ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 103 ครอบครัวที่เลี้ยงไก่รายใหญ่ ตอนที่ 104 โตขึ้นแล้ว
- Home
- ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล
- ตอนที่ 103 ครอบครัวที่เลี้ยงไก่รายใหญ่ ตอนที่ 104 โตขึ้นแล้ว
ตอนที่ 103 ครอบครัวที่เลี้ยงไก่รายใหญ่
เดิมทีซ่งอิงอยากปล่อยนางไปเลยตามเลย แต่นางกลับยังพ่นคำด่าทอหยาบคายไม่เลิก จึงอดทนไม่ได้เป็นธรรมดา
“สรุปแล้วเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!?” หลิวซื่อกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
“เพียงแค่อยากรู้ให้แน่ชัดว่าสรุปแล้วท่านมาทำอะไรก็เท่านั้น หากเป็นการมาเยี่ยมเยียนข้า เช่นนั้นก็กล่าวขอโทษลูกหลินบ้านข้าอย่างนอบน้อมเสีย ในเมื่อเราเป็นเพื่อนบ้านกัน ท่านทำให้ลูกชายข้าตกใจกลัว แน่นอนว่าก็ควรขอโทษดีๆ หากไม่ใช่มาเยี่ยมเยียนข้า เช่นนั้นก็เป็นการมากระทำเรื่องชั่วร้ายแล้วละ ข้าเพิ่งกลับมาจากทางด้านหัวหน้าหมู่บ้านพอดี ไปอีกรอบก็ย่อมได้” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าหยิบยกหัวหน้าหมู่บ้านมาข่มขู่ข้าให้น้อยๆ หน่อย!” หลิวซื่อกล่าว
ใช่เรื่องใหญ่โตที่ไหนกัน? หัวหน้าหมู่บ้านมีหรือจะสนใจ!?
อีกอย่าง ในเรือนซ่งอิงนอกจากไม่ได้จุดเพลิง ก็ไม่มีใครเสียชีวิตด้วย บนตัวนางก็ไม่มีเงินแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว จะยืนยันได้อย่างไรว่านางขโมยของ?
หัวหน้าหมู่บ้านไม่สนใจหรอก!
“หลิวซื่อ สหายของสามีข้าเพิ่งบริจาคเงินให้หมู่บ้านหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ท่านคิดว่า…หัวหน้าหมู่บ้านจะไม่เป็นผู้ตัดสินแทนพวกข้าสองแม่ลูกหรือ” ซ่งอิงยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วกล่าว
หลิวซื่อนิ่งอึ้ง
ใบหน้าพลันซีดเผือด
ใช่แล้ว วันนี้เพิ่งได้ยินผู้คนพูดถึงกันอยู่พอดีว่า สหายร่วมงานของฮั่วหรงที่ตายไปแล้วผู้นั้นให้นำเงินมาส่งให้ เงินก้อนนั้นเอ่ยว่าจะเอามาใช้ซ่อมแซมโรงเรียน ส่วนที่เหลือทั้งหมดจะเอามาใช้ซื้อที่ทำแปลงนาสำหรับเรียนรู้
ความหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ จะถูกหรือผิดก็ขึ้นอยู่กับซ่งอิงพูด?!
พอคิดได้เช่นนี้ หลิวซื่อรู้สึกเจ็บใจขึ้นมา พยายามฉีกยิ้ม “อิงยาโถวอา อามาเยี่ยมเยียนเจ้าจริงๆ ข้ายังเตรียมไข่ไก่เอาไว้ด้วยหนึ่งตะกร้า เพียงแต่มาอย่างรีบร้อน จึงลืมไปเสียได้ ไว้คราวหน้าจะเอามาให้เจ้าแล้วกันนะ?”
