ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 11 ไม่รักษาคำพูด ตอนที่ 12 คนครอบครัวเดียวกัน
ตอนที่ 11 ไม่รักษาคำพูด
สาเหตุที่เหยาซื่อบ้านใหญ่พูดเช่นนี้ มิใช่เพราะช่วยแก้ต่างให้ซ่งอิงแต่อย่างใด แต่เพราะนางเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกัน เพียงแต่บ้านใหญ่ไม่ต้องการมีส่วนรับผิดชอบ
“ท่านแม่! ท่านอย่าได้ถูกนางหลอกเข้าเชียว! ก่อนหน้านี้นางยังไปพบพี่หลี่อยู่เลย ยามที่เห็นพี่หลี่ก็ร้องห่มร้องไห้เศร้าเสียใจ กล่าวว่าตนเองจะต้องแต่งงานกับพี่หลี่ให้จงได้ แล้วยังกล่าวว่าพี่หลี่ไม่รักษาคำพูดอีกด้วย!”
คำพูดดังกล่าวนี้หลังสิ้นสุดลง หร่วนซื่อก็เร่งเดินออกมา
“พี่สะใภ้ใหญ่!” หร่วนซื่อตาแดงก่ำ “อาอิงเป็นลูกสาวข้า! ท่านริอาจให้เขาพูดจาเหลวไหลอยู่ได้!”
หร่วนซื่อนิสัยอ่อนโยน ปากคอก็ไม่ได้เราะรายอย่างเหยาซื่อบ้านใหญ่เช่นนั้น
ทว่าทางด้านบ้านสองอย่างพวกเขานี้มีที่ดินน้อยนิด ไม่มีงานอะไรให้ทำ หลายวันมานี้ บ้านอื่นๆ ยังคงหวังว่าเมื่อใดที่หร่วนซื่อมีเวลาว่างก็จะไปช่วยเป็นลูกมือทางด้านพวกเขาบ้าง
ด้วยเหตุนี้ทันทีที่หร่วนซื่อเอ่ยปาก เจียวซื่อบ้านสามก็ก้าวออกมาเอ่ยพูดทันควัน “พี่สะใภ้ใหญ่อา ท่านคงต้องอบรมสั่งสอนลูกชายให้ดีๆ หน่อยแล้ว นี่ก็สิบขวบแล้วควรรู้ความบ้างสิ จะจ้องแต่ตักตวงผลประโยชน์ ทำนิสัยเห็นแก่ตัวได้อย่างไรกันล่ะ อีกอย่าง…ลูกเสี่ยนครอบครัวท่านตอนนี้ก็ได้แต่งภรรยาในอำเภอ อยู่อาศัยบ้านในตัวอำเภอ นั่นยังต้องขอบใจอิงเอ๋อร์นางด้วยซ้ำ…”
ใบหน้าวัยชราของเหยาซื่อบ้านใหญ่แดงก่ำ อับอายขายหน้าเสียแล้ว
หากไม่ใช่คนครอบครัวซ่งอิงให้เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินยามที่มารับตัวคนเขาไปเมื่อสองปีก่อน บุตรชายนางตอนนี้คงไม่ได้ไปลงหลักปักฐานในอำเภอเป็นแน่
ทั้งที่บุตรชายคนโตอาศัยความโชคดีของซ่งอิง บุตรชายคนเล็กกลับก่นด่าคนเขา ไม่รับนางเป็นพี่สาว นี่มันช่าง…ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
เหยาซื่อบ้านใหญ่ขายหน้าเล็กน้อย จึงถลึงตาใส่บุตรชายคนเล็กปราดหนึ่ง
ฝ่ายซ่งอิงกลับมุ่นคิ้วเอ่ยถาม “น้องต๋า เจ้าเอ่ยว่าข้าแอบไปหาหลี่จิ้นเป่าเป็นการส่วนตัวเพื่อให้เขารับผิดชอบ?”
“ไม่ใช่แค่พี่หลี่พูด พี่โก่วต้านที่อยู่ในหมู่บ้านก็เห็นเจ้าไปหาเขาเช่นกัน! ท่านแม่ ข้าไม่ต้องการคนอัปลักษณ์หน้าไม่อายผู้นี้เป็นพี่สาวข้า! พี่หลี่หมั้นหมายแล้วแท้ๆ ทำไมนางถึงได้ไม่รู้จักละอายแก่ใจแบบนี้!” ซ่งต๋ากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
ซ่งอิงขมวดคิ้วแน่น
นางครุ่นคิดจากความทรงจำอย่างละเอียด พบว่าหลังเจ้าของร่างกลับมา น่าจะเคยพบหลี่จิ้นเป่าเพียงสามครั้งเท่านั้น!
