ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything - Chapter 130 ชายแก่ที่เกรี้ยวกราด
- Home
- ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything
- Chapter 130 ชายแก่ที่เกรี้ยวกราด
เมฆทัณฑ์สายฟ้าได้กระจายหายไป
เฉินเฉินเริ่มจริงจังมากขึ้นและเขาเก็บแหวนเก็บของทั้งหมดลงไปอย่างไม่มีความลังเลใจ เขาถอดเกราะต้านทานไฟฟ้าที่ส่องประกายสีทองออกมา ก่อนที่จะคำนับไปยังบนท้องฟ้า
“สวรรค์ ข้าได้ถูกผลักลงไปอยู่ในความยากลำบากและความสิ้นหวัง มันจึงทำให้ข้าได้พูดจาไร้สาระไป พวกเราจะพบเจอกันอีกหลายต่อหลายครั้ง ฉะนั้นได้โปรดอย่าเก็บมันเอาไปคิดเลย ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะทำร้ายใครในอนาคต ได้โปรดอย่าทำเรื่องแบบนั้นอีกเลย… ดูสิ สวรรค์ได้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ไปมากมายเพียงใดและได้ทำลายความสงบที่เกิดขึ้น!”
ในเวลาเดียวกัน มันก็มีเสียงฟ้าร้องด้านบนท้องฟ้า
“นั่นคือสมบัติของสำนักอู๋ซิ่น…”
ก่อนที่เขาจะพูดเสร็จ สีหน้าของเฉินเฉินก็เปลี่ยนไปและเขาก็ชี้ไปนิ้วไปด้านหน้า หลังจากนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงมาและสังหารผู้อาวุโสสำนักอู๋ซิ่นไป
“ครั้งสุดท้ายแล้ว!”
หลังจากพึมพำเสร็จแล้ว เฉินเฉินทะยานขึ้นไปบนฟ้าและบินไปยังที่ที่ห่างไกล
พูดตามปกติแล้ว ผู้อาวุโสขั้นก่อกำเนิดวิญญาณจากสำนักอู๋ซิ่นน่าจะกลับมาแล้ว หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ถ้าเขาไม่รีบมากพอ เขาอาจจะไม่ได้กลับออกไปเลยอีกก็ได้
ในสวนที่เขาสลบไปก่อนหน้านี้ เฉินเฉินพบชิงเฉียนและชิงเฮงที่นอนสลบอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง เขาถอนหายใจออกมาและลากทั้งสองคนออกมาจากซากปักหักพัง ก่อนที่จะป้อนน้ำอมฤตให้พวกเขากิน ก่อนที่จะลากพวกเขาออกไปจากสำนักอู๋ซิ่น
เมื่อเป็นผู้ฝึกตนขั้นแก่นทองคำที่พึ่งเลื่อนขั้นมาใหม่ เขาก็พยายามที่จะทำเรื่องที่ดี
…
หลังจากบินไปห้าสิบเมตร เฉินเฉินก็ค่อยผ่อนคลายและปลุกทั้งสองขึ้น
“พวก….พวกเราอยู่ที่ไหนกัน? เกิดอะไรขึ้น?” ทันใดนั้นเอง ชิงเฉียนที่กำลังฝันอยู่ เธอก็ดูสับสนตอนที่เธอถูกปลุกให้ตื่น
ยังไงก็ตาม ชิงเฉิงดูเหมือนจะจำได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสำนักอู๋ซิ่นและเขาดูตื่นตระหนก
‘สำนักอู๋ซิ่นถูกทำลายไปแล้ว!’
‘ผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซิ่นจะต้องเกรี้ยวกราดมากแน่! นี่คือรากฐานที่พวกเขาสร้างกันมาอย่างเนิ่นนานนับพันปี!’
