ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 8 บทที่ 223 พ่อลูกพบหน้า
“ไปเถอะ ข้าจะไปกับเจ้า”
มือหนาเลื่อนเข้ามากุมมือบอบบางของหลินเมิ้งหยา
หลงเทียนอวี้กระซิบเสียงแผ่วเบา ในช่วงเวลาที่นางทำอะไรไม่ถูก คำพูดเขาเป็นดั่งแรงขับเคลื่อนให้นางเข้มแข็งยิ่งขึ้น
พยักหน้า พยายามหักห้ามน้ำตาแล้วขึ้นรถม้าไปพร้อมกับหลงเทียนอวี้
ทัพหลวงเคลื่อนขบวนเข้าเมือง ร้านรวงประดับโคมไฟหลากสี เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวมิรู้จบ
กองทัพสกุลหลินออกรบเหนือจรดใต้เพื่อปกป้องเจียงซานให้อยู่อย่างผาสุก
“คนสกุลหลินน่าสนใจยิ่งนัก”
ในโรงน้ำชาทรุดโทรมหลังหนึ่ง ซินหลีซึ่งสวมใส่ชุดสีแดงสดมองดูกองทัพสกุลหลินด้วยสายตาอำมหิต
ต้าจิ้นมีคนเหล่านี้คอยปกปักษ์ แม้พวกเขาจะอยากยกทัพเข้ามาโจมตีให้ล่มสลายก็มิอาจทำได้
น่าเสียดาย ผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งต้าจิ้นมีรูปลักษณ์ภายนอกราวกับทองและหยก ทว่าภายในกลับเหมือนผ้าฝ้ายเน่าเฟะ
“นายน้อย ได้ยินมาว่าไอ้เด็กขยะกลายเป็นลูกบุญธรรมสกุลหลินแล้ว หากพวกเราไม่กำจัดเขาในตอนนี้ เกรงว่าจะแย่เอาได้”
คนที่อยู่ข้างซินหลีสวมใส่หน้ากากลวดลายแปลกประหลาด เสียงแหบแห้งยากเกินกว่าจะจับใจความหรือรู้ได้ว่าคนผู้นี้เป็นหญิงหรือชาย
“หากตอนนี้กำจัดมันได้คิดหรือว่าข้าจะยังปล่อยให้มันหายใจอยู่?”
ส่งเสียงอำมหิต ไร้ซึ่งความรู้สึกสงสาร
ปรายตาเรียวไปทางลูกน้อง ร่างกายของคนผู้นั้นสั่นเทิ้ม ก่อนที่จะรีบคุกเข่าลงกับพื้น
“ข้าเป็นทาสรับใช้ไม่ได้เรื่อง บังอาจทำให้นายน้อยรำคาญใจ นายน้อยได้โปรดลงโทษด้วย!”
ส่งเสียงสั่นเครือ สายตาหวาดกลัวมองทางนายน้อยผู้มีใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางไม่พอใจของเขาทำให้เหล่าลูกน้องรู้สึกสั่นสะท้าน
“ที่นี่หาใช่บ้านของเรา ข้าคงไม่อาจทำอะไรเจ้าได้ อีกอย่างเจ้าเองก็มิได้ทำอันใดผิด”
ซินหลีเป็นคนอารมณ์แปรปรวน จึงเป็นเรื่องยากที่สกุลซินจะรับมือ
น่าเสียดาย เจ้าตระกูลซินเอ็นดูเขายิ่งนัก มิเช่นนั้นเขาคงไม่หยิ่งผยองลำพองใจถึงเพียงนี้
ไม่มีใครรู้ว่านายน้อยผู้นี้กำลังคิดอะไร
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคราวที่แล้วข้าต้องเสียแรงไปมากขนาดไหนจึงจะเข้าไปในตำหนักของคุณหนูสกุลหลินได้? นางหาใช่หญิงสาวธรรมดา อย่าว่าแต่เรื่องฝีมืออันร้ายกาจเลย ความรู้เรื่องยาพิษของนางล้ำเลิศกว่าไต้จี้ซือของพวกเราเสียอีก”
ยกสุราที่ถืออยู่ในมือกระดกเข้าปาก ดวงตาของซินหลีเผยให้เห็นความกระหายเลือด
หลินเมิ้งหยา…เขาสนใจนางมากกว่าไอ้เด็กขยะนั่นเสียอีก
อยากจะกรีดเนื้อขาวที่ลำคอเพื่อดูเลือดสีแดงสดของนางรินไหลออกมา
อยากรู้เหลือเกินว่าเลือดของนางจะหอมหวานดั่งรสชาติของยาพิษหรือไม่
“ออกไป จับตามองชายาอวี้ให้ดี ส่งข่าวไปบอกคนเลี้ยงแกะว่าข้าตกลงที่จะร่วมมือกับเขา”
ตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล หลินเมิ้งหยาไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังถูกจับตามองอยู่
“หนาวหรือ?”