“บ้านเราสองครอบครัวอยู่ใกล้กัน ไปมาสองเค่อเท่านั้นเอง ในเมื่ออาสะใภ้ต้องการเอามาให้ เช่นนั้นก็เร็วเข้าสิ หากไม่กลับมาในเวลาสองเค่อ ข้าก็จะออกไปตะโกนหน้าประตูบ้าน โดยพูดว่าไม่รู้เป็นใครบุกรุกเข้ามาในบ้านข้า ทำลายน้ำพะโล้สูตรลับหม้อหนึ่งของข้าที่ราคาสูงเป็นร้อยตำลึงเงิน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องหาตัวการออกมาให้จงได้” ซ่งอิงกล่าวเหลวไหลไปเรื่อยเปื่อย “นอกจากนั้น น้ำใจอย่างไข่ไก่หนึ่งตะกร้า…ยังน้อยไปหน่อย อาสะใภ้คิดให้ดีๆ สิว่า จะทำอย่างไรจึงจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจได้”
ซ่งอิงเอ่ยพูดจบ ก้าวเดินขึ้นมาเบื้องหน้ากะทันหัน ก่อนพุ่งเข้าไปเขี่ยใบหูของหลิวซื่อ แล้วปลดตุ้มหูเงินลักษณะวงกลมๆ ข้างหนึ่งของนางเอามา “เอาไว้เป็นค่ามัดจำแล้วกัน อีกเดี๋ยวอาสะใภ้มาแล้วข้าค่อยคืนมันให้”
หลิวซื่อแอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย เหตุใดวันนี้จึงผลีผลามมาที่นี่!
ต่อให้มาเยือน ก็ควรคำนวณเวลาให้แน่ชัด ตอนนี้ถูกนางเด็กสาวสารเลวผู้นี้จับได้คาหนังคาเขาไม่ว่า แล้วยังถูกไอ้เด็กเวรผู้นั้นดึงผมเป็นกระจุกใหญ่อีก!
“ได้ อิงยาโถวเจ้ารอเดี๋ยวก็แล้วกัน” หลิวซื่อยิ้มบิดเบี้ยวแล้วเดินจากไป
ซ่งอิงสบถฮึเบาๆ
“ไป เราไปปักธูปให้ท่านพ่อเจ้ากัน ขอบคุณท่านพ่อเจ้าที่ทำให้คนชั่วกลัวจนเผ่นแน่บ” ซ่งอิงตบแผ่นหลังของภูตโสมอย่างเบามือและกล่าว
ภายในห้อง มีป้ายวิญญาณของฮั่วหรงเสียด้วย
ซ่งอิงไหว้ฮั่วหรงอย่างเป็นจริงเป็นจัง ภูตโสมไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก แต่ก็ถือว่าฉลาดไม่น้อย ทำตามอย่างว่าง่าย
เรื่องราววันนี้ นางทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้
ทว่าหลักฐานพยานไม่ชัดเจน หากหลิวซื่อยืนกรานเสียงแข็งว่าแค่ผ่านทางมา ต่อให้หัวหน้าหมู่บ้านช่วยจัดการแทนนาง นั่นก็เพราะเห็นแก่หน้าฮั่วหรง สำหรับคนอื่นล้วนเป็นนางทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ อาศัยชื่อผู้เสียชีวิตก่อเรื่องเหลวไหลโดยไม่จำเป็น
ดังนั้นจะทำเช่นนี้ไม่ได้
หลังผ่านไปชั่วครู่ หลิวซื่อกลับมา
ในมือหิ้วแม่ไก่หนึ่งตัว แล้วยังมีไข่ไก่อีกหนึ่งตะกร้า
ข้ามภพมาไม่ทันไร นี่เป็นไก่ตัวที่สองที่ครอบครัวหลี่ชดใช้ให้นาง
นี่เป็นครอบครัวที่เลี้ยงไก่รายใหญ่หรือไรกัน?
