ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything - Chapter 51 นี่คือประเทศของข้า
“รางวัลเป็นการตรวจสอบโอกาส 1 ครั้งภายในภูเขาเทียนหยุนงั้นเหรอ….”
หัวใจของเฉินเฉินเต้นระรัว แน่นอนว่าเขาไม่มีทางที่จะใช้โอกาสที่ล้ำค่าเช่นนี้อย่างสิ้นเปลือง เขาจะต้องวางแผนดีๆก่อนที่จะใช้มัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้มันไม่มีสิ่งใดที่เขาจำเป็นต้องการเนี่ยสิ
….
ในอีกด้านหนึ่ง เซี่ยวอู่โยวได้มาถึงตำหนักของเจ้าสำนัก ซึ่งเป็นสถานที่ของผู้อาวุโสต่างรวมตัวกัน
มันเป็นวันที่ลูกศิษย์คนใหม่ได้เข้าร่วมกับสำนัก นอกจากนี้แล้ว เซี่ยวอู่โยวได้เลือกผู้สืบทอดของเขาแล้ว ตั้งแต่ที่มันเป็นวันที่สำคัญเช่นนี้แล้ว ผู้อาวุโสจึงต้องรวมตัวกันเพื่อพูดคุยปรึกษากันอย่างแน่นอน
“เจ้าสำนักครับ หลังจากที่ออกไปสืบค้นเบื้องหลังของเฉินเฉิน เขานั้นได้เกิดในหมู่บ้านหินจริงๆ และเขายังเป็นคนของจี๋โจวด้วย มันจึงไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้นครับ”
หนึ่งในผู้อาวุโสรายงานออกมา
เซี่ยวอู่โยวพยักหน้า เขาไม่ได้ประหลาดใจกับข่าวนี้
“เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ไปแพร่กระจายข่าวว่าเฉินเฉินได้รับการแต่งตั้งเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเทียนหยุนซะ ให้พวกสำนักอู๋ซิ่นรับรู้ด้วย”
ผู้อาวุโสพยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
สำนักอู๋ซิ่นเป็นผู้ปกป้องของรัฐจิน ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นแข็งแกร่งที่สุดท่ามกลาง 36 สำนัก พวกเขายังคงเป็นกองกำลังในการสู้กับสำนักอสูรของรัฐโจวอีกด้วย
สำนัก 35 สำนักที่เหลือของรัฐจินต่างเป็นพันธมิตรกับสำนักอู๋ซิ่นกันทั้งหมด ด้วยเหตุนี้นี่เอง สำนักเทียนหยุนจำเป็นที่จะต้องแจ้งสำนักอู๋ซิ่น เพื่อที่จะได้รับคำอนุญาตว่าพวกเขาได้พบผู้สืบทอดแล้ว
“เจ้าสำนักครับ มันไม่ได้ตลกมากเกินไปหรืออย่างไรกับการที่จะทำให้เฉินเฉินกลายเป็นผู้สืบทอดหรือยังไงครับ เขาพึ่งจะเข้าร่วมกับสำนักมาเนี่ยนะครับ?”
ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านล่างฝั่งซ้ายที่หัวและเคราหงอกตั้งคำถามออกมา
เขาเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุน ผู้ซึ่งมีสถานะเป็นอันดับสอง เขามีอำนาจเป็นรองเพียงแค่เจ้าสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น
เพียงเวลาไม่นานที่เขาพูดเสร็จ ผู้อาวุโสซิงฟาที่ยืนอยู่ด้านข้างหัวหน้าผู้อาวุโสพูดแทรกขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“ใช่ครับ ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ในมากมายต่างฝึกฝนกันอย่างยากลำบาก เพื่อที่จะได้ขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ แต่เฉินเฉินได้รับสืบทอดชื่อผู้สืบทอดตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวเข้ามาสำนักเลยเนี่ยนะครับ! มันจะเกิดความขัดแย้งกันภายในอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอนครับ”
เซี่ยวอู่โยวเหลือบตามองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสองที่มีหลานชายและหลานสาวกันทั้งคู่ หลานชายทั้งสองคนของพวกเขาต่างมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม ท่ามกลางหมู่ศิษย์ภายในแล้ว พวกเขาต่างมีลำดับอยู่ที่หนึ่งและสอง
พวกเขาต่างตั้งคำถามนี้ขึ้นมา มันเป็นเพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะสร้างโอกาสให้กับหลานของพวกเขา
ถ้าเฉินเฉินมีร่างกายวิญญาณสายฟ้าตั้งแต่กำเนิดจริง เขาก็คงจะมอบให้เหล่าศิษย์ทั้งสองนั่นมีโอกาสอยู่
แต่โชคร้ายที่ลูกศิษย์ของเขาไม่ได้มีร่างกายเช่นนั้นเนี่ยสิ
