ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything - Chapter 13 ขี้วัวเป็นเหตุถึงแก่ความตาย
- Home
- ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything
- Chapter 13 ขี้วัวเป็นเหตุถึงแก่ความตาย
ดวงตาของเจ้าหน้าที่โจวกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ในขณะที่เขามองดูฉากที่เกิดขึ้น
พ่อบ้านหวังไม่ได้แค่ดวงซวยธรรมดาแล้ว มันเหมือนกับว่าเขาก้าวขาผิดข้างออกจากบ้านและเจอเรื่องซวยซ้ำซวยซ้อน
ด้วยการกระแอม โจวก็แนะนำพวกเขา “พาพ่อบ้านหวังขึ้นหลังม้าแล้วพาเขาไปดูอาการที่มณฑล”
เมื่อได้ฟังคำสั่ง เจ้าหน้าที่ก็เข้าไปหาหวังเอ้อแล้วอุ้มเขาขึ้นม้าในทันที
หวังเอ้อที่ถูกพาดเอาไว้บนหลังม้ามีแต่จะรู้สึกโกรธขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายความโกรธของเขายังคงเป็นครอบครัวของเฉินเฉิน
ถ้าพวกเขาสามคนไม่วิ่งหนีไป เขาก็คงจะไม่ได้มาอยู่ในสภาพแบบนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ ดวงตาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของเขาก็จ้องไปที่เฉินเฉินอย่างต่อเนื่องด้วยความโกรธถึงขีดสุด
เฉินเฉินตัวสั่นระริก
นี่มันน่าขนลุกชะมัด
หวังเอ้อถูกพาดเอาไว้บนหลังม้าตัวนึง ศีรษะที่บวมปูดทำให้เขาดูเหมือนสัตว์ประหลาด ความเป็นมนุษย์เดียวที่หลงเหลืออยู่บนหน้าของเขาก็คือดวงตา และเขาก็ยังคงจ้องมาที่เฉินเฉิน!
สภาพแบบนี้มัน…
ถ้าเอาไปทิ้งไว้ในบ้านผีสิงในชีวิตก่อนของเขา พวกเด็กๆได้ร้องไห้โฮแน่
“พ่อบ้านหวัง ไหวไหมครับ?” เจ้าหน้าที่โจวถามในขณะที่เข้าไปใกล้
ความหมายที่แท้จริงของเขานั้นชัดเจน “จะตายรึเปล่า?”
ถ้าเขาตาย โดยไม่มีพยายานหลักฐานในที่รกร้างเช่นนี้ เขาจะได้เงินกลับมาหลังจากที่เสร็จงานแล้วได้ยังไง?
“อั๊กกก…”
หวังเอ้อพยายามพูดแต่ปากของเขาปูดจนมีขนาดใหญ่พอๆกับหม้อ ดังนั้น เขาจึงทำได้แค่ส่งเสียงงึมงำโดยที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย
เขาจ้องเฉินเฉินอีกครั้งอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็หันกลับมามองเจ้าหน้าที่โจวเพื่อสร้างความมั่นใจ
เฉินเฉินค่อนข้างประหลาดใจกับภาพนี้ในขณะที่เขาสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น พ่อบ้านหวังนี่สมกับเป็นพ่อบ้านของตระกูลใหญ่จริงๆ แม้ว่าจะใช้ได้แค่ดวงตา เขาก็ยังแผ่เจตนาของเขาออกมาได้
ช่างเป็นคนที่น่าประทับใจจริงๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจ้าหน้าที่โจวก็ลังเล ณ ตอนนี้ เขากำลังรู้สึกสองจิตสองใจ
จากนั้น จู่ๆพวกม้าก็แตกตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะมีใครตอบสนองได้ทัน พวกม้าก็วิ่งลึกเข้าไปในป่า ราวกับว่าพวกมันเป็นบ้าไปแล้ว
ในขณะที่ถูกพาดเอาไว้บนหลังม้า ใบหน้าของหวังเอ้อนั้นบวมปูดเกินกว่าที่จะอ่านอารมณ์ของเขาได้ แต่ดวงตาของเขานั้นแสดงให้เห็นถึงความตกใจ ความสับสน และความสิ้นหวังอันไร้ที่สิ้นสุด
เหมือนกับเด็กที่ถูกลากไปโรงเรียนในวันแรกของการเปิดเทอม หวังเอ้อได้หายเข้าไปในป่า
“พ่อบ้านหวังถูกม้าลักพาตัวไปแล้ว”
เฉินเฉินมองจากที่ไกลๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ในที่สุดเจ้าหน้าที่โจวก็เข้าใจสถานการณ์ แล้วตะโกนออกมา “วิ่ง!”