หลงเทียนอวี้ดึงร่างของนางเข้าหาอ้อมกอดด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ ความอบอุ่นที่ส่งมาจากตัวเขาทำให้อาการหนาวสั่นเมื่อครู่จางหายไป
“ไม่เป็นไรเพคะ อาจเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ ดังนั้นจึงรู้สึกหนาวขึ้นมา”
ความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เจอท่านพ่อเริ่มสงบลง
บนรถม้า หลินเมิ้งหยามองดูทัพหลวงที่กำลังเดินขบวนเข้าเมือง ก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ
นี่เปรียบเสมือนการสังคายนาสิ่งเน่าเฟะ คนสกุลหลินต้องออกรบเสียเลือดเสียเนื้อ
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการแก้แค้น
รบชนะจนปกป้องเจียงซานจากภยันตรายได้แล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายก็ต้องคุกเข่าต่อหน้ากองฟางเน่าเฟะเช่นนี้
“ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย”
หลงเทียนอวี้เข้าใจคำพูดเจื่อความเย็นชาของนางดี เกรงว่าการกระทำของไท่จื่อจะทำให้เหล่าทหารกล้าวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วแล้ว
“ไท่จื่อ…เป็นเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว สถานะของเขาสูงส่งกว่าผู้ใด”
เขารู้จักความแตกต่างระหว่างไท่จื่อและองค์ชายมาตั้งแต่เด็ก
ทว่าตอนนั้นไท่จื่อยังเป็นพี่ชายที่แสนใจกว้าง
“ฮึ ไท่จื่อแล้วอย่างไรเล่า? ผู้ที่สามารถขึ้นครองบัลลังก์มังกรควรมีพระปรีชาสามารถ หากมอบตำแหน่งนั้นให้แก่เขา เกรงว่าจะสูญเปล่า”
เกรงว่าทั้งต้าจิ้นจะมีเพียงนางผู้เดียวที่กล้าเอื้อนเอ่ยเช่นนี้
หลงเทียนอวี้เหลือบมองหญิงสาวข้างกาย ความสับสนวาดผ่านดวงตาของเขา
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินนางต่ำเกินไป
ความกล้าหาญของนางทำให้เขาที่เป็นผู้ชายทั้งแท่งยังรู้สึกละอายใจ
“หากไท่จื่อได้ยินเข้า เจ้าจะลำบากเอาได้”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ เงยหน้าขึ้นสบตาหลงเทียนอวี้
“ท่านอ๋องกลัวหรือเพคะ?”
เอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน แต่ถึงกระนั้นกลับเจื่อไว้ซึ่งความท้าทาย
หัวใจของหลงเทียนอวี้สั่นไหว ความทะนงตนที่เขาต้องปิดบังเอาไว้ตั้งแต่เด็ก จู่ๆ พลันปะทุขึ้นมาราวเปลวไฟที่ถูกจุด
ใช่แล้ว ขนาดนางที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ยังไม่หวั่นเกรง แล้วเขาจะต้องกลัวอะไร?
ใบหน้าเผยรอยยิ้มหยิ่งทะนง ความเย่อหยิ่งที่ถูกซ่อนเร้นในใจถูกนางกระตุ้นออกมา
“กลัว? ไม่มีวัน!”
หากบนผืนแผ่นดินนี้มีฮ่องเต้เกิดขึ้นได้เพียงพระองค์เดียว เหตุใดกองฟางเน่าเฟะจึงไปเกิดในครรภ์ของฮองเฮาเล่า?
