ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 1 สาวน้อยเป็นบ้า ตอนที่ 2 เจ็บปวดถึงใจ
ตอนที่ 1 สาวน้อยเป็นบ้า
“นางคุณหนูชะตากรรมสาวใช้! ฮ่าๆ ต้องเป็นเพราะแม่ผู้ให้กำเนิดเจ้ารังเกียจที่เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์เป็นแน่ ดังนั้นถึงได้ไม่ต้องการเจ้าแล้ว!”
“ไอ้หยา คุณหนูใหญ่โกรธแล้ว! น่ากลัวจังเลย! หน้าผี หน้าผี! อัปลักษณ์สิ้นดี นางอัปลักษณ์ที่ไม่มีใครต้องการ!
“ปาใส่นางเลย ปาใส่นาง! มีคุณหนูที่ไหนจะน่าเกลียดเพียงนี้! ถุย ถุย ถุย!”
“…”
เด็กกลุ่มหนึ่งรายล้อมแม่นางวัยสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง ขว้างปาก้อนกลมๆ หลายก้อนที่คล้ายดินโคลนและลูกเห็บกระทบเรือนกายของซ่งเอ้อร์ยา[1]ดัง ‘ผัวะ ผัวะ’
“พวกเจ้าไสหัวไป! ไสหัวไปเสีย!” ซ่งเอ้อร์ยาคลั่งขึ้นมาแล้ว เสมือนวัวตัวหนึ่งที่พุ่งจู่โจมเข้าใส่เด็กๆ เหล่านั้น
เสียงเดียวดัง ‘โครม’ กลายเป็นว่านางสะดุดล้มคะมำอยู่บนพื้น หน้าผากกระแทกหินแหลมคมเข้าพอดี เห็นเพียงโลหิตสีแดงสดไหลลงมา ครั้นบรรดาเด็กๆ เห็นเข้า ก็ตื่นตกใจรีบพากันวิ่งหนีไปทันที
ตอนนี้เป็นช่วงเตรียมดินสำหรับเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ คนตระกูลซ่งต่างก็กำลังทำงาน จนกระทั่งเที่ยงวันถึงได้มีผู้ใหญ่มาเจอซ่งเอ้อร์ยา ลนลานรีบเร่งแบกนางกลับไป
“อาอิง อาอิง… หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่ให้นางกลับไป คนเขาไม่ต้องการนางแท้ๆ ข้านี่ช่างโง่เขลาจริงๆ เลย ไยต้องส่งนางกลับไปด้วยนะ!”
“ครอบครัวนั้นเป็นสัตว์เดียรัจฉานที่ร่ำรวยแต่ไร้ควาปรานี ไม่รู้จักสะสมคุณงามความดีเอง แล้วมีสิทธิ์อันใดมากล่าวโทษอาอิงของข้า ฮะ!”
“แม่เอ๊ย…อย่ามัวร้องไห้อยู่เลย…”
ซ่งอิงที่ถูกเสียงดังรบกวนรู้สึกปวดหัว
นางฟื้นมาพักใหญ่แล้ว แต่ดวงตาเจ้ากรรมนี่กลับลืมไม่ขึ้น ในสมองผุดอะไรต่อมิอะไรนับไม่ถ้วน หลังจับใจความได้ ถึงกับอยากก่นด่าสวรรค์อย่างอดไม่ได้
นางข้ามภพมาเสียแล้ว!
เจ้าของร่างเดิมนามว่าซ่งอิงเช่นเดียวกัน ชื่อเล่นเอ้อร์ยา
หลายชั่วยาม[2]ก่อน ซ่งเอ้อร์ยาล้มคะมำเสียชีวิตไปแล้ว เสียชีวิตพร้อมความอัปยศอย่างยิ่ง และในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง!
