ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 8 บทที่ 227 ความรู้สึกที่ยากจะพรรณนาของนายและบ่าว
“เหนียงเหนียง หนู่ปี้ไม่ได้ทำนะเพคะ”
เมื่อฟังให้ดี นางจึงรู้ว่านั่นคือเสียงร้องไห้ของป๋ายจื่อ
สาวใช้ทั้งสี่ถูกนางส่งกลับจวนมาก่อน
หลินเมิ้งหยากลับมาช้ากว่าพวกนางเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วเหตุใดสาวใช้ของนางจึงมาร้องห่มร้องไห้อยู่ที่นี่?
หลินเมิ้งหยาสาวเท้าเข้าไปในตำหนักหยาเสวียนอย่างรวดเร็ว
ภายในตำหนัก ป๋ายจื่อคุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
ใบหน้าสีขาวราวหิมะบวมแดง
ขณะเดียวกัน นางพยายามส่ายหน้าจนเส้นผมที่ถูกปักไว้ด้วยปิ่นยุ่งเหยิง ท่าทางน่าสงสารจับใจ
ป๋ายจีและป๋ายซูถูกรั้งเอาไว้ ไม่ยอมให้พวกนางเข้ามาช่วยเหลือ
ส่วนป๋ายซ่าวยืนอยู่ตรงหน้าพวกนาง ก้มศีรษะลง มองสีหน้าของนางไม่ออก
“ทั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างชัดแจ้งแล้ว แล้วเจ้ายังจะแก้ตัวอะไรอีก ตอนแรกเห็นว่าเจ้าเป็นเพ่ยเจี้ยของพระชายา เหนียงเหนียงจึงต้องการเพียงลงโทษสถานเบา แต่ในเมื่อเจ้ายังปฏิเสธเสียงแข็งเช่นนี้ ดูท่าเจ้าคงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
เสียงสูงแหลมดังขึ้นมา จากนั้นป๋ายจื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ถูกตบสั่งสอนอีกหลายฉาด
หลินเมิ้งหยาปรี่เข้าไปยืนขวางหน้าป๋ายจื่อเอาไว้ นางใช้ตัวเองกำบังป๋ายจื่อ
“บังอาจนักนะ สาวใช้ของข้าหาใช่พวกหมาแมวที่เจ้าจะมาสั่งสอนรังแกได้”
สายตาเย็นชาจ้องเขม็งยังหญิงสาวตรงหน้า
สาวใช้ที่ถูกจ้องกลับแสยะยิ้ม
“พระชายาโปรดเย็นพระทัยลงก่อนเพคะ หนู่ปี้สั่งสอนนางก็เพราะหวังดีกับพระองค์ พระองค์อาจจะไม่รู้ว่าเพ่ยเจี้ยของพระองค์ยักยอกเงินไปไม่น้อย หากมิใช่เพราะตำหนักของพระองค์มีแม่นางป๋ายซ่าวที่รักในความยุติธรรมอยู่ พวกหนู่ปี้ก็คงถูกนางหลอกไปแล้วเพคะ”
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น
ใบหน้างดงาม แสดงท่าทางประหนึ่งนางในที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี
แม้จะแทนตัวเองว่าหนู่ปี้ แต่นางกลับมิได้มีท่าทางอ่อนน้อมเหมือนสาวใช้เลยแม้แต่น้อย
นางกลับแสดงท่าทางราวกับเป็นนายหญิงของจวนหลังนี้
“ข้าจัดการสาวใช้ของข้าเองได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง เช่นนั้นเจ้าลองบอกข้ามาเถิดว่านางยักยอกเงินอันใดไป?”
ป๋ายจื่อไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นอยู่แล้ว แม้นางจะเป็นคนขี้ขลาด แต่ถึงอย่างนั้นนางก็จริงใจกับหลินเมิ้งหยาเป็นที่สุด
เรื่องที่ไม่ดีต่อตัวหลินเมิ้งหยา นางไม่มีวันทำ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการยักยอกเงินเลย หากนางต้องการเงินจริง เพียงนางไปขอที่ร้านสามสหาย นางก็มีเงินเหลือกินเหลือใช้แล้ว
ฉะนั้นเรื่องยักยอกเงินนี้มิต่างอะไรจากเรื่องน่าขัน
“ในเมื่อพระชายาถาม เช่นนั้นจิ่นซู่จะขอตอบตามความจริงนะเพคะ”
ชำเลืองมองป๋ายจื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้น จิ่นซู่จึงเอ่ย
“ก่อนหน้านี้ป๋ายซ่าวซึ่งเป็นผู้ดูแลคลังเงินได้เข้ามารายงานว่าพวกชาวนานำเงินมามอบให้ แต่กลับหายไปห้าสิบตำลึง ฉะนั้นหนู่ปี้จึงไปตรวจสอบจวนตามคำสั่งของเหนียงเหนียง บังเอิญหนู่ปี้ไปพบสาวใช้ระดับสองอย่างป๋ายจื่อนำเงินสิบตำลึงออกมาเลี้ยงอาหารคนในตำหนักหลิวซิน ตอนแรกหนู่ปี้คิดว่านั่นเป็นคำสั่งของพระชายา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าป๋ายซ่าวจะบอกว่าไม่รู้เรื่องนี้ ปกติเงินเดือนของสาวใช้คนนี้จะได้รับเพียงสามตำลึงเท่านั้น เช่นนั้นเงินสิบตำลึงนั้นมาจากที่ใดกันแน่? พอหนู่ปี้ลองตรวจสอบข้อมูลให้มากขึ้นจึงรู้ว่านางคือตัวการที่ขโมยเงินออกไป! อีกทั้งหนู่ปี้ยังหาเงินห้าสิบตำลึงนั้นเจอแล้วด้วย!”
ป๋ายจื่อส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย หยาดน้ำตานองหน้า
“หนู่ปี้ไม่ได้ทำ เงินสิบตำลึงเป็นเงินที่พระชายามอบให้ ส่วนเงินห้าสิบตำลึงเป็นเงินรางวัลที่พระชายามอบให้ หนู่ปี้ไม่เคยขโมยเงินใครมาก่อน พวกเจ้าอย่าได้ใส่ร้ายคนบริสุทธิ์เช่นนี้!”
แม้จะถูกตบหน้าจนบวมเป่ง แต่ป๋ายจื่อก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง
ก่อนที่หลินเมิ้งหยาจะมาถึง นางถูกทรมานอย่างแสนสาหัส
หากมิใช่เพราะป๋ายซูและป๋ายจีพยายามห้ามเอาไว้ เกรงว่านางคงถูกตีตายไปแล้ว
แต่นางไม่เข้าใจ ทั้งที่คุณหนูเป็นคนมอบเงินเหล่านั้นให้นาง เหตุใดคนเหล่านี้จึงนำมันมาเป็นข้ออ้าง
“ฮึ เจ้ามันปากแข็ง ทูลพระชายา หนู่ปี้เอ่ยถามป๋ายซ่าวแล้ว นางมิเคยเห็นเงินหกสิบตำลึงนี้”
คำพูดของจิ่นซู่ทำให้หลินเมิ้งหยาเข้าใจอะไรบางอย่าง
ชำเลืองสายตาเย็นชาระคนเจ็บปวดไปทางพระสนมเต๋อเฟย ก่อนจะเลื่อนสายตามองทางป๋ายซ่าวที่ก้มหน้าหลบตา
นี่เป็นการจัดฉากยึดอำนาจนาง
ร่องรอยของความเย็นชาปรากฏขึ้นในหัวใจ นางเพิ่งนึกได้ว่าเงินหกสิบตำลึงคือเงินที่ท่านลุงป๋ายนำมามอบให้เมื่อเดือนที่แล้ว
ตอนนั้นนางดีใจมากจึงนำไปเก็บไว้ที่ป๋ายจื่อ ตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่าหากพวกผอจื่ออยากดื่มหรือกินอะไรก็ให้ป๋ายจื่อนำเงินเหล่านั้นไปซื้อ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะกลายมาเป็นหลักฐานมัดตัวป๋ายจื่อ
เล่นงานนางไม่ได้ ดังนั้นจึงหันมาเล่นงานสาวใช้ของนางแทน
“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยามิได้ร้องโวยวาย แต่กลับถามเสียงเย็นยะเยือก
ป๋ายจื่ออยู่กับนางมานานแล้ว หากต้องการลงโทษนาง คาดว่าคงมิใช่เพียงการตบหน้าอย่างแน่นอน
“ทูลพระชายา มีหลักฐานแน่นอนเพคะ นี่คือสมุดบัญชีที่เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเงินหายไปห้าสิบตำลึง”
พระสนมเต๋อเฟยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูด จิ่นซู่เอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่านางฝึกปรือมาอย่างดี
ในเมื่อถึงขั้นวางแผนมาขนาดนี้แล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่แผนการธรรมดา
“เอามาให้ข้าดู”
หลินเมิ้งหยารับสมุดบัญชีมาพลิกดู สมุดบัญชีถูกเขียนอย่างเป็นระเบียบชัดเจน
นางไม่จำเป็นต้องดูก็รู้ว่าป๋ายซ่าวเป็นคนละเอียดรอบคอบ ดังนั้นนางจึงสบายใจที่ยกให้ป๋ายซ่าวเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นจุดอ่อนในการกลับมาทำร้ายตัวนางเอง
ไม่ต่างอะไรจากโยนหินกระทบเท้าของตนเองเลยแม้แต่น้อย!