“หากท่านอ๋องพึงพระทัย เช่นนั้นหม่อมฉันจะอยู่เคียงข้างพระองค์จนกว่าจะได้สิ่งที่พระองค์ปรารถนาเองเพคะ”
ไร้ซึ่งความรัก แต่นางกลับมองออก
ท่ามกลางศึกฉิงบัลก์มังกร ทั้งนางและสกุลหลินก็มิอาจหลีกหนีได้อีกต่อไป
เมื่อหมดหนทางให้ถอยหนี ต่อให้ทางข้างหน้าจะยากเข็ญสักเพียงไหน นางก็จำต้องกัดฟันแล้วมุ่งหน้าต่อไป
“ได้”
คำพูดของนางกระทบจุดอ่อนโยนที่สุดในหัวใจเข้าอย่างจัง
ในสายตาของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนทำให้หัวใจรู้สึกสั่นไหว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ใยผู้หญิงคนนี้จึงเข้ามาแตะต้องหัวใจของเขาได้อย่างง่ายดายนัก
“ท่านอ๋อง พระชายา ถึงจวนโหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านนอกรถม้า เสียงของหลินขุยดังขึ้น
ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้ม ก่อนจะแสดงสีหน้าสงบนิ่งและไม่เอ่ยอะไรอีก
เหตุเพราะเป็นถึงนายหญิงแห่งจวนโหว ดังนั้นซ่างกวนฉิงจึงยุ่งกับการเตรียมการต้อนรับตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน
จวนที่ไม่มีหลินเมิ้งหยาไม่ต่างอะไรจากจวนร้างที่ถูกเมิน
คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เดินออกจากประตูจวนมาจะได้เห็นคู่สามีภรรยาที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสง่างาม
“ท่านแม่ เหตุใดนางจึงมาที่นี่?”
หลินเมิ้งหวู่ส่งสายตาเกลียดชังไปยังพี่สาวต่างมารดา ตอนที่ยังอาศัยอยู่ในจวนอวี้ แม้นางจะพยายามทำทุกวิถีทาง แต่ก็มิอาจดึงดูดความสนใจของท่านอ๋องได้
นางจึงรู้สึกเหมือนคนที่ใกล้จะเสียสติเต็มที
ทั้งที่วันนี้เป็นเรื่องของพวกนางสกุลหลิน เหตุใดนังแพศยาคนนี้จึงมาปรากฏตัวที่นี่
“แม้นางจะเป็นพระชายา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นลูกสาวของสกุลหลิน มาเถิด อย่าทำให้เสียหน้า”
หัวใจของซ่างกวนฉิงจะไร้ซึ่งความอิจฉาริษยาได้อย่างไร
เด็กคนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนกับนังแพศยาคนนั้น
เล็บยาวแหลมคมแทงเข้าไปในฝ่ามือของตนเอง
ส่งยิ้มหวานซ่อนคมมีดเอาไว้ในใจ นางเคยชินกับการแสดงอุปนิสัยเช่นนี้แล้ว
หันไปมอง “ลูกสาว” กับ “ลูกเขย” ที่หน้าประตู นางที่เป็นเจ้าบ้านจึงพาเหล่าข้ารับใช้ออกไปต้อนรับ
ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับว่านางรักใคร่เอ็นดูหลินเมิ้งหยาเสมือนลูกสาวแท้ๆ
“ถวายคำนับท่านอ๋องและพระชายา”
หลินเมิ้งหยายกยิ้ม ก่อนจะเข้าไปประคองซ่างกวนฉิง
ที่นี่มีคนอยู่มากมาย หากปล่อยให้ซ่างกวนฉิงคุกเข่าลง คนภายนอกจะกล่าวหาว่านางอกตัญญูเอาได้
“ท่านแม่รีบลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองแต่อย่างใด”
ลูกสาวที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อมารดาทำให้คนภายนอกรู้สึกชื่นชม
“ท่านอ๋องก็เสด็จมาหรือเพคะ ท่านพ่อคงจะบารมีคับฟ้า ปกติเชิญมาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะมา”
วันนี้หลินเมิ้งหวู่แต่งหน้างดงามเสมือนหยก รูปร่างเองก็งดงามดึงดูดสายตาของเหล่าชายหนุ่ม
แต่น่าเสียดายที่หลินเมิ้งหยาอยู่ที่นี่ ดังนั้นความงามของนางจึงตกเป็นรอง
หลงเทียนอวี้ปรายสายตาเย็นชาไปทางหลินเมิ้งหวู่ เสมือนนางเป็นอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น