ตามจริงซ่งเอ้อร์ยาเป็นบุตรสาวที่สมบูรณ์แบบของตระกูลโหว[3] เพียงแต่น่าเสียดายที่โชคชะตาอาภัพ เมื่อลืมตาดูโลก ถูกคนเขาพบว่าพกนิ้วเท้ามาหกนิ้ว…
ในยุคสมัยต้าติ้งนี้ แม้ว่าผู้มีนิ้วเกินก็มีให้เห็นเช่นกัน และไม่ใช่เรื่องพบเห็นได้ยากแต่อย่างใด ทว่าทุกคนล้วนถูกมองเป็นตัวประหลาด โดยเฉพาะวันนั้นที่เจ้าของร่างถือกำเนิด บุตรชายผู้สืบทอดตระกูลแห่งจวน[4]โหวตกจากหลังม้า เกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงยิ่งถูกมารดารังเกียจเดียดฉันท์
ตัวนายหญิงชราแห่งจวนโหวเดิมทีต้องการจับกดน้ำให้ตายไปเป็นอันสิ้นเรื่อง โชคดีที่หนึ่งคืนก่อนหน้า มีพระโพธิสัตว์เข้าฝันนายหญิงชราผู้นั้น ทำให้ยามที่นางลงมือฉุกนึกถึงความฝันนี้ขึ้นมา จึงคิดว่าฆ่าทั้งเป็นคงไม่ดีแน่ ด้วยเหตุนี้จึงให้ส่งคนเขาออกไป
ส่งมอบคนผู้นี้ให้แก่ครอบครัวชาวไร่ครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ไร่นาของตระกูลซ่ง
ครอบครัวชาวไร่นี้ไม่ใช่ผู้ถือครองพื้นที่ไร่นา
ปีนั้นบ้านเกิดมีภัยพิบัติ คนครอบครัวซ่งจึงอพยพกันมาทั้งครอบครัว มีความสัมพันธ์ทางญาติห่างๆ ที่แทบจะนับญาติไม่ได้กับจวนโหว จึงเป็นที่แน่นอนว่าภายภาคหน้าก็ต้องกลับบ้านเกิด ต่อให้ขอพึ่งพิงอาศัย ก็คงหนีไม้พ้นการเป็นบ่าวรับใช้ของจวนโหวที่เหมาะสมกับฐานะหน่อย
ที่จวนโหวกล่าวไว้ในตอนแรกก็เข้าใจเป็นอย่างดี เด็กผู้นี้จวนโหวไม่ต้องการแล้ว เลี้ยงไปตามอำเภอใจ จะเป็นจะตายล้วนไม่เกี่ยวข้องกับจวนโหวทั้งสิ้น
หัวหน้าครอบครัวชาวไร่นี้นามว่าซ่งเหล่าเกิน คิดว่าก็แค่เลี้ยงดูเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ง่ายที่จวนโหวจะเอ่ยปาก ประจวบเหมาะกับภรรยาบุตรชายคนที่สองเพิ่งให้กำเนิดทารกน้อย จะคนเดียวหรือสองคนก็ต้องให้นมเช่นกัน จึงรับเลี้ยงไว้
หลังภัยพิบัติผ่านพ้นไป ทั้งครอบครัวซ่งเหล่าเกินก็กลับบ้านเกิดกันไป ว่ากันตามหลัก ชั่วชีวิตนี้ของซ่งเอ้อร์ยาคงไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอันใดกับจวนโหวอีกแล้ว
ใครจะรู้ว่า…
เจ้าของร่างเดิมเพิ่งล่วงเลยวัยสิบห้าปีไปไม่เท่าไร จวนโหวก็ส่งคนมารับตัว
กล่าวว่าเพราะคิดว่าเด็กสาวนี้ถึงวัยออกเรือนแล้ว คำนึงถึงเส้นทางชีวิตในภายภาคหน้า กลับจวนไปรับการอบรมเลี้ยงดูจะเหมาะสมกว่า