ซ่งอิงรับไก่เอาไว้อย่างสงบเยือกเย็น เวลานี้เองจึงนำตุ้มหูคืนกลับไป “พวกเราสองตระกูลไม่ได้เป็นญาติกัน จากนี้อย่าได้ไปมาหาสู่กันจะดีกว่า ตอนนี้ข้าก็เอาของคืนให้แล้ว หลิวซื่อ จากนี้ท่านอยู่ให้ห่างจากบ้านข้าเข้าไว้หน่อย หากให้ข้าเห็นท่านมาเดินป้วนเปี้ยนแถวหน้าประตูบ้านข้าอีก เมื่อถึงเวลาก็คงต้องพาท่านไปอธิบายที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านแล้วละ”
หลิวซื่อกัดฟันแน่น รีบถอยห่างออกจากซ่งอิงหน่อย มั่นใจว่าจะไม่ถูกซ่งอิงเล่นงานอีก จึงได้เอ่ยปากพูด “ใช่แล้ว ข้าดีใจแทบแย่ที่เราสองตระกูลตัดญาติกัน! อิงยาโถว เจ้ามีความรู้ มีสติปัญญานั่นเป็นสิ่งที่ดี เจ้าคนที่เก่งกาจเพียงนี้ จากนี้ก็อย่าได้มีความนึกคิดทำร้ายลูกชายข้าอีก เพราะข้าคงไม่อาจอดทนยอมรับได้…”
ตอนที่ 104 โตขึ้นแล้ว
หลิวซื่อเอ่ยคำพูดนั้นจบก็โกยแน่บไป เรือนร่างที่ค่อนข้างอ้วนท้วม วิ่งจนรวดเร็วดุจบิน
ซ่งอิงรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยที่ไม่ได้ลงมือเล่นงานนางด้วยมือตนเองสักยก
ทว่าก็แค่นึกคิดเท่านั้น ตอนนี้นางพละกำลังมากมาย หากลงไม้ลงมือขึ้นมาจริงๆ หลิวซื่อมีหวังถูกนางตบตีจนร้องโอดโอยแน่นอน ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายแสดงทักษะมารยาอีกนิด เรื่องราวแพร่งพรายออกไป นางคงได้กลายเป็นสตรีชั่วร้ายกันพอดี อีกทั้งคนบนโลกมักเข้าข้างผู้อ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร ถึงตอนนั้นต่อให้หัวหน้าหมู่บ้านมาเป็นผู้ตัดสิน คนรอบข้างก็สงสารหลิวซื่ออยู่ดี และก็จะคิดว่านางอาศัยอำนาจของฮั่วหรงรังแกผู้คน ผู้ที่ปกป้องนางก็จะลดน้อยลงไปมาก
หากตบตีหลิวซื่อ คนที่เสียเปรียบคือตัวนางเอง
ต่อให้ลงไม้ลงมือ ก็ต้องเหมือนเช่นก่อนหน้านั้นที่เล่นงานหลี่จิ้นเป่า ลักลอบจัดการ จะให้หลิวซื่อคลานออกไปจากบ้านของนางไม่ได้เป็นอันขาด
“เจ้าสหายคู่หูตัวน้อยลงมือโหดเหี้ยมไปแล้วนะ?” ซ่งอิงมองภูตโสม แล้วปรายตามองเศษเส้นผมที่กระจายอยู่บนพื้นนั่น รู้สึกพรั่นพรึงเล็กน้อย
ภูตโสมคลี่ยิ้ม เชิดหน้าเล็กน้อยและผายอกยืดตรง “ฮึ ข้ายังเด็กอยู่ หากข้าบำเพ็ญเพียรอีกหนึ่งพันปี ก็จะกลายร่างได้อีก จะใช้รากฝอยของข้ารัดนางให้ตายเลย!”
ซ่งอิงมองนางแวบหนึ่งอย่างประหลาดใจ “การโจมตีประเภทนี้ค่อนข้างพิเศษดีนี่?”
