ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything - Chapter 93 พลังแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่
- Home
- ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything
- Chapter 93 พลังแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่
จูตี่แห่งสำนักโฮ่วตู่ถอดเสื้อของเขาออกในทันทีหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ แล้วเผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆของเขา จากนั้นเขาก็บินลงมาจากแท่นสูงและมายืนอยู่กลางสังเวียน
ในตอนนี้ เขากำลังรู้สึกเคืองอย่างเต็มที่ เขายังไม่ทันพักผ่อนได้เต็มที่เลยแต่เฉินเฉินก็ท้าประลองเขาแล้ว ‘นี่เขาคิดว่าข้าอ่อนแอจริงๆสินะ?’
แม้จะคิดเช่นนั้น เขาก็ยังมองไปทางฉีปู่ฝานกับคนอื่นๆของ 18 สำนักที่ยังไม่ได้ทำอะไร
เมื่อเห็นแบบนี้ ฉีปู่ฝานก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าเจ้าเอาชนะไม่ได้ก็ยอมแพ้ซะ แค่อย่าทำให้ตัวเองเจ็บตัวก็พอ”
เขาพูดเหมือนกับที่เฉินเฉินเคยพูดกับโยวหลานชินในตอนแรก และทุกคนก็เข้าใจสิ่งที่เขาอยากจะสื่ออย่างชัดเจน
หลังจากได้รับการยืนยันจากฉีปู่ฝาน จูตี่ก็มีความมั่นใจในทันทีและกระดิกนิ้วเรียกเฉินเฉินที่อยู่ขอบสังเวียนอย่างยั่วยุ
เฉินเฉินยิ้มแล้วค่อยๆเดินไปที่สังเวียน
ในขณะที่เฉินเฉินเดินเข้าไปนั้น ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดครึ้ม เหมือนกับว่าฝนกำลังจะตก
ผู้อาวุโสแก่นทองคำเงยหน้ามองท้องฟ้า และจากนั้นก็กลับมามองเฉินเฉิน มีรัศมีแสงสว่างวาบในดวงตาของเขาและเขาก็พึมพำออกมา “วิชายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุน… เขาฝึกตนจนถึงจุดที่สามารถมีอิทธิพลต่อสภาพอากาศได้แล้วรึ ต้วนปิงบอกว่าเด็กคนนี้เก่งสุดๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงสินะ…”
ในขณะที่มองก้อนเมฆที่ค่อยๆก่อตัวหนาขึ้นเหนือหัวของเขา ความท้าทายบนหน้าของจูตี่ก็ค่อยๆหายไปและถูกแทนทีด้วยความระมัดระวัง จากนั้น เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆและสั่งสมพลังปราณในร่างกายของเขาจนถึงขีดสุด
ตึก…ตึก…
เฉินเฉินเดินไปยังสังเวียนอย่างไม่รีบร้อน แต่ในทุกๆก้าวเดินของเขานั้นส่งผลให้เมฆบนท้องฟ้าหนาขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็เงยหน้ามองท้องฟ้า และสัมผัสถึงพลังหนาแน่นที่อยู่ในเมฆครึ้มอย่างระมัดระวัง
“วิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุนนี่มันน่าเหลือเชื่อเลย!”
“ถ้าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่เคยมีชื่อเสียงมาก่อนหล่ะ?”
แม้ว่าทุกคนจะมีความสงสัยอยู่ในใจ แต่พวกเขาทุกคนก็คิดว่าเฉินเฉินคู่ควรกับอันดับเจ็ดในหมู่ยอดฝีมือแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานนัก เฉินเฉินก็ก้าวขึ้นมาบนสังเวียนในที่สุด
ในตอนนี้ ทั้งสังเวียนได้ถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้มอย่างสมบูรณ์แล้ว และในบางครั้งก็จะมีฟ้าแลบด้วย
เมื่อเห็นแบบนี้ หางตาของจูตี่ก็กระตุกไม่หยุด
“เริ่มได้”
ผู้อาวุโสแก่นทองคำพูดอย่างใจเย็น
ในความคิดของเขา ผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้มันไม่มีความไม่แน่นอนอีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขาไม่มั่นใจก็คือวิธีที่ผู้สืบทอดของสำนักโฮ่วตู่จะพ่ายแพ้
ในทันทีที่เขาพูดแบบนั้น จูตี่ก็เงยหน้าแล้วตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!”
ด้วยกันกับเสียงตะโกนจากความโกรธ ผืนดินเริ่มโค้งงอและกำแพงดินที่มีความหนาห้าถึงหกเมตรก็โผล่ขึ้นมาป้องกันหัวของเขา
อย่างไรก็ตาม ท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างเหลือเชื่อ เมฆสายฟ้าส่งเสียงร้องคำรามแต่กำแพงที่โผล่ออกมานั้นยังไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
จูตี่รู้สึกได้แค่ว่ามีออร่าที่สร้างความคุกคามอย่างมหาศาลกำลังเพ่งเล็งมาที่เขาจากท้องฟ้าเหนือหัวเขาของเขา ความรู้สึกนี้ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกกดดันอย่างมหาศาล เขารู้สึกเหมือนกับว่าท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมาใส่เขา!