…
หลายนาทีต่อมา
กลุ่มพวกเขาก็ได้เจอกับพวกม้าที่กำลังเพลิดเพลินกับหญ้าสดๆที่อยู่ลึกเข้ามาในป่า
ในขณะเดียวกันนั้นเอง หวังเอ้อกำลังนอนอยู่ใต้ม้าตัวนึง คอของเขาบิดเบี้ยว และลมหายใจก็หายไปแล้ว
ดวงตาที่เป็นส่วนเดียวที่ใช้การได้ของเขาก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า
“เขาคอหักตายหรอ?”
ความตกใจของเจ้าหน้าที่โจวนั้นไม่มีใครเทียบเท่าได้
คนที่มีทักษะการต่อสู้ติดตัวซึ่งเดินทางมากับเขาหลายกิโลเมตรได้ถูกฆ่าจากการถูกม้าสลัดหลุดหลังจากที่เจออุบัติเหตุมามากมายเนี่ยนะ?
ใครมันจะไปทำใจเชื่อลงกัน!?
แต่ความจริงอยู่ตรงนี้แล้ว! ศพยังอุ่นอยู่เลยด้วย
เฉินเฉินนั่งยองๆด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ แล้วปิดตาของหวังเอ้อพร้อมกับถอนหายใจออกมา “พ่อบ้านหวังเป็นคนที่เก่งรอบด้าน เว้นเสียแต่เรื่องการทำตัวเป็นคนดี เขาได้ทำเรื่องไม่ดีมามากเกินไป นี่คงเป็นผลกรรมของเขาสินะ โถ่…”
เมื่อได้รับรู้ถึงคำพูดของเฉินเฉิน สีหน้าของเจ้าหน้าที่โจวก็แสดงความหวาดกลัวออกมา
การที่พ่อบ้านหวังเจอเรื่องโชคร้ายแบบนี้นั้นเขาคิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆนอกจากมันเป็นเพราะผลกรรม
“พ่อบ้านหวัง เกิดชาติหน้าก็อย่าคิดเรื่องฆ่าแกงให้มากนักหล่ะครับ เห็นไหม? แม้แต่สวรรค์ก็ยังรับไม่ได้เลย แล้วถ้าสวรรค์ยังรับไม่ได้แบบนี้ ถึงจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มามากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
คำพูดที่ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจของเฉินเฉินนั้นมีแต่จะเรียกเหงื่อจากใบหน้าของเจ้าหน้าที่โจว
เขาเคยทำงานลอบสังหารสำเร็จมาไม่ใช่น้อย แต่ในแง่ของศิลปะการต่อสู้นั้น เขาไม่ได้เก่งไปกว่าพ่อบ้านหวังเท่าไหร่นัก
เมื่อเห็นสภาพการตายที่น่าสมเพชของพ่อบ้านหวัง เขาก็รู้สึกเหมือนกับถูกฟ้าผ่า
ผลกรรมมันมีจริงๆหรอ?
