแทนหมู่เฟย มิรู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา พระองค์ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง”
มีหญิงสาวคนไหนบ้างที่ไม่เคยหัวใจพองโตมาก่อน
อันที่จริงเรื่องนี้มิใช่เรื่องเลวร้าย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นมันจึงมิควรเป็นใบมีดที่ทำให้พระสนมเต๋อเฟยต้องคอยระมัดระวังในทุกย่างก้าว
“เจ้านี่หนา เข้าใจหมู่เฟยจริงๆ ที่ข้าอดทนมิใช่เพราะว่าข้ารู้สึกผิดหรอก”
ท่าทางอ่อนโยนแต่มั่นใจในตนเองของพระสนมเต๋อเฟยในเวลานี้ มิเหมือนกับคนที่แสดงท่าทางน่าสงสารในตำหนักเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย