ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything - Chapter 122 นี่คือนรกเหรอ
สีหน้าของหยวนฉิงเทียนแข็งทื่ออย่างกะทันหัน
‘ลักพาตัวผู้หญิงคนนี้มีประโยชน์อะไรกัน? เธอกินไม่ได้ซักหน่อย และเธอก็กินพื้นที่มากด้วย’
อย่างไรก็ตาม เข้าไม่กล้าตั้งคำถามกับการตัดสินใจของศิษย์พี่ และไม่นานนักก็ซ่อนตัวในความว่างเปล่า
เฉินเฉินปิดกั้นออร่าของเขา
ระดับการฝึกตนของผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงอยู่แค่ขั้นปลายของสร้างรากฐานและเธอก็ต่อสู้ไม่เก่งด้วย ถ้าเธอต่อสู้กับคนอื่นจริงๆ เธอคงไม่สามารถเอาชนะได้แม้กระทั่งโยวหลานชิน
อย่างไรก็ตาม ในการเผชิญหน้ากับศัตรูแบบนี้ เขาที่เป็นเซียนแก่นทองคำก็ยังต้องลอบโจมตีจริงๆ…
‘อ้ะ!’ เฉินเฉินถอนหายใจ
ในตอนนี้เอง ศิษย์หญิงและผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงก็แยกกันและเข้าไปในสวนสมุนไพรเพื่อตรวจสอบสมุนไพรชำระวิญญาณ
เมื่อเห็นว่าสวนยังอยู่ดี ผู้สืบทอดของสำนักชิงหลิงก็หันหลังกลับและเดินออกไปในขณะที่พึมพำกับตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“เมื่อไหร่สงครามจะจบซักทีนะ?”
ในทันทีที่เธอพูดออกมาเช่นนั้น คนๆนึงก็กระโดดออกมาจากพงหญ้าและปิดปากของเธอ
ในขณะที่มองร่างสีดำที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธออย่างกะทันหัน สายตาของผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงก็เต็มไปด้วยความกลัวไม่รู้จบ!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะทำการเคลื่อนไหวต่อไป หยวนฉิงเทียนก็ปรากฎตัวขึ้นข้างหลังเธออย่างกะทันหันและใช้มือฟาดเข้าที่คอของเธอจนสลบไป
หลังจากทำให้เซียนหญิงที่เป็นผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงสลบไปแล้ว พวกเขาทั้งสองก็ลากตัวเธอเข้าไปในป่าลึกอย่างระมัดระวัง
ศิษย์หญิงที่เข้ามาตรวจสอบสมุนไพรชำระวิญญาณในสวนไม่ได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเธอด้วยซ้ำ และยังคงวิเคราะห์และตรวจสอบสมุนไพรวิญญาณด้วยตัวเอง
…
ในป่าลึก หยวนฉิงเทียนมองดูผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงที่หมดสติด้วยสีหน้าผิดหวัง
เขาคิดเอาไว้ว่าเขาควรจะได้เริ่มค้นหาห้องสมบัติของสำนักชิงหลิง และชิงสมบัติไปให้หมด จากนั้นก็เก็บพวกมันเข้าไปในแหวนเก็บของของเขา!
ตอนนี้ เขากำลังแบกตัวภาระมาด้วย ภาระซึ่งเขาไม่สามารถเก็บเข้าแหวนเก็บของได้ แล้วเขาจะทำอะไรได้ล่ะ?
‘ศิษย์พี่คิดอะไรอยู่นะ?’ เขาสงสัย
“เจ้ามันไม่รู้อะไร! ผู้สืบทอดสำนักชิงหลิงเป็นลูกสาวของเจ้าสำนักชิงหลิง ถ้าเจ้าลักพาตัวเธอ สำนักชิงหลิงก็จะไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม”
เฉินเฉินคาดหวังจากเขามากกว่านี้
หยวนฉิงเทียนเบ้ปากแล้วพึมพำออกมา “พวกเราควรปลุกเธอแล้วถามที่อยู่ของห้องสมบัติไหมครับ?”
“ทั้งหมดที่เจ้าคิดได้คือห้องสมบัติสินะ? เจ้าช่วยปรับปรุงตัวเองให้มีเหตุผลมากกว่านี้อีกจะได้ไหม? คนที่มีสถานะสูงส่งอย่างพวกเราจะมาขโมยของได้ยังไงกัน?” เฉินเฉินมองชิงเฉียนแล้วพูดเสริม “พวกเรากำลังขโมยคน…ไม่ใช่ของ”
แน่นอนว่าลึกๆลงไปแล้ว เฉินเฉินมีอีกความคิดนึง
พวกเขาสามารถฉกชิงของจากห้องสมบัติได้จริงๆแต่การชิงของจากห้องสมบัติของสำนักชิงหลิงคงจะค่อนข้างสูญเปล่า
ถ้าห้องสมบัติของสำนักชิงหลิงถูกปล้น มันก็จะทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ที่จะเตือนให้สำนักอื่นๆระวังตัวมากขึ้น ซึ่งนั่นคงจะทำให้พวกเขาปล้นห้องสมบัติของสำนักอื่นได้ยาก
ดังนั้น พวกเขาต้องเลือกขโมยจากสำนักใหญ่ ถ้าให้ดีที่สุดก็คงจะเป็นสำนักอู๋ซิน มีแค่การทำเช่นนั้นอีกฝ่ายถึงจะเสียหายหนักจริงๆ
“ก็ได้ครับ ข้าจะทำตามคำสั่งของศิษย์พี่ แล้วพวกเราจะเอายังไงต่อดี? พวกเราควรวางยาในสวนสมุนไพรของสำนักชิงหลิงหรือว่าฆ่าพวกเขาบางส่วนแล้วค่อยจุดไฟเผา” หยวนฉิงเทียนถามเบาๆ ด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างหวั่นกลัวเฉินเฉิน
หลังจากที่คิดอยู่พักนึง เฉินเฉินก็พูดออกมา “ข้าคิดว่าพวกเราควรหนี วันนี้พวกเราแค่ลองโยนหินถามทางเท่านั้น ลักพาตัวเซียนหญิงได้ก็เพียงพอแล้ว ข้ากลัวว่าถ้าอยู่ที่นี่นานกว่านี้มันจะมีเรื่องให้กังวลมากขึ้นอีก”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินเฉิน หยวนฉิงเทียนก็พยายามแบกผู้สืบทอดของสำนักชิงหลิงที่อยู่บนพื้น แต่ก็ถูกเฉินเฉินห้ามเอาไว้
หยวนฉิงเทียนสับสนและคิดในใจ ‘ในเมื่อข้าเป็นศิษย์น้องข้าก็ควรจะทำหน้าที่นี้ไม่ใช่เหรอ?’
เฉินเฉินพูดอย่างชอบธรรม “ฉิงเทียน ข้ามาจากสาขาขัดเกลาร่างกาย ข้าควรจะทำงานสกปรกเนื่องจากข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า”
ก่อนที่หยวนฉิงเทียนจะได้ตอบสนอง เฉินเฉินก็อุ้มผู้สืบทอดของสำนักชิงหลิงขึ้นและแบกเธอไว้บนหลังของเขา
ต่อจากนั้นเอง กลิ่นหอมก็ลอยเข้าจมูกของเขา นอกจากนั้น ที่แผ่นหลังของเขายังรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ
เฉินเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ และตอบในใจ ‘อายุจิตของหยวนฉิงเทียนยังเด็กเกินไป การที่เขารู้มากเกินไปนั้นไม่ใช่เรื่องดี มันจะปลอดภัยกว่าถ้าให้ข้าแบกรับสิ่งเย้ายวนนี้’
ด้วยความคิดนี้เอง เฉินเฉินก็รีบเร่งฝีเท้าของเขาและเดินตรงไปที่ชายแดนของสำนักชิงหลิง
…
ไม่นานนัก พวกเขาสองคนก็ออกมาจากค่ายกลป้องกันภูเขาได้และหนีออกจากดินแดนของสำนักชิงหลิง
ในขณะที่มองเซียนหญิงของสำนักชิงหลิงที่อยู่บนหลังของเฉินเฉิน หยวนฉิงเทียนก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยจริงๆ
พวกเขาบุกเข้าไปที่อาณาเขตของหนึ่งใน 36 สำนัก และลักพาตัวผู้สืบทอด แถมยังหลบนี้ได้สำเร็จจริงๆ!
…
“เจ้ารู้นะว่ากลับไปแล้วควรพูดยังไง?”
เฉินเฉินแบกหยวนชิงหลิงเอาไว้บนหลังและบินขึ้นฟ้า ตลอดเวลานั้นเขาได้พูดกับหยวนฉิงเทียนในความมืดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้ารู้แล้วครับ พวกเราแค่จับตัวเธอได้ในระหว่างทาง” หยวนฉิงเทียนตอบอย่างหนักแน่น
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะถ้าเขาไม่พูดไปตามนั้น เฉินเฉินก็จะไม่พาเขาไปด้วยในอนาคต
“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว ถ้าเจ้าหลุดพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป เจ้าก็จงกลับไปที่สาขาสองด้วยตัวเองซะ!”
หลังจากพูดคุยกันในระหว่างทาง พวกเขาก็ไปถึงค่ายของสาขาพิษในเวลาไม่นาน
ภายในค่าย สมาชิกของสาขาต่างๆกำลังประชุมวางแผนกันอยู่ในขณะที่หัวหน้าของสาขาพิษกำลังนั่งอยู่ข้างๆ และฟังโจวฉางกับโจวเฟิงอย่างเงียบๆ
เซียนระดับก่อกำเนิดวิญญาณนั้นมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกตน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เก่งเรื่องโจมตีเมืองเลยจริงๆ
…
“พวกเราขอให้สำนักหุ่นเชิดส่งอาวุธปิดล้อมมาดีไหม? พูดตามตรง หลังจากที่เจ้าพวกสำนักใจหยาบนั่นเข้าไปในเมือง ค่ายกลป้องกันก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว และการใช้กำลังโจมตีตรงๆก็คงจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล!” หนึ่งในเซียนแก่นทองคำของสำนักอสูรพูด
“มันก็ได้อยู่หรอก แต่อาวุธกับอุปกรณ์ของสาขาหุ่นเชิดมันมีขนาดใหญ่เกินไป จะให้จับพวกมันยัดเข้าแหวนเก็บของยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นในระหว่างการขนส่งพวกมันจะทำให้เกิดเสียงดังมากเกินไป พวกเราอาจจะถูกปล้นในระหว่างทางก็ได้”
“แล้วพวกเราจะเอายังไงกันดี? ข้าได้ยินมาว่าสำนักอู๋ซินกำลังวางแผนโจมตีสำนักพยัคฆ์ขาวกับสำนักวิหคสีชาดอยู่ เจ้าสำนักที่สังกัดกับสำนักอู๋ซินก็ทะลวงไปถึงระดับก่อกำเนิดวิญญาณแล้วด้วย พวกเราจะมามัวชักช้าไม่ได้อีกแล้ว พวกเราต้องกดดันสำนักอู๋ซินให้ส่งยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณมาให้มากขึ้นอีก
อันที่จริง ตอนนี้รัฐโจวเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการทำสงครามกับรัฐจินและหลายสาขาก็ได้ทำการยึดเมืองไปห้าหรือหกเมืองแล้ว
สำนักอู๋ซินไม่ได้สนใจเรื่องนี้และรวบรวมขุมกำลังส่วนใหญ่ไปป้องกันสำนักสำคัญๆแทน ซึ่งสำนักชิงหลิงก็คือหนึ่งในนั้น
ส่วนขุมกำลังที่เหลือนั้นมีไว้จัดการกับสำนักพยัคฆ์ขาว สำนักวิหคสีชาด สำนักมังกรมรกตและสำนักอื่นๆที่ตั้งใจจะต่อต้าน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะขับไล่สำนักอสูรออกจากรัฐจินหลังจากที่ได้รับชัยชนะ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็ยังใช้สำนักอสูรในการกวาดล้าง 36 สำนักของรัฐจินด้วย
…
ในขณะที่กลุ่มคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เฉินเฉินก็เดินเข้ามาพร้อมกับผู้สืบทอดของสำนักชิงหลิงที่อยู่บนหลัง
ทุกคนต่างก็หันไปมองเฉินเฉิน นายน้อยของสาขาขัดเกลาร่างกายด้วยความเคารพอย่างถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม พวกเขาสงสัยเกี่ยวกับการปรากฎตัวของผู้หญิงที่อยู่กับเขา
‘นายน้อยคนนี้มีรสนิยมพิเศษเหรอ? แต่ว่า เขาพาเธอมาที่ค่ายใหญ่ไม่ได้นะ!’
“นายน้อย แม่นางคนนี้เป็นใครครับ?” โจวเฟิงลุกขึ้นมาแล้วถามด้วยความงุนงง ในขณะที่ชี้ไปยังผู้สืบทอดของสำนักชิงหลิงที่สวมชุดสีเขียว
ในตอนนี้เอง สายตาของเฉินเฉินก็ดูสงบนิ่งและเขาก็ตอบกลับอย่างนิ่งเฉย “ข้าเคยเจอผู้หญิงคนนี้มาก่อน เธอเป็นผู้สืบทอดของสำนักชิงหลิงและลูกสาวของเจ้าสำนักชิงหลิง ข้าเจอเธอในระหว่างทางก็เลยลักพาตัวมา”
“อะไรนะ!?” ฝูงชนต่างอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ
‘นายน้อยสำนักออกไปแค่ครู่เดียว แต่เขากลับมาพร้อมกับผู้สืบทอดสำนักอื่น นี่ข้าฝันไปรึเปล่า?’
‘ถ้านี่คือเซียนหญิงของสำนักชิงหลิงตัวจริง ข้าก็มีวิธีการร้อยแปดพันเก้าในการจัดการกับชิงเฮง!’
เมื่อเห็นคนพวกนี้ดูค่อยๆชั่วร้ายขึ้น เฉินเฉินก็ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเหยียดหยามในใจ
แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยให้สำนักอสูรชนะได้ง่ายเกินไป แต่เอาจริงๆเขาก็ไม่เคยคิดที่จะปล่อยให้พวกเขาเอาชนะรัฐจินได้ด้วย
สำนักอสูรไม่สามารถรองรับสำนักเทียนหยุนได้
ผลลัพธ์ในอุดมคติของเขาก็คือการทำลายสำนักอู๋ซิน และให้สำนักเทียนหยุนเข้ามาแทนที่สำนักอู๋ซินในการควบรวม 36 สำนัก ด้วยวิธีนี้เอง สมดุลของรัฐโจวกับรัฐจินก็จะถูกฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง
เขาจะสร้างฐานที่มั่นทั้งสองฝ่ายและจะกลายเป็นผู้ชนะตัวจริง
อย่างไรก็ตาม การทำเรื่องพวกนั้นเป็นอะไรที่ยากอย่างสุดๆ
“เอ่อ…”
ในขณะที่พวกเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ผู้สืบทอดของสำนักชิงหลิง ชิงเฉียนก็ค่อยๆลืมตาขึ้น และก็เห็นแต่พวกคนแปลกหน้า
มีพวกคนที่สวมหน้ากากน่าขนลุกและศพที่เน่าไปครึ่งนึง บางคนเป็นชายแก่มีอายุที่สภาพเหมือนหนังหุ้มกระดูก ในขณะที่คนอื่นเป็นผู้หญิงแปลกๆที่สวมแค่เศษผ้า
ในขณะที่มองคนกลุ่มนี้ ชิงเฉียนก็แทบจะน้ำตาไหลออกมา สายตาของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ในช่วงเวลานี้ เธอถูกครอบงำด้วยความกลัว
“ข้าอยู่ที่ไหน? นี่คือนรกเหรอ?”