ครืน!
ริ้วสายฟ้าที่แล่นผ่านก้อนเมฆระเบิดอย่างกระทันหัน!
ร่างกายของจูตี่สะดุ้งด้วยความตกใจ และเหงื่อก็หยดลงมาจากหน้าผากของเขาไม่หยุด
เขารู้สึกได้ถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นในทันที!
ในตอนนี้ มีแค่ห้าคำในหัวของเขา!
‘ข้าต้านมันไม่ไหว!’
ด้วยพละกำลังของเขา เขาไม่สามารถกันการโจมตีของเมฆสายฟ้าที่อยู่บนท้องฟ้าได้!
ด้วยความคิดนี้เอง เขาจึงกลับมามองเฉินเฉินอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลย และเขาก็มองเห็นความดูถูกและความเย้ยหยันในดวงตาของเฉินเฉินด้วย
เมื่อเห็นท่าทีของเฉินเฉิน จูตี่ก็รู้สึกกลัวและตะโกนออกมาจากจิตใต้สำนัก “ข้าขอยอม…”
เปรี๊ยง!
ก่อนที่เขาจะได้พูดคำว่า ‘ยอมแพ้’ เมฆส่ายฟ้าก็เปลี่ยนเป็นเส้นสายฟ้าและผ่าลงมาจากเบื้องบนอย่างกะทันหัน ทำให้กำแพงหินระเบิดเป็นชิ้นๆ!
เปรี๊ยง!
ภายใต้พลังแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่นี้ สีหน้าของทุกคนซีดเผือดในขณะที่เศษกำแพงหินได้กระเด็นออกไปเป็นร้อยเมตร!
หลังจากที่ฟ้าผ่าลงมา ท้องฟ้าก็กลับมาสดใสอีกครั้ง
เฉินเฉินได้หันหลังกลับแล้วเดินลงจากสังเวียนแล้ว
ผู้อาวุโสแก่นทองคำบินเข้ามาที่กลางสังเวียนและตรวจสอบสภาพของจูตี่ ที่ถูกฟ้าผ่าจนดำไปทั้งตัว
“เขาได้รับบาดเจ็บหนักแต่ยังไม่ตาย”
หลังจากพึมพำกับตัวเอง เขาก็มองไปที่แผ่นหลังของเฉินเฉินและประกาศเสียงดังลั่น “การต่อสู้นี้เป็นชัยชนะของเฉินเฉิน ผู้สืบทอดแห่งสำนักเทียนหยุน ซึ่งจะถูกแทนที่กับสำนักโฮ่วตู่ในอันดับที่ 14 ของ 36 สำนัก!”
หลังจากที่เขาพูดแบบนั้น เฉินเฉินก็ได้ออกจากสังเวียนไปแล้ว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ธงของสำนักโฮ่วตู่ก็ค่อยๆถูกชักลงมาและธงของสำนักเทียนหยุนก็ค่อยๆถูกชักขึ้นไปแทน
เฉินเฉินบินขึ้นไปบนแท่นสูงอย่างไม่รีบร้อนและนั่งลงบนเก้าอี้ที่โยวหลานชินนั่งในตอนแรก
เมื่อเห็นแบบนี้ ผู้สืบทอดของ 36 ก็มีความรู้สึกที่ซับซ้อน พวกเขาบางคนตกใจในขณะที่บางคนตื่นเต้น
พวกเขารู้สึกทึ่งกับเฉินเฉิน เพราะความเก่งกาจของผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนและความสามารถของเขาในการเอาชนะจูตี่แห่งสำนักโฮ่วตู่ด้วยกระบวนท่าเดียว และพวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเพราะในที่สุดก็มีคนจากฝั่งของพวกเขาเอาชนะผู้ท้าชิงจาก 18 สำนักแล้ว
นอกจากนี้ เขายังสามารถทำมันได้อย่างรวดเร็วและสง่างามด้วย
จูตี่ถูกหามออกจากสังเวียน
ฉีปู่ฝานมองสภาพน่าสมเพชของจูตี่ ใบหน้าของเขาดูฉุนเฉียวอย่างเหลือเชื่อ
ถ้าอาการบาดเจ็บของจูตี่ไม่ได้รับการรักษาด้วยสมบัติสวรรค์ที่ทรงพลัง เขาก็ไม่น่าจะได้สติกลับมาในเร็วๆนี้ แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ การประลองจะไปมีประโยชน์อะไรหล่ะ?
พูดอีกนัยนึงก็คือ หลังการต่อสู้นี้ เฉินเฉินก็ได้เตะสำนักโฮ่วตู่ออกจากการต่อสู้จัดอันดับของ 36 สำนักเรียบร้อยแล้ว
“เจ้านั่นกำลังแสดงอำนาจอยู่! เห็นได้ชัดว่าจูตี่อยากจะยอมแพ้ แต่เจ้านั่นเป็นคนที่โหดเหี้ยมเกินไป ช่างเลวระยำยิ่งนัก!”