“ศิษย์น้องเฉิน เจ้าพาพวกเราออกมางั้นเหรอ?” ชิงเฉียนถาม เธอมองไปยังเฉินเฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อนแล้วเธอก็ดูตึงเครียดมากขึ้น
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว เฉินเฉินถอนหายใจออกมาและพูดอย่างเบาๆ “สำนักอู๋ซิ่นจะไม่ปล่อยให้ใครก็ตามหนีไปอย่างแน่นอนกับเรื่องที่เกิดขึ้น อา พวกเราต่างเป็นคนนอกกันทั้งคู่และถ้าข้าไม่พาพวกเจ้าออกมา พวกเจ้าทั้งสองคนอาจจะตายกันก็ได้”
“แต่ท่าน…ระดับการฝึกตนของท่าน…” ชิงเฉียนสับสน
“ข้าได้เรียนรู้วิชามาบ้างจากสำนักอสูร ซึ่งมันสามารถช่วยชีวิตของพวกเราได้ในยามคับขันเช่นนี้” เฉินเฉินพูด
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ชิงเฉียนก็ตระหนักได้ ตั้งแต่ที่เขาซ่อนตัวอยู่ในสำนักอสูร เขาจะต้องได้เรียนรู้อะไรบางอย่างมากจากสำนักอสูรอย่างแน่นอน
‘แต่ศิษย์น้องเฉินได้เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยข้าและพ่อของข้า เจ้าจะกลับไปยังสำนักอู๋ซิ่นได้อีกหรือ?’
ด้วยความคิดนี้ที่อยู่ในหัวของเธอ เธออดที่จะเป็นกังวลไม่ได้และหันไปมองทางเฉินเฉิน
“ศิษย์น้องเฉิน เจ้าช่วยอธิบายให้พวกเราหน่อยสิว่า พวกเราควรที่จะทำอะไรต่อกันดี?”
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ เขาดูคาดหวังว่ามันจะดีกว่านี้
“นักบุญของสำนักอู๋ซิ่นไม่ได้เป็นคนของสำนักอู๋ซิ่นที่ข้าชอบตั้งแต่เริ่มต้น แม้ว่าจะไม่ได้สู้กับสำนักอสูรแล้ว พวกเขาก็จะหยุดปัญหาภายในก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้ ลูกศิษย์บางคนที่ก้าวข้ามระดับในจุดแก่นกลางของสำนักจนทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่!”
“สำนักอู๋ซิ่นแบบนี้ไม่ได้มีดีพอสำหรับข้าหรอก ข้าจะไปยังสำนักอื่นและช่วยพวกเขาต่อสู้กับสำนักอสูร”
หลังจากพูดคำเหล่านี้จบ สีหน้าของเฉินเฉินก็เปลี่ยนไปก่อนเขาจะเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเฉินเฉินแล้ว ชิงเฉียนก็ตกตะลึงและเธอตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เธอจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
‘ศิษย์น้องเฉินกำลังร้องไห้?’
‘เอ่อ มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกแบบนั้น ตั้งแต่ที่สำนักที่รักของเขาถูกทำลายไปและเขาต้องออกไปจากพวกมัน ข้าจินตนาการได้เลยว่าเขาน่าสงสารมากเพียงใด’
ด้วยความคิดนี้ในหัวของเขาแล้ว ชิงเฉียนต้องการที่จะปลอบประโลมเฉินเฉิน แต่เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี
ในเวลาเดียวกัน เฉินเฉินโบกมือให้กับเธอ
“นักบุญ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อแล้วละ ข้าได้แสดงเจตจำนงของข้ามาแล้วว่าต้องการต่อสู้กับสำนักอสูร ปัญหาเล็กน้อยแบบนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรกับข้าหรอก”
“มันมีข่าวลือว่าสำนักเทียนหยุนมีความมุ่งมั่นอย่างมากในการเผชิญหน้ากับสำนักอสูร ข้าจะไปเข้าร่วมกับสำนักอสูร เมื่อข้าไปถึงที่นั่น ช้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะยอมรับของเสียอย่างข้าไปหรือไม่ ฮ่าๆ เส้นทางนี้ช่างอีกยาวไกลนัก ท่านนักบุญ พวกเราจะพบกันใหม่ เมื่อโชคชะตานำพามาให้เราพบกันอีกครา!”
