ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 8 บทที่ 214 ยากที่จะเอื้อนเอ่ย
“หม่อมฉันจะรีบเขียนรายชื่อยาให้ ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่เพคะ”
เหตุเพราะความรีบเร่ง หลินเมิ้งหยาจึงมิได้เขียนว่าต้องการปริมาณเท่าไร
ทำเพียงเขียนรายชื่อยาเต็มหน้ากระดาษเพื่อให้หลงเทียนอวี้ไปซื้อมาก่อน
บรรดาหมอที่อยู่รอบๆ ต่างมองกระดาษใบนั้นด้วยความตกตะลึง
นี่มันยาถอนพิษที่ไหน? ทั้งหมดล้วนเป็นยาพิษที่จะนำมาฆ่าคนตายเสียมากกว่า
“ได้โปรดอภัยให้กับสายตาฝ้าฟางของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะแต่รายชื่อยาของพระชายาส่วนใหญ่เป็นยาพิษ เกรงว่าหากใช้กับคุณชายฉิน ชีวิตของเขาจะไม่มีวันหวนคืนกลับมานะพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่อีที่มีท่าทางอับจนหนทางเอ่ยทักท้วงด้วยประสบการณ์ในการรักษาของตนเอง
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองทางพวกเขาก่อนจะส่งเสียงเย็น
“หากพวกท่านมีวิธีการที่ดีกว่า เช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่รับฟังความเห็นของพวกท่าน”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ริมฝีปากของพวกเขาหุบฉับปิดสนิท
ใช่แล้ว ตอนนี้มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่กล้าพูดว่าสามารถช่วยชีวิตฉินมั่วได้
พวกเขาเป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้น
วิธีการฝังเข็มที่ผิดแผกแตกต่าง ทั้งยังวิธีรักษาที่ต่างไป
ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระชายาทำล้วนแตกต่างจากผู้อื่น
หากพวกเขาเดาไม่ผิด วิธีการของนางคือการใช้พิษล้างพิษ
แม้จะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่ก็เหมาะสมกับอาการของฉินมั่วในตอนนี้
“รายงาน…ท่านแม่ทัพ ด้านหน้าประตูมีหญิงสาวสองสามคนต้องการขอพบพระชายาขอรับ”
ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานด้วยความรีบร้อน หลินหนานเซิงหันไปมองน้องสาว ก่อนจะได้เห็นท่าทางประหนึ่งคนความจำเสื่อมอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านพี่รีบให้พวกนางเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ พวกนางเป็นสาวใช้ของข้า แย่แล้ว ข้าลืมพวกนางไปเสียสนิท”
หลินหนานเซิงพยักหน้า ก่อนจะสั่งให้ปล่อยคนเข้ามา
ขณะที่หลินเมิ้งหยากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่นั่นเอง ร่างบางของหญิงสาวหลายคนรีบวิ่งเข้ามา
“นายหญิงของข้า คราวหน้าท่านห้ามไปไหนมาไหนรวดเร็วเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ารีบตามจนจะเหนื่อยตายอยู่แล้ว”
ป๋ายจื่อรีบพุ่งเข้าหาอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่แดงระเรื่อ เพียงได้เห็นก็รู้ว่านางรออยู่ด้านนอกนานแล้ว
“ป๋ายจื่อ เจ้ารีบปล่อยนายหญิงก่อน ตัวเจ้าเย็นชื้น หากนายหญิงป่วยขึ้นมาจะทำเช่นไร?”