ฉีปู่ฝานถลึงตาใส่เฉินเฉินที่อยู่บนแท่นสูง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
ในตอนแรกเฉินเฉินได้ทำลายสภาพจิตใจของจูตี่ด้วยออร่าคุกคามของเขา หลังจากนั้นเขาก็ไม่ยอมปล่อยให้จูตี่มีโอกาสได้ยอมรับความพ่ายแพ้ โดยการทำให้จูตี่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงด้วยการโจมตีเดียว
มันคือการจัดการทั้งร่างกายและจิตใจ!
เขากำลังใช้มันเป็นข้ออ้างในการฆ่า!
เหตุผลที่เขาทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อเตือนเหล่าผู้ท้าชิงอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ปู่ฝาน ทำไมพวกเราไม่รอจนถึงเที่ยงนี้หล่ะแล้วข้าจะไปสอนบทเรียนให้ผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนเอง”
ผู้หญิงคนนึงที่อยู่ข้างฉีปู่ฝานและมีออร่าที่เย็นยะเยือกและคุกคามได้พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
ผู้หญิงคนนี้คือผู้สืบทอดของสำนักซวนปิ่งที่มีสถานะฝึกตนอยู่ที่จุดสูงสุดของสร้างรากฐาน เธออยู่อันดับห้าในกลุ่มยอดฝีมือและเธอก็ฝึกวิชาซวนปิ่งที่ใช้ยับยั้งเซียวฮวงเซียนหญิงแห่งสำนักวิหคสีชาด
“เอาสิ!”
ฉีปู่ฝานเห็นด้วยจากจิตใต้สำนึก
เขาอดไม่ได้เพราะเฉินเฉินน่ารังเกียจเกินไปและเขาก็ไม่สามารถยอมรับชะตากรรมได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาท้าประลองได้แค่ครั้งเดียวและถูกท้าได้แค่ครั้งเดียวในครึ่งวัน เขาก็คงจะเข้าสนามประลองด้วยตัวเองแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ดวงตาที่นิ่งสงบได้จ้องมาทางเขาจากที่ไกลๆ มันคือสายตาของฉงเย่
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตานี้ ฉีปู่ฝานก็กัดฟันแล้วพูดขึ้นมา “ช่างมันเถอะ ทำตามแผนก่อน! หลังจากที่พวกเรากำจัดพวกตัวแข็งๆไปได้บ้างแล้ว พวกเราค่อยมาจัดการเฉินเฉิน!”
หลังจากที่พูดไปแบบนั้น เขาก็เหลือบมองผู้สืบทอดคนนึงที่อยู่ข้างหลังเขา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้สืบทอดคนนั้นก็ลุกขึ้นในทันทีแล้วตะโกนเสียงดังก้อง “ข้าหยวนฉิงเทียนแห่งสำนักวายุซ่อนเร้นอยากจะขอท้าประลองกับผู้สืบทอดฉงเย่แห่งสำนักอู๋ซิน!”
ทุกคนส่งเสียงฮือฮาหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้
‘ท้าทายฉงเย่หรอ? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?’
‘ฉงเย่กำลังจะทำแบบเฉินเฉินหรอ?’
“ข้ายอมแพ้” ฉงเย่พูดอย่างเฉยเมย ในขณะที่นั่งอยู่บนแท่นที่สูงที่สุด
มันเป็นเหมือนกับที่พวกเขาคิดไว้!
ผู้สืบทอดทุกคนของ 36 สำนักตึงเครียดขึ้นมาในทันที เพราะกลัวว่าพวกเขาจะกลายเป็นเป้าหมายของฉงเย่
ฉงเย่คือผู้สืบทอดของสำนักอู๋ซินที่อยู่อันดับหนึ่งในกลุ่มยอดฝีมือ! ตำนานบอกว่าอีกนิดเดียวเขาก็จะเข้าสู่ระดับแก่นทองคำแล้ว!
เขาน่าจะจัดการกับทุกคนที่อยู่ในที่นี้ได้อย่างง่ายดาย!
“ข้าไม่อยากพักเหมือนกัน ข้าขอท้าประลอง…”
ในตอนนี้เอง ฉงเย่ก็เหลือบมองเฉินเฉินในขณะที่ผู้สืบทอดคนอื่นแทบไม่กล้าหายใจเลย
โยวหลานชินเป็นกังวลกว่าเฉินเฉินด้วยซ้ำ เธอกำลังเอามือปิดปากเล็กๆของเธอไว้ เพราะกลัวว่าฉงเย่จะเรียกชื่อของเฉินเฉิน
“ข้าขอท้าประลองเย่หวู่เชิงแห่งสำนักพยัคฆ์ขาว ได้ข่าวว่าวิชาต่อสู้พยัคฆ์สวรรค์ขาวนั้นหาที่ใดเปรียบ ข้าอยากจะลองปะมือด้วยซักหน่อย”
ในทันทีที่ฉงเย่พูดออกมาเช่นนั้น ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในอีกด้านนึง เย่หวู่เชิงที่สวมชุดเกราะทั้งตัวและปิดบังใบหน้าเอาไว้ได้ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆด้วยกลิ่นอายจิตสังหารไม่รู้จบ