บิดามารดาที่เลี้ยงดูเจ้าของร่างเดิมอย่างซ่งจินซานและหร่วนซื่อ[5]ต้องทำใจไม่ได้เป็นธรรมดา ทว่าท่อนแขนหรือจะสู้ต้นขา[6] จะอย่างไรหากขัดแย้งกับจวนโหวก็คงไม่ดีนัก อีกทั้งจวนโหวนั่นเป็นตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย หลังกลับไปแล้วความเป็นไปได้ที่บุตรสาวจะมีอนาคตดีงามก็คงมากขึ้นหน่อยจริงๆ
ด้วยเหตุฉะนี้ เจ้าของร่างเดิมโอบกอดความกังวลใจระคนตื่นเต้นเล็กน้อยขึ้นรถม้าไป
เจ้าของร่างเดิมอายุยังน้อย ความนึกคิดจิตใจค่อนข้างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่คิดว่าบิดามารดาผู้ให้กำเนิดจะชั่วร้าย คิดจริงจังว่าตนเองกลับไปคือการไปเสวยสุข
ตอนที่ 2 เจ็บปวดถึงใจ
ทันทีที่เข้าสู่จวนโหว เจ้าของร่างเดิมก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
แม้นางเป็นเด็กสาวชนบทคนหนึ่ง แต่ที่บิดามารดาอบรมสั่งสอนก็ถือว่าดีไม่น้อย ความสามารถในการมองดูสีหน้าผู้คนจึงยังพอมีอยู่บ้าง
ท่ามกลางตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์นี้ แต่ละคนล้วนดูถูกเหยียดหยามนาง แม้แต่อาภรณ์ที่ข้ารับใช้หญิงสวมใส่ยังดีกว่าที่นางสวมอยู่บนตัว ผิวพรรณก็ขาวผ่องกว่านาง นางกลับสู่จวนโหวแล้ว ญาติพี่น้องไม่มีใครเห็นนางในสายตาสักคนเดียว หนำซ้ำยังคอยหาเรื่องบ่อยครั้ง
ในบางครั้งก็มีพี่สาวน้องสาววิ่งเข้ามาร่วมวงเป็นเรื่องสนุก มองดูนางผู้นี้เป็นของหายาก
เจ้าของร่างเดิมเป็นสาวชาวไร่ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีอุปนิสัยกระด้างกระเดื่องเล็กน้อยเช่นกัน แต่อยู่ในถิ่นคนอื่นเขา นางจะทำอะไรได้นอกเสียจากอดกลั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังถูกไม่ดูดำดูดีหนึ่งเดือน นางถึงได้พบเห็นมารดาผู้ให้กำเนิด
มารดาแท้ๆ ผู้นั้นมองนางปราดหนึ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ รังเกียจกลิ่นนาง รังเกียจความกระด้างกระเดื่องของนาง รังเกียจรูปลักษณ์ดำคล้ำของนาง…
สนทนาพูดคุยไม่กี่ประโยค ก็ต้องการเชิญหมัวหมัว[7]มาอบรมสั่งสอน
ด้วยเหตุนี้ในครึ่งปีหลัง เจ้าของร่างเดิมก็เริ่มเรียนรู้กฎระเบียบ ตลอดทั้งวันหมดไปกับการก้าวเดิน เรียนรู้การรับประทานอาหาร ท่องจำหลักการเป็นกุลสตรี ยามที่นางอยู่บ้านก็พอรู้ตัวหนังสือบ้างเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็เทียบไม่ได้กับแม่นางคนอื่นๆ ที่รอบรู้ทั้งกู่ฉิน หมากล้อม พู่กัน และภาพวาด
เจ้าของร่างเดิมที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี ถูกเคี่ยวกรำเป็นเวลากว่าครึ่งปี