“ไอหยา ดูซิว่าข้าเลินเล่อมากมายขนาดไหน เหตุใดจึงปล่อยทั้งสองพระองค์ต้องมายืนคุยหน้าประตูจวนเช่นนี้ เชิญด้านในเถิดเพคะ”
ทั้งที่ที่นี่เป็นบ้านของนาง แต่ซ่างกวนฉิงกลับทำเหมือนนางเป็นคนนอกอย่างไรอย่างนั้น
แม้ตอนนี้นางจะได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินหลิน ทว่าในหัวใจของหลินมู่จื่อ หลินหนานเซิงและหลินเมิ้งหยา ฮูหยินหลินมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เดินเข้าไปภายในจวน สายตาของหลินเมิ้งหยาพลันปรากฏความเย็นชา
ต้นไม้ใบหญ้าที่ท่านแม่ออกแบบตกแต่ง ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยสิ่งของของซ่างกวนฉิง
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ เพราะเหตุนี้ซ่างกวนฉิงจึงไม่เคยได้รับความรักจากท่านพ่อ
ผู้หญิงคนนี้น่าเวทนายิ่งนัก
“พอลองนับวันคืนดู พวกเราสองแม่ลูกก็มิได้พบหน้ากันนานแล้ว มิทราบว่าพระชายาอยู่ที่จวนอวี้เป็นเช่นไรบ้างเพคะ?”
ซ่างกวนฉิงเอ่ยถามเสมือนกำลังห่วงใย หลินเมิ้งหยาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแสดงท่าทางประหนึ่งหญิงสาวที่มีความสุขที่สุด
“ขอบใจท่านแม่ที่เป็นห่วง ท่านอ๋อง…ดีกับข้ามาก”
หลินเมิ้งหยากัดฟันแน่น แต่เพราะวันนี้ท่านพ่อและพี่ชายกำลังจะกลับมา นางจึงมิอาจระเบิดอารมณ์ออกมาได้
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น พ่อบ้านที่อยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามา
“ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง นายท่านและคุณชายใหญ่กลับมาแล้วขอรับ”
ซ่างกวนฉิงผุดลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ มองสำรวจตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะออกไปรับ
พ่อลูกสกุลหลินเข้าวังเพื่อถวายพระพรฮ่องเต้ก่อน จากนั้นจึงมีโอกาสกลับมายังจวนของตนเอง
แม้จะถอดชุดเกราะออกแล้ว ทว่าสองพ่อลูกก็ยังคงหล่อเหลามีเสน่ห์และเป็นที่เล่าขานของคนทั้งเมือง
คนทั้งบ้านออกมาต้อนรับที่หน้าประตู ใบหน้าของทั้งคู่ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่…ท่านกลับมาแล้ว”
ถึงอย่างไรหลินมู่จื่อก็ยังคงรับรู้การมีตัวตนของภรรยาคนปัจจุบันของตนเอง
เขานำทัพอยู่ด่านหน้า ซ่างกวนฉิงต้องเหน็ดเหนื่อยกับการดูแลงานบ้าน
แม้จะไม่สามารถมอบความรักให้แก่นางได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ให้เกียรตินางในฐานะฮูหยิน
“ฮูหยินลุกขึ้นเถิด ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฮูหยินต้องเหนื่อยกับการดูแลบ้าน ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”
คำพูดเกรงใจเปล่งออกมา ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาควรจะแน่นแฟ้นกว่าใคร
แม้จะแต่งงานกันมาสิบกว่าปี ทว่าหลินมู่จื่อกลับยังเว้นระยะห่างกับฮูหยินผู้นี้ อีกทั้งยังมิเคยแสดงออกถึงความรัก
“ท่านพี่เอ่ยเกินไปแล้ว เรื่องพวกนี้คือสิ่งที่ข้าสมควรทำเจ้าค่ะ”
ขอบตาของซ่างกวนฉิงแดงก่ำ ทว่าหัวใจกลับรู้สึกเจ็บปวดทรมาน
สิบกว่าปีแล้ว นางปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน แต่ไม่อาจครองหัวใจของเขาได้