ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything - Chapter 63 ของพิเศษ
เมื่อเฉินเฉินเดินออกมาจากสวนด้านบนยอดเขาหลัก เซี่ยวอู่โยวก็เปิดตาของเขาออกและถอนหายใจออกมาเบาๆ
เนื่องจากค่ายกลกรงขังจิตวิญญาณ เขาจึงไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนของยอดเขา แต่เมื่อเขาเดินออกมาจากสวนแล้ว เขาจึงสัมผัสได้ถึงทุกอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อจ้าวเสี่ยวหยาเดินเข้ามาสวน เขาก็เป็นคนแรกที่รับรู้ถึงมัน
เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเฉินเฉินเดินออกไปจากยอดเขา
“ลูกศิษย์ของข้ายังคงเป็นเด็กอยู่สินะ เขาไม่สามารถที่จะฝึกตนอย่างเงียบสงบได้”
‘ถ้าเฉินเฉินแก้ปัญหาเกี่ยวกับหวังเฟิง เขาก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของข้า เมื่อเป็นอาจารย์ของเฉินเฉินแล้ว ข้าจะยอมให้เขาแบกภาระไว้บนไหล่คนเดียวได้ยังไงกัน?’
“ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ ข้าจะไปล่ามังกรอสูรและเข้าสู่ขั้นกำเนิดวิญญาณ ข้าไม่สนเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันอีกแล้ว ด้วยพลังของขั้นกำเนิดวิญญาณ อย่างน้อยข้าก็ยังรอดชีวิตได้ ถ้ามันเกิดะไรขึ้น”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยวอู่โยวปิดตาลงอีกครั้งหนึ่งและเลิกคิดเกี่ยวกับเฉินเฉิน
….
เฉินเฉินลงมาจากยอดเขาหลักและมุ่งตรงไปยังที่ที่ดอกบัวหัวใจสวรรค์เพลิงโลกาตั้งอยู่ เขาวางจิตวิญญาณดินเหลืองหมื่นปีลงไป เขาตัดสินใจที่จะตั้งชื่อมันว่า ‘เหลืองน้อย’ เนื่องจากว่ามันเหลืองทั้งตัวจนเหมือนกับเป็นต้นโสมเหลืองขนาดใหญ่ มันทำให้เขาไม่สามารถคิดชื่ออื่นได้อีกเลย
“เจ้าเหลืองน้อย เจ้ารู้วิธีการขุดดินไหม? เจ้าขุดดินจนกระทั่งเจ้ารู้สึกอบอุ่นละกันนะ”
เหลืองน้อยพยักหน้าสองครั้ง ก่อนที่จะขุดดิน เพียงเวลาไม่นานมันก็หายลงไปใต้ผืนดิน
หูเซียงเอ๋อนั้นคุ้นชินกับการกระทำที่แปลกประหลาดของเฉินเฉิน ยังไงก็ตาม เธอจะไม่ยอมขุดดินอย่างแน่นอน สุดท้ายแล้วเธอเป็นอสูรที่กังวลเกี่ยวกับความสะอาดสะอ้าน
“เซียงเอ๋อ มันคงจะดีกว่านะถ้าเจ้าเป็นตัวตุ่นนะ ข้ายังมีเหลืออีกสองภูเขาที่ต้องขุดอีก แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ต้องการที่จะขุดมันหรอก ดังนั้นเจ้าอยู่ที่นี่และดูแลเจ้าเหลืองน้อยไป อย่าให้ใครจับมันกินไปละ”
เฉินเฉินมองไปที่หูเซียงเอ๋ออย่างผิดหวัง ก่อนที่จะทิ้งเหรียญยืนยันตัวให้กับหูเซียงเอ๋อและแนะนำเธอให้ดูแลเจ้าเหลืองน้อย
หูเซียงเอ๋อดูหงุดหงิดมาก เธอเป็นจิ้งจอกที่สง่างาม แต่เฉินเฉินกลับพบว่าเธอนั้นแย่ยิ่งกว่าตัวตุ่นอีก! เขามันบ้าเกินไปแล้ว!