เสียงของป๋ายจีดังขึ้น ผ้าคลุมผืนใหญ่อบอุ่นถูกยกเข้ามาห่มร่างของหลินเมิ้งหยาเอาไว้
“ลำบากเจ้าแล้ว ทุกครั้งเป็นเจ้าที่นึกถึงข้าทุกทีสิน่า”
ทุกครั้งป๋ายจีมักจะเป็นคนคำนึงถึงหลินเมิ้งหยาก่อน อีกทั้งยังดูแลเอาใจใส่นางอย่างดี
หากไม่มีป๋ายจีอยู่ เกรงว่านางคงไม่อาจมีชีวิตอย่างสงบสุขเช่นนี้
“นายหญิงพูดอะไรกันเจ้าคะ ข้าเป็นสาวใช้ของนายหญิง ข้าควรทำเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว”
ป๋ายจีมีท่าทางสุขุม ส่วนป๋ายจื่อร่าเริงมีชีวิตชีวา
มีเพียงความงดงามที่เหมือนกัน ความงามของพวกนางทำให้คนทั้งหมดตกตะลึง
ไม่ว่าพระชายาหรือสาวใช้ พวกนางล้วนมีใบหน้างดงาม
“ถวายคำนับคุณชายใหญ่”
สายตาของป๋ายจื่อพลันเหลือบไปเห็นหลินหนานเซิงที่อยู่ด้านหลังหลินเมิ้งหยา ดังนั้นนางจึงถวายคำนับตามกฎระเบียบ
หลินหนานเซิงเพ่งพิจารณาก่อนจะรู้ว่านางคือสาวใช้ที่คอยอยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยาตั้งแต่เด็ก
เพียงแค่…นางสวยกว่าก่อนมาก
“เจ้าคือ…”
“ตอนนี้หนู่ปี้เป็นสาวใช้ประจำตัวของนายหญิงแล้ว คุณชายใหญ่เจ้าคะ นี่คือป๋ายจี ด้านหลังคือป๋ายซ่าว ส่วนคนสุดท้ายคือหญิงสาวผู้เย็นชานามว่าป๋ายซู พวกเราล้วนเป็นสาวใช้ของนายหญิงเจ้าค่ะ”
ป๋ายจื่อรีบเอ่ยแนะนำเพื่อนๆ ของตนเอง สาวใช้ทั้งสี่จึงรีบเข้ามายืนข้างกายของหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยามองซ้ายทีขวาที เหตุใดจึงหายไปสองคนเล่า?
“ชิงหูกับเสี่ยวอวี้เล่า? พวกเขาทำไมยังมาไม่ถึง?”
“นายหญิงอย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ พวกเขาเจอท่านอ๋องระหว่างทาง ดังนั้นจึงกลับไปเอายากับท่านอ๋องที่เมืองหลวง”
คำพูดของป๋ายจีทำให้หลินเมิ้งหยาวางใจ
โชคดี หากเกิดเรื่องขึ้นกับชิงหูและเสี่ยวอวี้แล้วล่ะก็ นางจะต้องร้อนใจตายแน่
การรอคอยมักทรมานเสมอ
เมื่อมีสาวใช้คอยช่วยเหลือ หลินเมิ้งหยาจึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งขึ้น
ขยับเข้ามายืนข้างกายพี่ชายเพื่อล้อมวงผิงไฟ บรรยากาศในเวลานี้เหมือนได้หวนกลับไปอยู่ในวัยเด็ก
“ท่านพี่ยังจำได้หรือไม่ ตอนที่เรายังเด็ก พวกเราสองพี่น้องเองก็เคยทำเช่นนี้”
แม้ตอนนี้น้องสาวเติบโตขึ้นและแต่งงานออกเรือนแล้ว
ทว่าความทรงจำยังคงแจ่มชัดเสมือนเพิ่งเกิดขึ้น
“จำได้แน่นอน เมื่อก่อนเวลาที่ท่านพ่อไม่อยู่ ผู้หญิงคนนั้นไม่ให้ฟืนพวกเรามาประทังความหนาว แต่ด้วยไหวพริบของป๋ายจื่อ นางแอบเอาถ่านมาให้พวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงยังไม่หนาวตายไปเสียก่อน”
ป๋ายจื่อทำเพียงหัวเราะออกมา ตอนนั้นนางรู้เพียงแค่ว่าต้องปกป้องดูแลพวกเขาให้ดี
แม้ต่อมาจะถูกโบยแต่นางก็รู้สึกว่ามันช่างคุ้มค่า
อย่างน้อยคุณหนูและคุณชายก็ยังไม่หนาวตาย
“ใช่แล้ว หากมิใช่เพราะนางและท่านพี่คอยปกป้อง ป่านนี้ข้าคงตายไปนานแล้ว”
นับตั้งแต่ฤดูหนาวในคราวนั้น พี่ชายก็ไม่ถูกซ่างกวนฉิงรังแกอีก
นางเองก็มีชีวิตที่สุขสบายตาม จนกระทั่งพี่ชายเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และออกไปรบกับท่านพ่อ ชีวิตของนางจึงกลับมามืดมนลงอีกครั้ง
โชคดีที่มีพี่เยว่ถิงคอยดูแล
เมื่อนึกถึงพี่เยว่ถิงขึ้นมา ความเจ็บปวดพลันแล่นพล่านในหัวใจของหลินเมิ้งหยา
หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงาม จิตใจโอบอ้อมอารี ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน ไร้ซึ่งเลือดเนื้อให้ได้เห็น
“ท่านพี่ ข้ามีเรื่องต้องบอกท่าน แต่ท่านต้องสัญญากับข้าว่าหลังจากฟังจบแล้ว ท่านจะไม่บุ่มบ่าม”
นางรู้จักพี่ชายของตนเองดี หากเล่าเรื่องทั้งหมดของพี่เยว่ถิงให้เขาฟัง ท่านพี่จะต้องระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างแน่นอน
นางกลัวว่าความบุ่มบ่ามจะทำให้เขาทำเรื่องสิ้นคิด
พวกฮองเฮากำลังรอจับจุดอ่อนของพวกนางสกุลหลินอยู่
“พูดมาสิ มีเรื่องอันใดหรือ?”