หลังจากพูดเสร็จ เฉินเฉินลุกขึ้นยืนและเดินไปยังทิศที่พระอาทิตย์ขึ้น
เธอมองไปยังแผ่นหลังที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังปาดน้ำตาของเขา ชิงเฉียนหัวใจแตกสลาย
‘ในโลกเช่นนี้ มันยังมีวีรบุรุษอีกมากมายที่ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงอะไร พวกเขาเป็นคนที่น่านับถือเสียจริง’
…
เฉินเฉินเดินไปไกลอีกหลายร้อยเมตร ก่อนที่จะเร่งความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม เพียงเวลาไม่นานเขาก็เดินไปไกลจากพวกเขาทั้งสองคน
เมื่อมองไปยังหน้ากากในมือของเขา เฉินเฉินพูดไม่ออก
หลังจากผ่านวันที่เหน็ดเหนื่อยและยาวนาน ของขวัญจากภรรยาของอาจารย์ของเขาก็พังพินาศลง
โชคยังดีที่เขามีไหวพริบมากพอที่จะไม่เปิดเผยตัวตนของเขา
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาไม่ได้ธรรมดาทั่วไปและเขายังเชื่อว่าชิงเฉียนจะจำเขาได้ทันทีที่เห็นเขา
“เอาละ ตอนนี้ไม่มีใครจากสำนักอสูรอยู่ที่นี่แล้ว มันถึงเวลาที่จะไปหาอาจารย์แล้วละ”
‘ภรรยาของอาจารย์คงจะให้หน้ากากกับเขามาเยอะมาก ข้าจะไปขอเขามาสักชิ้นหนึ่ง’
‘นอกจากนี้แล้ว ข้าจะต้องไปมอบสมบัติที่ได้รับมาส่วนหนึ่งจากสำนักอู๋ซิ่นให้กับอาจารย์ด้วย’
สำนักเทียนหยุนยังอีกนานมากเกินกว่าที่พวกเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะท้าชิงกับสำนักอสูร ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องมีทรัพยากรไว้ใช้จำนวนมาก
ของส่วนใหญ่ที่อยู่ในมือของเขานั้นมันไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่และของเหล่านี้ ถ้ามอบมันให้กับสมาชิกของเทียนหยุนแล้ว มันจะทำให้พวกเขาพัฒนาขึ้นไว้กว่านี้
นอกจากนี้แล้ว อาจารย์ของเขาที่อยู่ขั้นก่อกำเนิดวิญญาณระดับกลางก็ยังอยู่น้อยกว่าเล็กน้อยและมันยังมีความแตกต่างกันอีกมากระหว่างเขากับยอดฝีมือจากสำนักอสูร
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฉินเฉินเร่งความเร็วขึ้นและบินไปทางสำนักพยัคฆ์ขาว
สำนักพยัคฆ์ขาวนั้นคือสนามรบหลักที่สามสำนักร่วมมือกันเผชิญหน้ากับสำนักอู๋ซิ่น เขาคิดว่าอาจารย์ของเขาน่าจะยังอยู่ที่นั่น
‘สำหรับยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดวิญญาณของสำนักอู๋ซิ่นจะต้องกลับไปกันหมดแล้วใช่ไหม?’
‘ข้าละสงสัยจริงว่าปฏิกิริยาของอาจารย์จะเป็นยังไง เมื่อเขาเห็นว่าข้ามีทรัพยากรมากถึงเพียงนี้’
…
มันเป็นไปตามที่เขาจินตนาการเอาไว้
มันมีซากปรักหักพังอยู่ด้านบนเหนือสำนักอู๋ซิ่น
ชายแก่หัวหงอกหลายคนมองไปยังภาพด้านล่าง สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อกับสิ่งที่พวกเขาเห็น
พวกเขาอดจะเชื่อไม่ได้ว่านี่คือสำนักอู๋ซิ่น!