เธอกระทืบไปมาอย่างโกรธเคืองกับคำพูดของเฉินเฉิน หูเซียงเอ๋อรับเหรียญและหันหน้าหนีเฉินเฉินไป
เฉินเฉินไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำของเธอ เขารีบเดินไปที่เขาเทียนฉิน ก่อนที่จะเดินจากไป เขาตะโกนออกมา “หูเซียงเอ๋อ ถ้ามันมีนกบินผ่านมา ยิงพวกมันและจับพวกมันกินคืนนี้ด้วยนะ!”
…
เมื่อเขามาถึงเทียนฉิน เฉินเฉินมุ่งตรงไปยังที่พักของจางจี
เมื่อเทียบกับสวนขนาดใหญ่ของเขาแล้ว ที่พักของศิษย์นอกสำนักทั้งย่ำแย่และเล็กกว่า ไม่เพียงแต่สวนจะเล็กแล้ว มันยังต้องอาศัยกันอยู่สี่คนในที่พักแห่งเดียวอีก
เมื่อเขาเห็นพี่ใหญ่ จางจีอดที่จะรู้สึกมีความสุขไม่ได้ เนื่องจากว่าเขาก็อยู่ตอนที่เฉินเฉินกระทืบหวังเฟิงก่อนหน้านี้ด้วยเหมือนกัน
“พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าคนที่พี่ทำร้ายไปเป็นคนที่มีสถานะสูงมากเลยนะ พี่จะเป็นอะไรไหมครับ?”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก มันจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าได้อีก? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเก่งกาจเพียงใด? เอ้า นี่ มันเป็นของเจ้าละ อย่าให้คนอื่นเห็นมันละ”
ในขณะที่พูดออกมา เฉินเฉินได้ยัดถุงใบเล็กใส่มือของจางจี นอกจากสมบัติสวรรค์หลายอย่างแล้ว มันยังมีหินวิญญาณอีกนับร้อยก้อนอีก
“นี่คือกระเป๋าเก็บของอย่างงั้นหรือครับ? มันล้ำค่ามากเลย ข้าไม่สามารถที่จะ…” เมื่อจางจีเห็นกระเป๋าเก็บของ เขาอยากจะที่จะปฏิเสธทันที แต่หลังจากที่โดนเฉินเฉินจ้อง เขาก็เงียบลง
“ซ่อนของเจ้าไว้ให้ดีละ ข้าจะพาเจ้าไปที่ดีๆวันนี้ อย่าคิดว่าจะได้นอนละคืนนี้”
เมื่อเห็นจางจีรับกระเป๋าไป เฉินเฉินยิ้มและตบไหล่ของเขาแล้วเขาก็พูดออกมาอย่างลึกลับ
ยังไงก็ตาม วินาทีต่อมา เฉินเฉินเหมือนกับนึกถึงอะไรบางอย่างได้ก่อนที่จะเปลี่ยนน้ำเสียงของตัวเอง “ยังไงก็ตาม มันมีลูกศิษย์ที่ชื่อหลี่เจียงอยู่ท่ามกลางหมู่ศิษย์นอกไหม?”
เขานึกขึ้นได้เกี่ยวกับโอกาสที่จะต้องช่วยแก้ไขปัญหาของหลี่เจียง หลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วโมงเพื่อรับไอเทมพิเศษ ตั้งแต่ที่มันเป็นไอเทมพิเศษที่ถูกตัดสินโดยระบบ เขาจะไม่พลาดมันอย่างแน่นอน
“หลี่เจียงหรือครับ? ใช่ครับ เขาอยู่ในห้องตรงข้ามผมเลย!” จางจีตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะชี้ไปที่ห้องที่อยู่ตรงข้ามของเขา
ที่พักของศิษย์นอกนั้นเป็นสวนที่มีสี่ห้องและหลี่เจียงได้นอนอยู่ในที่พักเดียวกัน
“บังเอิญขนาดนี้เลยหรือเนี่ย?”
เฉินเฉินตกใจเล็กน้อย หลังจากนับเวลาแล้ว เขาตระหนักได้ว่ามันพึ่งจะผ่านไปเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเอง ตั้งแต่ที่เขาเดินออกมาจากยอดเขา ซึ่งหมายความว่าโอกาสนี้จะเกิดขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา
“อะไรหรือครับพี่? พี่ตามหาเขาเพื่อถามอะไรสักอย่างหรือครับ?”