“เมิ้งหยา นับตั้งแต่วันที่เจ้าแต่งงานเข้ามาอยู่ในจวน เจ้าใส่ใจการงานและขยันหมั่นเพียรเสมอมา แต่สาวใช้คนนี้ของเจ้ากลับไม่ได้เรื่อง เพื่อรักษาชื่อเสียงของเจ้าเอาไว้ เปิ่นกงเห็นว่าเจ้าควรจัดการนางเสียดีกว่า หนึ่งเพื่อให้เหล่าข้าทาสบริวารดูเป็นตัวอย่าง สองเพื่อขจัดปัญหา เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
พระสนมเต๋อเฟยเอ่ยออกมาโดยไร้ซึ่งความรู้สึกกระดากใจ เพียงคำพูดนี้กลับทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกเหมือนถูกจู่โจม
แม้คำพูดจะดูเหมือนทำเพื่อหลินเมิ้งหยา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับกำลังถามหาเอาความรับผิดชอบจากนาง
“หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่งนักที่หมู่เฟยคิดถึงหม่อมฉันเสมอ แต่สาวใช้คนนี้เป็นเพ่ยเจี้ยของหม่อมฉัน เช่นนั้นได้โปรดเห็นแก่หน้าหม่อมฉันสักครั้ง ยกโทษให้นางได้หรือไม่เพคะ?”
หลินเมิ้งหยายังคงไว้หน้าพระสนมเต๋อเฟยอยู่มาก
นางจำได้ขึ้นใจถึงความหวังดีที่หลงเทียนอวี้มอบให้นางเสมอ
ดังนั้นแม้พระสนมเต๋อเฟยจะทำให้นางลำบากใจ แต่นางก็พยายามอดทน
ทว่าพระสนมเต๋อเฟยกลับเหยียดยิ้มเย็นชา
“บ้านเมืองมีขื่อมีแป แต่ละบ้านเองก็มีกฎระเบียบ สาวใช้คนนี้ฝ่าฝืนกฎระเบียบ ฉะนั้นต้องได้รับโทษ เจ้าเป็นถึงเจ้านาย อย่าได้ทำให้ทาสรับใช้หยิ่งผยองลำพองใจมิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องใหญ่เอาได้ เข้ามา ลากตัวสาวใช้คนนี้ไปโบยจนตาย”
ที่นี่คือตำหนักหยาเสวียน ดังนั้นคำสั่งของพระสนมเต๋อเฟยจึงเป็นสิทธิ์ขาด
ผอจื่อร่างกายกำยำจึงรีบเข้ามาหมายจะจับตัวหลินเมิ้งหยาและป๋ายจื่อ
ป๋ายซูถูกคนจับตัวเอาไว้ขณะที่คิดจะเข้าไปช่วย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าร่างของผอจื่อเหล่านั้นอยู่ๆ ก็จะกระเด็นออกไป
“ไอหยา เจ็บเหลือเกิน”
เสียงร้องโหยหวนดังระงม หลินเมิ้งหยากลับมีท่าทางสงบนิ่ง
แต่เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งกำยำยืนกำบังนางเอาไว้ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง
“ท่านอ๋อง ท่าน…”
น้าจิ้งเยว่มองหลงเทียนอวี้ด้วยอาการตกตะลึง ทุกครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าพระสนมเต๋อเฟย หลงเทียนอวี้มักเป็นคนกตัญญูรู้คุณ
แต่หลังจากแต่งงานออกเรือนแล้ว ความคิดของเขาขัดแย้งกับพระสนมเต๋อเฟยเสมอ หากยังเป็นเช่นนี้ เหนียงเหนียงจะต้องอาฆาตพยาบาทหลินเมิ้งหยาเป็นแน่
ผลปรากฏว่าสีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยเปลี่ยนไป นางมองลูกชายด้วยสายตาเย็นชา