มองน้องสาวของตนเองด้วยสายตาอ่อนโยน หลินหนานเซิงคิดว่าที่หลินเมิ้งหยามีท่าทางอึดอัดก็เพราะกำลังเขินอาย
เขาจึงส่งยิ้มซุกซนขณะมองดูน้องสาว
คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะมีความขวยเขินดังเช่นหญิงสาวทั่วไปเหมือนกัน
“คือว่า…เรื่องนี้เกี่ยวกับสกุลเยว่”
เหลือบมองพลางเอ่ยออกมาด้วยความระมัดระวัง
เมื่อพูดถึงสกุลเยว่ ดวงตาของหลินหนานเซิงพลันอ่อนโยนลง
หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าหัวใจเต้นระรัวเสมือนกลองรบ ยากมากที่เอื้อนเอ่ยออกมาได้
“เจ้าพูดถูก เยว่ถิงรอข้ามานานมากแล้ว ข้าเองก็ควรจัดการให้ถูกต้องเสียที ท่านพ่อเอ่ยว่าที่กลับบ้านมาในคราวนี้ก็เพื่อจะจัดงานมงคลให้แก่ข้า เจ้าที่เป็นน้องสามีกำลังร้อนใจแทนพี่สะใภ้อยู่ใช่หรือไม่? ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ากับนางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน บางทีอาจจะสนิทกันยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
เคาะจมูกของน้องสาว ทั้งสายตาและหัวใจล้วนรู้สึกอ่อนโยนเมื่อนึกถึงเยว่ถิง
หลายปีแล้วที่เยว่ถิงช่วยเขาดูแลน้องสาว อีกทั้งยังช่วยพูดไกล่เกลี่ยกับซ่างกวนฉิงอยู่หลายครั้ง
เขาเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น เยว่ถิงยังเป็นหญิงสาวอ่อนโยนงดงาม จะมีชายใดปฏิเสธนางกัน?
เขาวางแผนเอาไว้แล้ว หากแต่งงานพาเยว่ถิงมาอยู่ในเรือน เขาจะให้นางกุมอำนาจในการดูแลบ้านและไม่ปล่อยให้นางต้องโศกเศร้าเสียใจอีก
“โอ้ ท่านพ่อพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ”
ทำเช่นไรดี? นางไม่กล้าพูดออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะพูด
ดูเหมือนพี่ชายจะยังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย หากยังสามารถปกปิดได้ก็ควรปกปิดไปก่อน
“เจ้ารอพี่ก่อนสักประเดี๋ยว พี่จะไปดูพวกทหารหน่อย วันนี้หิมะตก พวกเขาจะต้องทนหนาวอยู่อย่างแน่นอน ฉะนั้นต้องจัดการให้ดี”
สกุลหลินรักและดูแลเหล่าทหารดุจดั่งคนในครอบครัว หลินหนานเซิงอยู่กับพ่อมานานหลายปี เขาเองก็เป็นเช่นนั้น
เขากินนอนกับเหล่าทหารเสมือนคนสายเลือดเดียวกัน
หลินเมิ้งหยามองตามหลินหนานเซิงที่เดินออกจากกระโจมไป นางเบนสายตาไปทางไท่อีทั้งสองและใต้เท้าฉิน
“เมื่อครู่พวกท่านคงได้ยินเรื่องของข้ากับท่านพี่แล้วใช่หรือไม่?”