แน่นอนว่าในหมู่ผู้อาวุโสที่อยู่กันตรงนี้ มีเพียงเว่ยฉานเฮอเท่านั้นที่รับรู้ความจริง
ในความเป็นจริงแล้ว ทั่วทั้งสำนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้มัน
พวกเขารู้ดีว่าเฉินเฉินนั้นมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่พวกเขายังไม่รู้ว่าความยอดเยี่ยมของเฉินเฉินนั้นมากถึงเพียงใด
“ท่านเจ้าสำนักครับ ทำไมพวกเราถึงไม่ตั้งบททดสอบย่อยให้กับเฉินเฉินกันละครับ เพื่อที่จะทำให้เขาได้กลายเป็นผู้สืบทอดได้หลังจากที่เขาสอบผ่านกันละครับ? เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เหล่าลูกศิษย์คงจะรู้สึกดีกว่าและคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยุติธรรมสำหรับพวกเขา”
เมื่อเห็นเจ้าสำนักเงียบ ผู้อาวุโสซิงฟาพูดขึ้นมาอีกหนึ่งครั้ง
“บททดสอบ?” เมื่อเซี่ยวอู่โยวได้ยินมัน เขาอดที่จะนึกถึงอดีตที่ไม่น่าจดจำได้ คิ้วขมวดคิ้วแน่น
“ใช่ครับ พวกเราจะมอบคำถามให้เขาตอบ 81 คำถาม” ผู้อาวุโสซิงฟาพูดออกมาอย่างปกติธรรมดาทั่วไป
“มันไม่จำเป็น”
เซี่ยวอู่โยวปฏิเสธความคิดนี้ทันที
เมื่อเฉินเฉินเริ่มบ่มเพาะลมปราณ กระแสการไหลเวียนของพลังปราณมันก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงอนุญาตให้เฉินเฉินฝึกตนบนยอดเขาแห่งนั้น
ถ้าเฉินเฉินจะต้องไปเผชิญหน้ากับบททดสอบไร้สาระเช่นนั้นแล้ว ความจริงที่เขามีร่างกายวิญญาณต้นกำเนิดก็จะถูกรับรู้โดยทุกคน
นอกจากนี้แล้วเขายังได้มอบ ‘วิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุน’ ให้กับเฉินเฉินไปแล้ว มันจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่เขาต้องคืนคำพูด
แม้ว่าเซี่ยวอู่โยวจะปฏิเสธไปแล้วก็ตาม หัวหน้าผู้อาวุโสยังคงเถียงต่อ “เฉินเฉินได้เกิดมาในชนบทและเขาไม่น่าจะได้รับการเรียนการสอนด้านมารยาทมาก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะพัฒนาได้อย่างรวดเร็วก็ตาม สถานะการฝึกตนตอนนี้ของเขาก็ยังต่ำอยู่ดี เขาจะเป็นตัวแทนของสำนักเทียนหยุนของพวกเราในอนาคตได้ยังไงกันครับ?”
“ไม่ต้องพูดถึงอนาคตอันไกลเลยครับ มาพูดถึงเกี่ยวกับสำนัก 36 สำนักที่พึ่งจะเลือกผู้ปกครองเมื่อสองเดือนก่อน….. มันเป็นเรื่องที่ปกติดีครับที่สำนักเทียนหยุนจะไม่มีผู้สืบทอด แต่เมื่อพวกเรามีผู้สืบทอดเมื่อไหร่ พวกเราก็จะต้องส่งเขาไปยังเมืองหลวง”
“ยังไงก็ตาม เขายังเป็นแค่คนบ้านนอกที่มาจากชนบท ซึ่งไม่เคยได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่ใหญ่โตเช่นนั้นมาก่อน เขาจะต้องทำให้ตัวเองกลายเป็นคนโง่เขลาและทำให้สำนักเทียนหยุนของพวกเราอับอายต่อหน้า 36 สำนักและราชาองค์ใหม่อย่างแน่นอนครับ”
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าขอเสนอว่าพวกเราควรที่จะรอก่อนสองเดือน จนกระทั่ง ราชาองค์ใหม่ได้ถูกแต่งตั้งและพิธีขึ้นครองราชย์จบลงก่อนที่พวกเราจะตั้งเขาเป็นผู้สืบทอด อย่างน้อยพวกเราก็จะทำให้เขาได้มีประสบการณ์กับงานที่ใหญ่โตเช่นนั้นก่อน เขาจึงจะได้เรียนมารยาทไปบ้าง”
กลุ่มผู้อาวุโสอดที่จะจินตนาการถึงตอนที่เฉินเฉินไปสร้างความอับอายไม่ได้ พวกเขาต่างรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
พวกเขาต่างจินตนาการว่าเฉินเฉินกำลังทำตัวหวาดกลัวอยู่ภายในพระราชวังทองคำและมองไปมารอบๆ ราวกับเป็นพวกบ้านนอกที่ไม่ได้พบเจอต่อโลกภายนอก
ยิ่งพวกเขาคิด พวกเขายิ่งขมวดคิ้วกันมากขึ้นไปอีก
‘มันน่าอายจริง…. มันโคตรน่าอับอายเลย!’
“พอได้แล้ว ข้าได้ตัดสินใจไว้แล้ว เรื่องนี้จะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีก เมื่อข้าเป็นเจ้าสำนักเทียนหยุนแห่งนี้ ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกลูกศิษย์ของข้าเองได้เลยหรือยังไง?”