ภายหลังต่อมา เจ้าของร่างเดิมถึงรับรู้ว่า ฮ่องเต้มีประสงค์ให้นำคุณหนูแห่งจวนโหวหมั้นหมายเป็นภรรยาใหม่ท่านอ๋องวัยชราคนหนึ่ง ท่านอ๋องผู้นั้นอายุมากถึงห้าสิบปี มีความลุ่มหลงในราคะตัณหาและหลายใจ คุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวต้องไม่ยินยอมเป็นธรรมดา และพยายามคิดฆ่าตัวตาย เหตุนี้ถึงได้รับนางกลับมาเพื่อเป็นตัวแทน
ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมถึงกับตะลึงงัน
ร้องห่มร้องไห้สาหัสสากรรจ์ ทว่าไม่มีผู้ใดแยแสแลเหลียว
คนของจวนโหวไม่ให้นางออกพ้นประตู ถึงขั้นเริ่มไม่ให้นางเห็นแสง โดยกล่าวว่านางดำคล้ำเกินไป จำต้องหมกตัวอยู่ในที่มิดชิดเสียหน่อย เพื่อไม่สร้างความบาดตาให้แก่ว่าที่สามี
พื้นเพเจ้าของร่างเดิมงดงาม ท้ายที่สุดก็บ่มตัวจนขาวผ่อง หลังผิวขาวแล้ว ภาพลักษณ์ภายนอกก็ดูไม่ต่างจากบุตรสาวตระกูลคนใหญ่คนโต ถึงขั้นว่ารูปลักษณ์โดดเด่นอย่างยิ่งก็ว่าได้ ทางด้านจวนโหวจึงพาเจ้าของร่างเดิมเข้าร่วมงานเลี้ยงระดับสูงอยู่สองสามหน แล้วยังให้ท่านอ๋องชราผู้นั้นได้เห็นไกลๆ บ้างประปราย
กว่าจะถึงวันแต่งงาน วันคืนผ่านไปอย่างยากจะอดทนไหว
แต่งานแต่งนี้ยังไม่ทันจัดขึ้น ในค่ำคืนหนึ่งท่านอ๋องชราเล่นบทรักกับสตรีสาวผู้อ่อนโยนพราวเสน่ห์ คิดไม่ถึงว่าจะหัวใจวายไปเสียดื้อๆ!
เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าของร่างเดิมก็ไม่ต้องแต่งงานแล้ว
ทว่าในสายตาคนจวนโหว นางผู้นี้กลายเป็นตัวกาลกิณีอย่างแน่แท้
จวนโหวกลัวผู้อื่นรับรู้ว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นตัวกาลกิณีที่มีหกนิ้ว กลัวถูกผู้คนตราหน้าว่านางทำให้ท่านอ๋องวัยชราสิ้นใจ จึงแอบตัดนิ้วเท้าที่เกินออกมาของนางทิ้ง
ช่างเจ็บปวดเจียนตาย!
เจ้าของร่างเดิมร้องไห้จะเป็นจะตาย เฝ้าอ้อนวอนขอเพียงกลับบ้านเท่านั้น บิดามารดาแห่งจวนโหวคู่นั้นจึงป่าวประกาศไปทั่วโดยกล่าวอ้างว่า บุตรสาวคนโตตระกูลซ่ง ซ่งอิง คะนึงถึงท่านอ๋องวัยชราที่ด่วนจากไป คิดไม่ได้ จึงขอตายตามไป!
จวนโหวตอนนั้นตระเตรียมผ้าไหมขาวไว้เส้นหนึ่งสำหรับให้นางแขวนคอตายจริงๆ
เจ้าของร่างเดิมหวาดกลัว ดึงปิ่นปักผมจ่อหน้าตนเองแล้วกรีดลงไปสองสามรอย คุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้น รับประกันว่าจากนี้จะแก่ตายในหมู่บ้านซิ่งฮวา ไม่หวนกลับมาอีกเด็ดขาด และจะไม่ให้ผู้ใดจดจำได้จนนำมาซึ่งความวุ่นวายแด่จวนโหว!