ในขณะที่คิดเช่นนี้ เขาก็ตัดสินใจว่าเขาจะเป็นคนดีนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“น..น้องชาย ไปกันเถอะ พอถึงที่ว่าการแล้วช่วยเป็นพยานให้พวกเราด้วยนะ ที่พ่อบ้านหวังตายก็เพราะความดวงซวยของเขา ไม่ได้เป็นเพราะความตั้งใจของพวกเรา”
เจ้าหน้าที่โจวเดินมาหาเฉินเฉิน น้ำเสียงของเขาสั่นเครือและคำพูดของเขาก็เป็นมิตรกว่าเดิมมาก
เฉินเฉินลุกขึ้นในขณะที่เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้วครับ พลเมืองดีอย่างพวกเราไม่เคยโกหกหรอก”
เจ้าหน้าที่โจวทิ้งขว้างแผนการที่จะลอบสังหารครอบครัวของเฉินเฉินไปแล้ว ในขณะที่เหงื่อกำลังไหลพรากเขาก็พยักหน้า
เฉินชานและฉินโหลวเองก็กำลังมองหน้ากัน แล้วพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเห็นด้วยความไม่อยากเชื่อ
หวังเอ้อ ที่สนุกกับการใช้อำนาจของตัวเองและเอาเปรียบคนอื่นมาเป็นสิบๆปีพึ่งจะมาตายโดยไม่มีเหตุผลที่แน่ชัดเนี่ยนะ?
ในโลกมันมีเหตุการณ์แบบนี้อยู่ด้วยหรอ?
…
หลังจากนั้น ทั้งกลุ่มก็เดินทางไปยังที่ว่าการต่อ ตอนนี้มีศพบนหลังม้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งศพแล้ว
สำหรับการเดินทางที่เหลือนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนได้ระวังตัวอย่างเต็มที่ ถ้ามีคนมาเห็นท่าทีของพวกเขา อาจจะนึกว่าเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้กำลังถูกอาชญากรที่มีค่าหัวเพ่งเล็งอยู่ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเดินทางนั้นไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรอีก
ทุกคนไปถึงที่ว่าการโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรเพิ่มเติม
เจ้าเมืองเป็นคนที่อยู่ในระดับการฝึกตน เขาคงจะไม่โผล่มาถ้าไม่มีธุระสำคัญ
ปัญหาเล็กๆอย่างเรื่องพวกนี้จึงถูกส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่ว่าการ
ด้วยการตายของหวังเอ้อ จึงไม่มีใครยอมจ่ายเงินให้กับการลอบสังหารตระกูลเฉินอีก แรงจูงใจของเจ้าหน้าที่โจวก็เลยถูกกำจัดไป
นอกจากนี้ เมื่อเห็นการตายของหวังเอ้อแล้ว เขาก็ตัดสินว่าจะเป็นคนที่ดีขึ้น ดังนั้น เขาจึงไม่สร้างความยากลำบากให้กับครอบครัวของเฉินเฉินอีก
หลังจากยืนยันได้แล้วว่าเว่ยเหลาซานเป็นนักฆ่า เขาก็ถึงกับมอบรางวัลให้พวกเขาเป็นธงสามเหลี่ยมที่อ่านได้ว่า “กำจัดอันตรายเพื่อปวงชน” และกล่าวชื่นชมพวกเขาเพิ่มเติมในระหว่างทาง
ครอบครัวของเฉินเฉินได้กลับไปที่หมู่บ้านหินอย่างมีความสุขพร้อมธงสามเหลี่ยมนี้
…
ในอีกด้านนึง สีหน้าของหวังหู่นั้นบึ้งตึงในขณะที่เขามองหวังเอ้อ ที่ใบหน้าเละจนจำไม่ได้แล้ว
ด้วยการขอให้หวังเอ้อไปกำจัดครอบครัวนั่น ก็ถือว่าเขาได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแล้ว
แต่แล้วยังไงหล่ะ?
ในเวลาแค่วันเดียว หวังเอ้อก็มานอนตายอยู่ตรงหน้าเขา แถมอยู่ในสภาพที่แม้แต่แม่ของเขาก็คงจะจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“ท่านพ่อ พ่อบ้านหวังตายได้ยังไง? เขากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง!” หวังซูฉินถามอย่างโกรธเคือง
หวังหู่มีแต่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นในตอนที่ได้ฟังคำถาม แล้วโยนหนังสือผ้าไหมเล่มนึงให้หวังซูฉิน
“ดูเอาเองและกัน! นี่คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทางการเขียนยืนยันการตายของเขา!”