สีหน้าเย็นชา หลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งท่าทางของหญิงสาวขี้อ้อนเหมือนเมื่อครู่
“พวกเรา…ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไร้สาระ ทั้งที่อยู่ในกระโจมเดียวกันแล้วจะไม่ได้ยินได้อย่างไร
หลินเมิ้งหยาทำเพียงสบถในใจ ก่อนจะส่งเสียงเรียบ
“ข้าหวังว่าจะไม่มีใครแพร่งพรายเรื่องสกุลเยว่ออกไป แม้ข้าจะเป็นพระชายาคนหนึ่ง แต่การจะทำให้พวกเจ้าต้องตกที่นั่งลำบากก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ข้าเพียงแต่หวังว่าพวกเจ้าจะเห็นแก่ความรักของพวกเราสองพี่น้อง”
คนพวกนี้ล้วนรู้เรื่องของพี่เยว่ถิงดี
ดังนั้นเมื่อนางเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมา ดวงตาของพวกเขาจึงเผยความตื่นตระหนก
เมื่อได้ยินคำขู่ของนาง คนฉลาดมักเลือกที่จะปิดปากเงียบ
“สกุลฉินมิเคยเป็นพวกปากยื่นปากยาว ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังช่วยกระหม่อมรักษาลูกชาย ดังนั้นกระหม่อมไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ใต้เท้าฉินเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าเรื่องนี้มีแผนร้ายอยู่เบื้องหลัง เขาจึงไม่คิดอยากข้องเกี่ยวแต่อย่างใด
“พระชายาได้โปรดวางพระทัย คนเป็นหมอย่อมเก็บความลับเก่งเสมอ”
ใช้ชีวิตในวังมานานหลายปี ไท่อีจึงเป็นคนเก็บความลับเก่งอย่างยิ่ง
เขาย่อมรู้จักสุภาษิตที่ว่าปลาหมอตายเพราะปาก
เมื่อเห็นท่าทางเชื่อฟังของทั้งสาม หลินเมิ้งหยาจึงพยักหน้า
อย่าโทษว่านางเป็นคนไร้เหตุผลเลย เพื่อพี่ชายแล้ว นางยินยอมรับทุกข้อกล่าวหา
หิมะหยุดตกแล้ว บรรยากาศด้านนอกเงียบสงบและตกอยู่ในความมืดมิด ทว่าท้องฟ้ากลับเปล่งประกายไปด้วยหมู่ดาว
หลินเมิ้งหยายืนพิงประตูมองดูภายนอก
พี่ชายถูกลอบสังหาร อีกฝ่ายยังใช้พิษที่รุนแรงจนถึงตาย
ดูเหมือนพวกเขาจะต้องการให้พี่ชายตายอยู่ที่นี่
ทว่าเหล่าขุนนางที่มีข้อพิพาทกับสกุลหลินหรือพี่ชายมีน้อยมาก
แต่ไหนแต่ไรมาสกุลหลินมักมีความคิดเห็นเป็นกลางเสมอ ดังนั้นต่อให้เปลี่ยนสักกี่บัลลังก์ แต่ก็มิได้มีผลกับสกุลหลิน
แตกต่างจากตระกูลอื่นๆ สกุลหลินมิได้ฝักใฝ่ภักดีกับใคร แต่กลับภักดีกับคนทั้งต้าจิ้น
ฉะนั้นสกุลซ่างกวนจึงยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ซ่างกวนฉิงแต่งงานเข้ามาเป็นฮูหยินของเจิ้นหนานโหว
หรือจะเป็นคนต่างเมือง?
อาจเป็นไปได้ ท่านพ่อและท่านพี่ออกรบอยู่ที่แถบชายแดนมาเป็นเวลานาน แน่นอนว่าจะต้องสร้างความแค้นเคืองให้คนต่างเมือง
แต่การลงมือแถบชานเมืองที่ใกล้กับเมืองหลวงเช่นนี้จะไม่อาจหาญเกินไปหน่อยหรือ?
หินขนาดใหญ่ร่วงหล่นทับหัวใจของหลินเมิ้งหยา
“นายหญิง คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
ป๋ายซ่าวยกน้ำขิงเข้ามา แล้วส่งให้หลินเมิ้งหยา
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำขิงทำให้หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้น ทว่าคิ้วยังคงขมวดเป็นปมแน่น