“ไม่จำเป็นหรอก รอข้าที่นี่ก่อนสักพักหนึ่ง ข้าจะกลับมาทีหลัง”
หลังจากที่เขาพูดจบ เฉินเฉินออกไปจากสถานที่ของจางจี ถึงแม้ว่าครึ่งชั่วโมงจะสั้น เขาไม่ต้องการจะเสียสละ
มันยังมีโอกาสอีกมากมายหลายอย่างบนเขาเทียนฉิน เขาจะใช้ประโยชน์นี้อีกครึ่งชั่วโมงในการหาของ
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินเฉินกลับมาที่สวนที่จางจีอาศัยอยู่ด้วยหน้าตาที่มีความสุข แต่ครั้งนี้เขาเดินตรงไปยังที่พักของหลี่เจียง
เขามองผ่านหน้าต่างเข้าไปด้านใน เขาพบกับลูกศิษย์ผู้ชายที่ผอมแห้งซึ่งเดินวนไปวนมาไม่หยุด มันเหมือนกับว่าเขามีอะไรบางอย่างที่กำลังร้อนรนอยู่
“สิ่งที่ระบบพูดเป็นเรื่องจริงสินะ”
เฉินเฉินคิดกับตัวเองก่อนที่จะเคาะประตู
หลังจากเคาะประตูเสร็จ หลี่เจียงสะดุ้งสุดแรง ก่อนที่จะถามออกมาอย่างระมัดระวัง “ใครกันครับ?”
“เปิดประตูซะ ผู้สืบทอดมาอุ่นที่นอนให้ละ”
เฉินเฉินขี้เกียจที่คิดหาเหตุผล เขาจึงตอบออกไปอย่างไร้สาระแทน
หลี่เจียงที่อยู่ด้านในห้องไม่ลังเลที่จะเปิดประตูเลยสักนิด เมื่อเขาได้ยินคำว่าผู้สืบทอด เขาเปิดประตูและล้มลงคุกเข่าทันที
“สวัสดีครับ ผู้สืบทอด!”
เฉินเฉินมองไปที่หลี่เจียงที่คุกเข่าด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปมา
‘เขาดูกลัวฉันหรือไงเนี่ย?’
‘ฉันไม่เคยรังแกคนในสำนักเลยสักคนนะ’
แม้ว่าเขาจะสงสัย เฉินเฉินก็ไม่ได้ตั้งคำถามอะไร เขากลับยิ้มและพูดแทน “ไม่ต้องสุภาพไปหรอก ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมน้องชายข้า จางจี แต่ว่าเขาสังเกตเห็นว่าเจ้าหน้าซีดเซียวและดูตาแดง ข้าเลยมาดูเจ้าเป็นยังไงบ้าง”
“ศิษย์น้องหลี่ เจ้าป่วยหรือ?”
“ข้ารู้สึกหนาวเย็นเป็นบางครั้งครับ…” ตาของหลี่เจียงสั่นไหว เขาดูเหมือนจะตื่นตระหนกเล็กน้อย
เมื่อเห็นดังนั้น น้ำเสียงของเฉินเฉินกลับดูจริงจังขึ้นทันที
“ศิษย์น้องหลี่ ถ้าเจ้าพบเจอปัญหาอะไร บอกข้ามาได้ตลอดเลยนะ ข้าไม่คิดว่ามันจะมีคนในสำนักมากเท่าไหร่ที่เจ้าสามารถช่วยได้ เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้นะ”
เมื่อเขาได้ยินคำพูดที่มีความหมายนี้ของเฉินเฉินแล้ว หน้าผากของหลี่เจียงเหงื่อไหลพรากและวินาทีต่อมา เขาก็ล้มลงคุกเข่าอีกรอบหนึ่ง เขาไม่สามารถที่จะซ่อนความกลัวและความตื่นตระหนกในดวงตาของเขาเองได้
“ท่านนักบุญครับ ได้โปรดช่วยผมไว้ด้วย!”
เฉินเฉินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งกับสิ่งที่เขาได้ยิน หลี่เจียงทำได้ถูกแล้ว
“บอกข้ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตราบเท่าที่ข้าช่วยเจ้าได้ ข้าจะแก้ปัญหานี้ให้เจ้าเอง”
หลี่เจียงขอบคุณเฉินเฉินอย่างจริงใจ เขาบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพบเจอมา
…
มันกลับกลายเป็นว่าหลี่เจียงถูกเลือกโดยสำนักอสูรก่อนที่จะเข้าร่วมกับคัดเลือกของสำนักเทียนหยุน เขาได้ถูกบังคับให้กินยาและจะต้องได้รับยาแก้พิษทุกทุกสามวัน ในเวลาสองเดือน เขาจะถูกส่งไปยังสำนักอสูรในรัฐโจว
ยังไงก็ตาม ในภายหลัง สำนักอสูรส่วนใหญ่ต่างเกือบที่จะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น เขาไม่สามารถที่จะตามหาคนที่มอบยาให้กับเขาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าร่วมสู่สำนักเทียนหยุน
เขาได้อาศัยอยู่อย่างกังวลใจในสำนักเทียนหยุน มันเป็นเพราะว่าเขากังวลเกี่ยวกับยารักษาและเขาก็ไม่รู้ว่าเขานั้นเป็นคนของสำนักอสูรแล้วหรือเปล่า สุดท้ายแล้ว คนที่มอบยาให้กับเขาก็ได้มอบตราของสำนักอสูรมาด้วย ซึ่งเขาไม่กล้าที่จะทิ้งมันไป
ถ้าเขาถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอสูรแล้วและยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสำนักเทียนหยุนพบเข้า มันคงจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากสำหรับเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงหวาดกลัวอย่างมากกับตอนที่เขาได้ยินว่าผู้สืบทอดมาเยี่ยม
“มันเรื่องเล็กน้อยหน่า ไม่ต้องกังวลไป เจ้าคือลูกศิษย์ของสำนักเทียนหยุน”
เฉินเฉินยิ้มและช่วยเขาลุกขึ้นยืน ในเวลาเดียวกัน เขาก็แสกนร่างกายของเขาโดยใช้พลังปราณและค้นพบร่องรอยของเส้นเลือดและอวัยวะภายในที่แปดเปื้อน
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ร้ายแรง มันก็ทำให้เขาป่วยและเหนื่อยล้าทางจิตใจได้
“หื้ม เรื่องเล็กน้อยแค่นี้”
เฉินเฉินพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม ก่อนที่เขาจะหยิบสมุนไพรรักษาจิตวิญญาณออกมาจากแหวนเก็บของ ก่อนที่เขาจะยื่นมันให้กับหลี่เจียง
“สมุนไพรจิตวิญญาณนี้น่าจะเพียงพอที่จะรักษาเจ้าจนกลับมาเป็นปกติ ถ้ามันไม่ได้ผลแล้ว เจ้ามาหาข้าได้เลย นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สบายใจได้เลย เจ้าคือลูกศิษย์ของสำนักเทียนหยุน อย่าไปคิดถึงสำนักอสูรอีกละ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว หลี่เจียงร้องไห้ออกมาอย่างขอบคุณ ก่อนที่จะก้มกราบลงให้กับเฉินเฉินถึงแปดรอบ
“ขอบคุณ ขอบคุณมากเลยครับ! ผู้สืบทอด! ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้!”
หลังจากที่ขอบคุณอย่างมากมาย หลี่เจียงหยิบอะไรออกมาจากกระเป๋าหน้าอก มันเป็นเหรียญตราสีดำที่มีตัวอักษรห้าตัวสลักไว้แล้วเขาก็มอบมันให้กับเฉินเฉิน
“สำนักอสูรรัฐโจว”
เมื่อเขามองไปที่เหรียญนี้ เฉินเฉินก็เดาะลิ้น
เหรียญนี้อาจจะไร้ประโยชน์กับเขาในตอนนี้ แต่มันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตก็เป็นได้
ถ้าเขาจะต้องรับมือกับสำนักอสูรเขาสักวัน มันคงจะเป็นของที่มีประโยชน์มาก ถ้าเขาสามารถใช้มันในการใส่ไส้ศึกเข้าไปในสำนักอสูร