บรรพบุรุษที่เดินนำอยู่สั่นสะท้านอย่างหนักหน่วง ออร่าอันแข็งแกร่งของเขาระเบิดเข้าใส่ซากปรักหักพังด้านล่าง!
“มันเป็นใคร! มันเป็นใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ขึ้น!” บรรพบุรุษของสำนักอู๋ซิ่นมองขึ้นไปบนฟ้าและคำรามออกมา!
ไม่มีใครตอบเขาและเขารู้ดีว่าแทนที่จะบ่นเอาแต่อย่างนี้ มันน่าจะยังมีผู้รอดชีวิตอยู่ด้านในซากปรักหักพังนั่น
เขาเมินไปยังผู้รอดชีวิต บรรพบุรุษของสำนักอู๋ซิ่นบินไปยังพระราชวังอู๋ซิ่นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเดินผ่านคลังสมบัติไป เขามองเข้าไปคลังสมบัติที่ว่างเปล่า ตาของเขากระตุกอย่างต่อเนื่องและกัดฟันแน่น
โชคยังดีที่เขาได้ฝึกวิชาฉิงเต๋าขั้นสุดยอดซึ่งมันได้ช่วยเขาไม่ให้เขาสติแตกไป
ชั่วขณะต่อมา ท่านบรรพบุรุษก็ได้มาถึงห้องโถงของพระราชวัง
เขาได้มาถึงพระราชวังอู๋ซิ่น
มันมีหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกกว่าพันเมตรและกว้างกว่าหนึ่งร้อยเมตร! มันเหมือนกับว่ามีหินก้อนยักษ์บินลงมาจากท้องฟ้า!
มันไม่มีอะไรอยู่ด้านในเลยสักนิดเดียว ไม่มีแม้แต่หินวิญญาณสักก้อน ไม่ต้องพูดถึงแก่นวิญญาณเลย มันเหลือเพียงแต่พลังวิญญาณที่หนาแน่นลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งมันเคยบอกว่าสถานที่แห่งนี้มีแก่นวิญญาณเคยตั้งอยู่
ยังไงก็ตาม มันจะมีประโยชน์อะไรอีกกัน? โดยปราศจากแก่นวิญญาณเป็นรากฐานแล้ว พลังวิญญาณก็จะหายไปในเวลาไม่ช้า
“รากฐานของสำนักอู๋ซิ่นได้หายไปหมดแล้ว…”
สีหน้าของบรรพบุรุษหน้าแดงฉานและเลือดไหลออกมาจากปากของเขา
ยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณที่เห็นก็ตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น
“ท่านบรรพบุรุษ! ใจเย็นนะครับ!”
“ไสหัวไป!”
บรรพบุรุษของสำนักอู๋ซิ่นคำรามออกมาอย่างโกรธเคืองและซัดยอดฝีมือกระเด็นออกไป พวกเขาต่างบินออกไปจากหลุมขนาดใหญ่อย่างไม่ยินดี
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
บรรพบุรุษของสำนักอู๋ซิ่นได้พบกับเศษซากของโลงศพแล้ว
เมื่อเห็นซากโลงศพ บรรพบุรุษคำรามออกมาอย่างกราดเกรี้ยวแล้วเขาก็หัวเราะและร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาดูน่าสงสารยิ่งกว่าตอนที่เขาพบว่าฉงเย่ตายไปเสียอีก!
“หุ่นศพอสูรหยินได้ถูกทำลายไปแล้ว…ข้า…ข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับท่านผู้นั้นยังไงกัน?! หงุดหงิดเหลือเกิน!”
เขามองขึ้นไปบนฟ้า เขารับแรงกระแทกนี้ไปไม่ไหว ก่อนที่จะปิดตาและสลบลงไปในหลุม