ครั้งแรก เป็นหลี่จิ้นเป่ามาที่บ้านซ่ง ถูกใบหน้านี้สร้างความตื่นตกใจจนหนีเปิดไป
ครั้งที่สอง ร่างกายนางไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนั้นนั่งเหม่ออยู่ปากทางเข้าออกลานบ้าน และสบตาเข้ากับหลี่จิ้นเป่าที่อยู่ไกลออกไปพริบตาหนึ่ง
ครั้งที่สาม…
ซ่งขมวดคิ้ว
ครั้งที่สาม เป็นยามที่ครอบครัวซ่งแบ่งแยกครอบครัว
ตอนนั้นเจ้าของร่างคิดว่าสาเหตุเป็นเพราะฐานะของตนเอง ถึงส่งผลให้ยามแยกครอบครัวบิดามารดาถึงได้รับความไม่เป็นธรรมเพียงนั้น ในใจนางเศร้าเสียใจมาก คิดอยู่ลึกๆ ว่าตนเองเป็นภาระ จึงอาศัยช่วงที่บิดามารดาไม่อยู่บ้านวิ่งออกไปข้างนอก ถึงขั้นคิดจะตายๆ ไปให้รู้แล้วรู้รอด!
แต่เมื่อวิ่งไปถึงริมแม่น้ำ เจ้าของร่างพลันเกิดความลังเลใจ
เพราะนางอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายเพียงนั้นถึงมีชีวิตรอดมาจากจวนโหวได้ ตอนนี้จะตายไปเฉยๆ นางก็ไม่เต็มใจเท่าใดนัก
ทว่านางชเสียใจมาก ดังนั้นจึงนั่งยองร้องไห้อยู่ริมน้ำ
ยามที่กลับหลังหันเตรียมเดินจากมา ก็มองเห็นหลี่จิ้นเป่า ตอนนั้นสีหน้าของหลี่จิ้นเป่าคล้ายเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น ถึงขั้นขยับชฝีก้าวไม่ได้เพราะความตกใจ
เจ้าของร่างไม่มีความนึกคิดใดต่อหลี่จิ้นเป่าเลยแม้แต่น้อย หลังมองเห็นหลี่จิ้นเป่า ถึงนึกขึ้นได้ว่าริมแม่น้ำนี้เป็นสถานที่ที่นางและหลี่จิ้นเป่าเจอหน้ากันช่วงก่อนๆ ที่ไปจวนโหว แม้ตามจริงจะเจอะเจอกันไม่กี่ครั้งก็ตาม…
ดังนั้นตอนแรกเจ้าของร่างจึงบอกกล่าวหลี่จิ้นเป่า นางเพียงแค่อารมณ์ไม่ดี ดังนั้นจึงออกมาเดินเล่น ไม่ได้มีความนึกคิดอื่นใด
ตอนนั้นหลี่จิ้นเป่าก็ยังถือว่าให้ความเกรงใจพอตัว เอ่ยถามนางว่าตั้งใจทำอะไรในภายภาคหน้า
ตอนนั้นเจ้าของร่างไม่รู้จริงๆ ว่าตนจะมีภายภาคหน้าที่ว่านี้อยู่หรือไม่ อีกทั้งที่หลี่จิ้นเป่าถามไถ่ก็เป็นเรื่องที่นางปวดใจอยู่พอดี ดังนั้นจึงคลี่ยิ้มเจื่อนอย่างเจ็บปวดใจ ไม่เอ่ยพูดอื่นใด ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายเลยนี่!?
ใช่แล้ว!
ซ่งอิงฉุกคิดขึ้นมาได้ ตอนนั้นสุขภาพร่างกายเจ้าของร่างไม่ค่อยดี ยามที่เดินไม่ทันก้าวมั่นจึงเกือบล้มคะมำ…
หลี่จิ้นเป่าตาไวเท้าไว หลบหลีกได้แต่ไกล โชคดีเจ้าของร่างยืนมั่นได้ด้วยตนเอง นี่ถึงไม่ขายหน้าคนเขา…
หลี่จิ้นเป่าคงมิได้คิดไปว่า ตอนนั้นเจ้าของร่างอ่อยเขาหรอกกระมัง!