หวังซูฉินรับหนังสือผ้าไหม แล้วเธอก็อ่านต่อ ความโกรธในดวงตาของเธอนั้นแทบจะกักเก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว
“ในระหว่างการเดินทาง พ่อบ้านหวังได้พลาดไปเหยียบขี้วัวเข้ากองนึง
“จากนั้น เนื่องจากอุบัติเหตุดังกล่าว ทำให้เขาเกิดลื่นขึ้นมา ซึ่งพ่อบ้านหวังได้กระโดดตีลังกากลางอากาศ 360 องศา และในตอนที่เขาลงมาเหยียบพื้น เขาก็ไปเหยียบเข้ากับก้อนหินคมๆทำให้บาดเจ็บที่ฝ่าเท้า
“ในภายหลัง ข้างในป่า เขาได้เจอกับฝูงผึ้ง เนื่องจากอาการบาดเจ็บดังกล่าว พ่อบ้านหวังจึงไม่สามารถหนีตามคนอื่นได้ทัน ดังนั้นจึงโดนผึ้งต่อยจนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
“หลังจากอาการบาดเจ็บเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ได้อุ้มพ่อบ้านหวังขึ้นหลังม้าด้วยความตั้งใจจะจะแบกเขาไปทำการรักษาที่มณฑล อย่างไรก็ตาม จู่ๆม้าก็แตกตื่นขึ้นมา แล้ววิ่งหายลึกเข้าไปในป่าพร้อมกับพ่อบ้านหวัง
“พ่อบ้านหวังตกจากหลังม้าและคอหักในระหว่างทาง ส่งผลให้เขาถึงแก่ความตาย”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย! คนในที่ว่าการมัวทำอะไรอยู่? พวกเขาคิดว่าตระกูลหวังเป็นคนโง่รึไง? แม้แต่นักเล่าเรื่องก็คงไม่กล้ากุเรื่องแบบนี้ขึ้นมาด้วยซ้ำ!
หวังซูฉินฉีกหนังสือผ้าไหมเป็นชิ้นๆในขณะที่ตะโกนโหวกเหวก
หวังหู่ได้ฟังคำพูดเหล่านี้แล้วยิ้มแหยๆออกมา
“พวกนั้นต้องใช้โอกาสนี้เพื่อเตือนตระกูลของเราแน่ๆ เห้อ หวังเอ้อตายเพราะขี้วัวหรอ พวกนั้นเก่งเรื่องการดูถูกซะจริง”
การแสดงออกทางสีหน้าของหวังซูฉินยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกในตอนที่เธอได้ฟังเช่นนี้
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เยาะเย้ยแล้วพูดออกมา “เมื่อคืนก่อน คุณชายจากตระกูลจางเกือบจะถูกฆ่าในการพยายามลอบสังหาร สองตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลกำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง พวกนั้นคงมีเรื่องเยอะแยะให้ยุ่งจนหัวหมุนหล่ะสิ”
“ด้วยการเตือนตระกูลของเราถึงขนาดนี้ ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะอยากกันไม่ให้พวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยสินะคะ”
หวังหู่พยักหน้า หลังจากที่มาคิดดูดีๆแล้ว เขาก็รู้สึกว่าทฤษฎีนี้น่าเชื่อถือ
“แล้วจะเอายังไงกับครอบครัวของเฉินชานดีหล่ะ?” หวังหู่ถาม
“พรุ่งนี้ก็เป็นวันเก็บค่าเช่าแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมหมู่บ้านนั้นด้วยตัวเอง ในอีกไม่นานนี้ที่ว่าการคงตกอยู่ในความวุ่นวาย จากการที่ต้องไปคอยระงับเรื่องของอีกสองตระกูล ไม่มีใครมาหยุดพวกเราได้หรอกค่ะ” หวังซูฉินพูดอย่างเย็นชา
ในอดีต ถ้าพวกเขาอยากฆ่าพลเรือนซักคน พวกเขาก็ต้องเตรียมการระดับนึงถึงจะจัดการเรื่องนั้นได้
แต่ด้วยความที่มณฑลเสฉวนใกล้จะตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น