“ลุงซ่งสวินเล่าเรื่องผีให้ข้าฟังเมื่อสองวันก่อน เรื่องราวมีอยู่ว่าผีผู้หญิงใช้เส้นผมตนเองรัดคนตาย ข้าก็เลยแอบลองทำดู น่าเสียดายที่ข้าพยายามสุดพละกำลังแล้ว รากฝอยของข้าก็ไม่ได้ก่อประสิทธิผลอะไรเลย! แต่หากอีกหนึ่งพันปีละก็ จะต้องเก่งกาจกว่าผีผู้หญิงตนนั้นเป็นแน่!” ภูตโสมจริงจังอย่างยิ่ง
ซ่งอิงเผยรอยยิ้มฝืดบนใบหน้า
นึกถึงภาพที่ภูตโสมเปลี่ยนร่างไปเป็นผีผู้หญิงอยู่ในหัวสมอง
ช่างงดงาม และดึงดูดสายตาเกินห้ามใจจริงๆ
แต่นางก็ลำบากใจเกินกว่าจะไม่ให้ภูตโสมฝึกฝนการเหวี่ยงสะบัดรากฝอย อย่างไรเสียในฐานะพืชชนิดหนึ่ง นอกจากมันวิ่งได้ ก็ทำอะไรอื่นไม่ได้แล้วจริงๆ
“ผมของเจ้านี่ดูเหมือนจะยาวขึ้นอีกนิดแล้วนะ” สายตาซ่งอิงจรดลงไปบนศีรษะของภูตโสม “เจ้าไม่ได้เอ่ยว่ารากฝอยของภูตโสมอย่างพวกเจ้ายาวช้ามากๆ หรอกหรือ”
“ยาวแล้วหรือ?!” ภูตโสมกระโดดโหยง เปลี่ยนกลับร่างเดิมกะทันหัน ทำซ่งอิงตกอกตกใจแทบแย่ รีบลากมันไปยังลานหลังบ้านทันที
โสมขนาดใหญ่โตหัวหนึ่งยืนอยู่บนพื้น รากฝอยที่ยาวเฟื้อยไม่ต่างจากขาและเท้ายืนอยู่อย่างไรอย่างนั้น รากนี้ยกขึ้น รากนั้นยื่นออกมา มองดูเหมือนกับมือที่กำลังร่ายระบำ ซ่งอิงมองดูอย่างงงงวย
ภูตโสมลืมการมีตัวตนอยู่ของซ่งอิงไปเสียสนิท เวลานี้ไม่ต่างจากแม่นางสาวน้อยที่รักสวยรักงามคนหนึ่ง ก้นโสมที่ไม่ต่างจากหัวไชเท้าของเขาสะบัดซ้ายส่ายขวา…
ซ่งอิงกุมขมับไม่พูดไม่จา นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรบรรยายภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้อย่างไรดี รู้สึกได้เพียงมุมมองทัศนคติที่สร้างเอาไว้ในชีวิตก่อนเป็นอันกระเจิดกระเจิงไปในชั่วพริบตาเดียว
“ข้าว่าส่วนหัวของเจ้านี้ก็ใหญ่ขึ้นหน่อยด้วยเช่นกัน” ซ่งอิงบอกกล่าวตามจริง
แม้ว่าภูตโสมจะมีอายุกว่าหนึ่งพันปีแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าขนาดใหญ่โตเท่าใดนักจริงๆ เพียงแต่รากฝอยเยอะกว่าโสมทั่วไปก็เท่านั้น แต่ยามนี้มองดูแล้ว…น่าจะใหญ่ขึ้นนิดหน่อยแล้วละ
ไม่ใช่นางตาดี แต่ว่า…
มันเป็นโสมนี่! ตั้งแต่เห็นมันครั้งแรก นางก็อดจะคำนวณคุณค่าราคาของมันตั้งแต่บนจรดล่างไม่ได้ ของที่ขายได้ราคาดีประเภทนี้ แน่นอนว่าต้องจดจำน้ำหนักและขนาดตัวของมันเอาไว้ให้ขึ้นใจ…
นี่คือทักษะของนางที่เป็นไปโดยปริยาย นางก็ไม่อาจควบคุมได้เช่นกัน!
“ส่วนหัวก็สูงขึ้นด้วยหรือ” รากฝอยทั้งหมดของภูตโสมหยุดนิ่ง ลูบคลำใบและส่วนลำปล้องบริเวณเหง้าของตนเอง มองดูหลงใหลได้ปลื้มอย่างยิ่ง “เป็นไปไม่ได้น่า ข้าเป็นโสม มิใช่ผักกาดขาวเสียหน่อย จะแตกกล้าอ่อนได้ง่ายดายเพียงนั้นที่ไหนกัน”
“ต้องโตขึ้นแล้วแน่นอน เพียงแต่ไม่ค่อยชัดเจน” ซ่งอิงใช้มือวัดขนาด
ก่อนหน้านี้ระดับความยาวของลำตัวภูตโสมประมาณสองฝ่ายมือ บัดนี้ระดับความยาวเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนประมาณหนึ่งข้อนิ้วก้อย
ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ เติบโตขึ้นมากขนาดนี้ สมควรเป็นสิ่งที่ชวนตกตะลึงอย่างยิ่ง