สีหน้าซ่งอิงเปลี่ยนไปฉับพลัน
ตอนที่ 12 คนครอบครัวเดียวกัน
นางมั่นใจได้ว่า เจ้าของร่างไม่มีความนึกคิดที่จะตอแยใดๆ ต่อหลี่จิ้นเป่าทั้งสิ้น บุรุษผู้นั้นก็ช่างหลงตัวเองเกินไปแล้วกระมัง!
“เจ้าไม่พูดก็เท่ากับยอมรับแล้วสินะ! นางอัปลักษณ์ ไม่รู้จักละอายแก่ใจ!” ซ่งต๋าแผดเสียงตะโกนใส่ซ่งอิง
แววตาซ่งอิงเย็นเยียบขึ้นมาชั่ววูบ “ผู้อื่นพูดเช่นไรเจ้าก็เชื่อเช่นนั้น เจ้าเป็นหมาของหลี่จิ้นเป่าหรือ นับแต่ข้ากลับมา ก็ออกจากบ้านแค่สองครั้งเท่านั้น มีเวลาว่างไปยุ่งวุ่นวายกับหลี่จิ้นเป่าเสียที่ไหนกัน อีกอย่าง หลี่จิ้นเป่าเขาไม่มีทั้งชื่อเสียงและไร้ความสามารถ หนำซ้ำยังไม่มีเงินทองทรัพย์สมบัติ จะไปถูกตาต้องใจอะไรเขาหรือ คนที่โง่เขลาไร้สมองประเภทนี้ ต่อให้ส่งถึงประตูบ้าน ข้าก็ไม่ชายตาแลหรอก!”
เสียงซ่งอิงเกรี้ยวกราด แม้แต่หร่วนซื่อยังตระหนกตกใจ
แต่หร่วนซื่อเข้าใจนางเป็นอย่างยิ่ง
เพราะบุตรสาวไม่ใช่แม่นางสาวน้อยที่ดำรงชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชนบทเฉกเช่นตลอดที่ผ่านมาแล้ว นางไปจวนโหวมาเกือบสองปีเชียวนะ ระยะเวลาที่ยาวนานเพียงนี้ ต้องเปลี่ยนอีกคนหนึ่งไปได้เป็นอย่างแน่นอน
ก็อย่างเช่นการกินข้าวของบุตรสาว เมื่อก่อนอยู่ในครอบครัวล้วนกินคำใหญ่ๆ หลังกลับมาจากจวนโหว ค่อยๆ ละเมียดละไมกินก่อนกลืนลงไปอย่างเนิบช้า ลักษณะทั่วทั้งเรือนกายก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ต่อให้เป็นการเดินเหิน ก็ไม่เดินอย่างรีบๆ ร้อนๆ บุ่มบ่ามเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว…
“พี่สะใภ้ใหญ่ อาอิงบ้านข้าเป็นคนมีความรู้มีปัญญา หลี่จิ้นเป่าจะเข้าตานางได้อย่างไรกันหรือ! ท่านช่วยอบรมสั่งสอนลูกต๋าของท่านให้ดีๆ เสียเถอะ อย่าให้เขาถูกคนอื่นจูงจมูกเอาได้!” หร่วนซื่อเอ่ยปากขึ้นทันควัน
“หากแค่หูเบาก็แล้วไป ป้าสะใภ้ใหญ่ น้องต๋าได้รับถางเกาจากหลี่จิ้นเป่ามาชิ้นหนึ่ง นี่ถึงได้ตามๆ คนอื่นเข้าร่วมวงลงไม้ลงมือต่อญาติพี่น้องตนเอง” ซ่งอิงกล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้าไม่ใช่คนของครอบครัวพวกข้าเสียหน่อย!” ซ่งต๋าโกรธจัด
เมื่อซ่งอิงได้ยิน กลับหัวเราะขึ้นมา “อ้อ? หากเจ้าคิดว่าข้าไม่ใช่คนของครอบครัวเจ้า เช่นนั้นก็ดีสิ เงินตอนแรกที่ข้าเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอจากจวนโหวก็เอาคืนมาให้ข้าทั้งหมดเสียสิ! ”
เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินนั่นไม่ใช่เงินที่จวนโหวเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้เอง
หรือกล่าวได้ว่า ตอนแรกคนที่จวนโหวส่งมา แม้จะพอมีเงินติดตัวอยู่จริง แต่ไม่ได้รับคำสั่งการอย่างชัดเจนว่าต้องนำเงินให้ครอบครัวซ่ง
ทางด้านจวนโหวนั่นไม่เหลียวแลครอบครัวชาวไร่ผู้เป็นญาติห่างๆ ครอบครัวนี้ด้วยซ้ำ เดิมทีตั้งใจจะให้ไม่กี่ตำลึงเงินเป็นอันสิ้นเรื่องไป
เป็นเจ้าของร่างที่รู้สึกละอายแก่ใจต่อบิดามารดา ถึงได้ร้องขอหนึ่งร้อยตำลึงเงินจากผู้ดูแลเรื่องราวในเรือนที่จวนโหวส่งมา!