“บังอาจ เจ้ากำลังทำอะไร! หรือเปิ่นกงไม่มีแม้แต่อำนาจที่จะจัดการสาวใช้เพียงแค่คนเดียว”
หลงเทียนอวี้ชักมือกลับ ดวงตาคมกริบกวาดมองทุกคน อุณหภูมิภายในห้องลดลงกะทันหัน
“หมู่เฟย ลูกเคยบอกแล้วว่าที่นี่คือจวนของลูก หาใช่ตำหนักชิงกงในวัง”
ดวงตาเผยให้เห็นถึงความโกรธเกรี้ยว
เมื่อก่อนหมู่เฟยเคยกล่าวว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องในจวนไม่จำเป็นต้องให้นางเข้ามาข้องเกี่ยว
นับตั้งแต่วันนั้น เขาจึงได้รู้ว่าการเป็นเจ้านายของจวนนั้นเป็นเช่นไร
แต่พอมาวันนี หมู่เฟยคิดจะบีบบังคับหลินเมิ้งหยา จึงใช้กฎของวังหลวงมาจัดการ ช่างน่าขันสิ้นดี
ป๋ายจื่อเป็นเด็กสาวร่าเริง นางมักจะส่งเสียงหัวเราะพูดคุยกับเขาเสมอ ทุกครั้งที่มีของอร่อยหรือเรื่องสนุก นางมักจะแบ่งปันให้กับเหล่าผอจื่อในตำหนักหลิวซิน
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเมิ้งหยารักนางเสมือนน้องสาวแท้ๆ อาหารการกินหรือแม้แต่ของใช้ก็มักจะเก็บเอาไว้ให้นาง
แล้วสาวใช้แบบนี้จะยักยอกเงินได้อย่างไร?
หากนางมีเรื่องด่วน ขอเพียงนางเอ่ยปากหลินเมิ้งหยาก็พร้อมที่จะให้อย่างแน่นอน
เช่นนั้น สาวใช้คนนี้จะต้องถูกใส่ร้ายอย่างแน่นอน
“เจ้า…เจ้า…เจ้าจะปกป้องสาวใช้คนนั้นแล้วอกตัญญูกับข้าอย่างนั้นหรือ!”
พระสนมเต๋อเฟยตบโต๊ะเสียงดัง ถลึงตาจ้องไปทางหลงเทียนอวี้
คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะลำเอียงให้ความสำคัญแก่หลินเมิ้งหยา เขาไม่ยอมปล่อยให้นางจัดการ แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงแค่สาวใช้
ดูท่าหลินเมิ้งหยาจะมีความสำคัญกับเขามากเกินไปแล้ว
หากยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะมิเป็นการดี
“ท่านอ๋อง อย่าได้ทำให้ตัวเองลำบากด้วยเลยเจ้าคะ พระสนมเต๋อเฟยรับสั่งถูกแล้ว ป๋ายจื่อเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น ไม่มีค่าพอที่จะให้พระองค์ต้องทำเช่นนี้ ท่านอ๋อง ป๋ายจื่อไม่เสียดายชีวิต แต่หนู่ปี้ขอร้องพระองค์ ได้โปรดปกป้องนายหญิงของหนู่ปี้ด้วย”
ไม่มีใครคาดคิดว่าสาวใช้ที่มักทำตัวไร้สาระจะเอ่ยประโยคเสียดแทงหัวใจเช่นนี้
นางแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างนายและบ่าวของตนเองกับหลินเมิ้งหยา
“ป๋ายจื่อ ไม่นะ”
ป๋ายซูและป๋ายจีต่างสะอื้นไห้ประหนึ่งคนกำลังจะขาดใจ แม้จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเพียงไม่นาน แต่ถึงกระนั้นพวกนางก็รักกันเสมือนพี่น้อง
“เด็กโง่ ใครจะปล่อยให้เจ้าตายกัน?”