เป็นความโชคดีของเจ้าของร่างเดิมเช่นกัน นายหญิงชราจวนโหวมีโรคประจำตัว ไม่อาจมองเห็นเลือด โหวเหยีย[8]ถึงได้ให้คนส่งนางกลับ
ยามที่เจ้าของร่างเดิมกลับมายังหมู่บ้านซิ่งฮวา มารดาผู้เลี้ยงดูอย่างหร่วนซื่อเห็นใบหน้านี้ถึงกับเป็นลมหมดสติไปทันที
หลังเจ้าของร่างเดิมกลับบ้านก็ล้มป่วยอาการหนัก ร่างกายไม่แข็งแรง อย่างเมื่อครู่นี้ เพียงแค่อยากออกจากบ้านไปส่งน้ำให้บิดามารดาในแปลงนา กลับถูกเด็กๆ เหล่านั้นขวางทางไว้ และเย้าแหย่แผลงๆ เป็นเรื่องตลก กระทั่งถึงแก่ชีวิต
ในใจซ่งอิงเต็มไปด้วยความรู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนจากความไม่เป็นธรรมของเจ้าของร่างเดิม
หากนางไม่ได้มีฐานะบุตรสาวจวนโหวนี้ติดตัว อยู่ในหมู่บ้านซิ่งฮวานี้ นางก็เป็นคนหนึ่งที่บิดามารดารักใคร่เอ็นดู
ทางด้านตระกูลซ่งนี้ สมาชิกในตระกูลแม้มีมาก แต่ครอบครัวบุตรคนรองกลับมีนางเป็นบุตรสาวผู้เดียว
นอกจากนั้น ตระกูลซ่งเพิ่งแยกครอบครัวเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ซึ่งสาเหตุก็มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของร่างเดิมเช่นกัน
ผู้เป็นลุงจากบ้านใหญ่[9]นามว่าซ่งฝูซาน แต่งเหยาซื่อ[G1] เป็นภรรยา ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง บุตรชายคนโตอายุยี่สิบปี หลังแต่งงานหนึ่งปียังคงไร้บุตร บุตรชายคนที่สองวัยสิบปี ส่วนบุตรสาวคนโตก็คือซ่งต้ายา วัยสิบแปดปี ออกเรือนไปแล้ว
บิดานางอยู่ในลำดับบุตรคนที่สอง นามซ่งจินซาน ภรรยานามหร่วนซื่อ ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน หลังเพิ่งผ่านพ้นปีใหม่ไป บัดนี้มีวัยสิบเจ็ดปีพอดี ยังไม่มีคู่ครองที่หมายปอง
บ้านสาม[10]ซ่งอิ๋นซาน ภรรยานามเจียวซื่อ บุตรชายสามคนหญิงหนึ่งคน บุตรคนโตวัยสิบห้าปี คนรองสิบสามปี คนเล็กสิบปี และบุตรสาววัยแปดปี
บ้านสี่[11]ซ่งหม่านซาน ภรรยานามเหยาซื่อ ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคนวัยสามขวบ
[1] ซ่งเอ้อร์ยา (宋二丫) ‘ซ่ง’ ในที่นี้หมายถึงแซ่ของตัวละคร ‘เอ้อร์ยา’ เป็นคำที่คนจีนใช้เรียกบุตรสาวลำดับที่สองของครอบครัว
[2] ชั่วยาม (时辰) 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง โดยประมาณ
[3] โหว (侯) เป็นยศบรรดาศักดิ์ขุนนางที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ญาติสนิท หรือผู้มีคุณงามความดีต่อแผ่นดิน เริ่มใช้ตั้งแต่ราชวงศ์ฉินจนถึงราชวงศ์โจว โดยมีการกำหนดบรรดาศักดิ์นี้ไว้ 5 ขั้น ได้แก่ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน (เทียบกับบรรดาศักดิ์ไทยได้แก่ เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน)
[4] จวน (府) ในยุคสมัยโบราณหมายถึง ที่อยู่อาศัยหลักของขุนนางบรรดาศักดิ์และข้าราชการ นอกจากนี้ยังหมายถึงคฤหาสน์ใหญ่โตของคนธรรมดาทั่วไปได้เช่นกัน
[5] ซื่อ (氏) เป็นคำต่อท้ายสกุลเดิมของสตรีที่แต่งเข้าตระกูล
[6] ท่อนแขนหรือจะสู้ต้นขา (胳膊拧不过大腿) สำนวนจีน หมายถึง ผู้อ่อนแอและด้อยกว่า ไม่อาจสู้ผู้มีอำนาจแข็งแกร่งกว่าได้
[7] หมัวมัว (嬷嬷) หมายถึง แม่นมผู้มีอายุเข้าสู่วัยกลางคน
[8] โหวเหยีย (侯爷) คำเรียกนายท่านแห่งจวนโหว
[9] บ้านใหญ่ (大房) หมายถึงครอบครัวบุตรชายคนโตของตระกูล
[10] บ้านสาม (三房) หมายถึง ครอบครัวบุตรลำดับที่สามของตระกูล
[11] บ้านสี่ (四房) หมายถึง ครอบครัวบุตรลำดับที่สี่ของตระกูล