ตอนนั้นผู้ดูแลเรื่องราวในเรือนคนนั้นไม่อาจมั่นใจถึงแนวโน้มสถานการณ์ได้ ไม่มั่นใจว่าภายภาคหน้าเจ้าของร่างจะได้รับความโปรดปรานหรือไม่ ดังนั้นจึงนำเงินนี้มอบให้!
เมื่อเอ่ยถึงเงิน เหยาซื่อบ้านใหญ่สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีทันใด
“คนครอบครัวเดียวกัน จะไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันได้อย่างไร หนูอิงเจ้าอย่าได้ฟังเจ้าเด็กปากเสียนี่พูดจาเหลวไหล! ลูกต๋า รีบๆ ขอโทษพี่สาวเจ้าเร็วเข้า” เหยาซื่อบ้านใหญ่แม้ดูถูกดูแคลนซ่งอิง แต่ในส่วนการแสดงออกภายนอก จะอย่างไรก็ทำเกินไปไม่ได้
หากให้ผู้คนรับรู้ว่า เอาเงินของครอบครัวซ่งอิงแล้วกลับพูดจาเสียหายต่อนาง จะง่ายต่อการถูกผู้คนสาปแช่งจนสันหลังหวะเอาได้
ซ่งต๋าหรือจะเชื่อฟัง?
เมื่อเห็นมารดาเผยสีหน้าขมึงทึงดุดัน จึงโกรธเกรี้ยวทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย ทันใดนั้น ลานบ้านครอบครัวซ่งพลันเต็มไปด้วยเสียงดังโหวกเหวกวุ่นวาย
เสียงดุจปีศาจดังแว่วเข้าหู ซ่งอิงชิงชังยิ่ง
แท้จริงแล้วไม่ว่ายุคสมัยใดล้วนมีเด็กเกเรโผล่มาให้เห็นได้เสมอ
อย่างไรเสีย ท้ายที่สุดแล้วซ่งต๋าก็เป็นบุตรของบ้านใหญ่ เมื่อต้นปีนี้ผู้เฒ่าฝากความหวังที่จะพึ่งพาอาศัยไว้กับบ้านใหญ่ ดังนั้นไม่นานนัก หม่าซื่อแม่เฒ่าในครอบครัวก็เรียกซ่งต๋าไปหา แล้วปลอบประโลมอยู่พักใหญ่
“ท่านแม่ ข้าออกไปเดินเล่นสักหน่อยนะเจ้าคะ” ซ่งอิงเอ่ยพูดกับหร่วนซื่อ นางอยากออกไประบายอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่อัดแน่นเต็มอกเสียหน่อย
บิดามารดาในครอบครัวรักและเอ็นดู พี่ชายจิตใจดี สิ่งเดียวที่แย่ก็คือแม้แยกครอบครัวไปแล้ว แต่ยังคงใช้แซ่เดียวกัน รากเหงาเจ้าและข้าจึงยังไม่ถูกตัดขาดสะบั้นเสียทีเดียว
ก็เฉกเช่นจวนโหว อยู่ในฐานะสูงศักดิ์ ทว่าตอนนั้นบ้านบรรพบุรุษที่อยู่ทางด้านหมู่บ้านซิ่งฮวาเผชิญภัยพิบัติจึงยกโขยงกันไป จวนโหวก็จำต้องให้ความช่วยเหลือ มิเช่นนั้นหากแพร่งพรายออกไปว่าพวกเขาไม่ดูดำดูดีญาติบรรพบุรุษ ก็จะถูกคนเขากล่าวว่าได้ดิบได้ดีแล้วลืมต้นตระกูล
การตัดญาติขาดมิตร เรื่องประเภทนี้มิใช่กระทำกันได้โดยง่าย
หากพ้นห้าชั่วอายุคนแล้วนั่นค่อยพอพูดได้ แต่ปัญหาคือ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ใกล้ชิดบิดามารดานางมากที่สุดทั้งนั้น
ทำได้เพียงลองพยายามเข้ากันให้ได้เท่านั้น