เซี่ยวอู่โยวขมวดคิ้ว เขาปลดปล่อยออร่าที่ทรงอำนาจที่มองไม่เห็นออกมา
เมื่อถึงจุดนี้แล้ว ผู้อาวุโสคนอื่นก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมากันสักคำ
เจ้าสำนักเทียนหยุนอาจจะเป็นคนที่ซื่อตรง เมื่อเขาพูดคุยกับคนอื่น แต่ในด้านพละกำลังแล้ว เขาอยู่เหนือกว่าเจ้าสำนักคนอื่นของทั้ง 35 สำนัก มันไม่มีใครที่สามารถจะยั่วยุเขาได้เลย
….
ในวันต่อมา ข่าวเกี่ยวกับเฉินเฉินที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งภูเขาเทียนหยุน
ลูกศิษย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศิษย์นอกหรือศิษย์ใน พวกเขาต่างรับรู้ว่ามีผู้สืบทอดของสำนักที่อยู่เหนือพวกเขาแล้ว
ตราบเท่าที่เขาไม่ได้ตายตั้งแต่เยาว์วัย เขาจะกลายเป็นเจ้าสำนักเทียนหยุนในอนาคตอย่างแน่นอน
มันเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนมีความสุขและมีคนทุกข์กับข่าวที่เกิดขึ้น
ศิษย์ภายในที่ยอดเยี่ยมที่สุดต่างไม่พอใจ พวกเขาต่างถูกแบ่งกันออกเป็นสองค่าย ค่ายแรกคือคนที่สนับสนุนศิษย์พี่ใหญ่ที่สุดและอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายที่สนับสนุนศิษย์พี่สาวรอง”
ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันอย่างลับๆมาเป็นเวลาหลายปี ตราบเท่าที่หนึ่งในคนที่พวกเขากลายเป็นผู้สืบทอด พวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์
แต่กลับกลายเป็นว่าผู้สืบทอดที่พวกเขาไม่รู้จักกลับปรากฏตัวขึ้นและทำลายแผนการของพวกเขาทิ้งไป
สำหรับเหล่าศิษย์ภายนอกแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ต่างสงสัยว่าผู้สืบทอดเป็นคนยังไงและเขาทำอย่างไรถึงได้รับความชื่นชอบจากเจ้าสำนักและก้าวข้ามศิษย์ภายในทั้งสองคนไปได้
ยังไงก็ตาม ยิ่งพวกเขาสงสัยมากเพียงใด เฉินเฉินยิ่งไม่ปรากฏตัวมากขึ้นเท่านั้น
หลายวันผ่านไป มันไม่มีใครที่ได้พบเห็นผู้สืบทอดคนใหม่กันเลยสักคน
…
เมื่อความสงสัยของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นจนทนไม่ไหว เฉินเฉินที่อยู่บนยอดเขาก็เลิกฝึกตน
หินวิญญาณนับพันก้อนที่อยู่ด้านหน้าเขาได้กลายเป็นเศษผงไปแล้ว
ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์ฝึกตนของเขาก็ได้เลื่อนระดับมาเป็นขั้นที่ 6 ของการฝึกพลังปราณแล้ว ซึ่งมันเลื่อนระดับมาจากขั้น 4
เมื่อใครก็ตามเลื่อนระดับไป ถึงขั้นหกหรือเจ็ดของขั้นฝึกพลังปราณ พวกเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งพลังปราณที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้มันก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมากด้วยเช่นกัน เฉินเฉินก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร สุดท้ายแล้ว กรุงโรมก็ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว
หลังจากที่กวาดผงหินวิญญาณเสร็จ เฉินเฉินก็นอนพักผ่อนและเดินเข้ามาในสนามหญ้าของยอดเขา
เมื่อยืนอยู่ด้านบนยอดเขาและมองภูเขามากมายนับไม่ถ้วนที่ล้อมรอบเขาแล้ว เฉินเฉินอดที่จะนึกถึงคำพูดของใครสักคนออกมาไม่ได้
“นี่คือประเทศของข้า!”
หลังจากเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ เฉินเฉินก็มีกำลังใจเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ที่เขามายังสำนักเทียนหยุน เขาเอาแต่อยู่บนยอดเขา เขามีความคิดที่เขาจะไปยังยอดเขาแห่งอื่นบ้างแล้ว
นอกจากนี้แล้วเขายังสงสัยว่าจางจีกำลังทำอะไรอยู่
ถึงแม้ว่าเฉินเฉินจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งแล้ว เขาก็ไม่ลืมตัวตนของเขาและยังคงดูแลลูกน้องของเขาอยู่ดี
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฉินเฉินหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะก้มมองลงไปที่ใต้ภูเขา
ในวันนี้ ผู้สืบทอดคนใหม่ที่ศิษย์ในสำนักที่ต่างสงสัยมาเป็นเวลาหลายวัน กำลังจะลงมาจากยอดเขาแล้ว