ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 159 โง่เขลาจริงๆ ตอนที่ 160 แต่งงานมีบุตร
ตอนที่ 159 โง่เขลาจริงๆ
ซ่งอิงวางใจอย่างยิ่งที่จะให้ฮั่วหลินออกจากบ้านไป
อย่างน้อยบุตรชายของนางก็เป็นภูตตนหนึ่ง ต่อกรหลิวซื่อก่อนหน้านี้ ก็ยังขึ้นไปอยู่บนศีรษะหญิงแก่ปากร้ายดึงทึ้งผมออกมาตั้งหลายกระจุก ตอนนี้หรือจะถูกเด็กน้อยไม่รู้ความรังแกเอาได้อีก?
ดังนั้นนางจึงบอกกล่าวภูตโสมเอาไว้ล่วงหน้าแต่เนินๆ ว่าหากมีคนมาหาเรื่องเล่นงานเขา เช่นนั้นก็ไม่ต้องเกรงใจ ลุยเอาคืนเต็มที่!
ทว่า พยายามเตะที่ก้น ห้ามลงมือบนใบหน้า อย่างไรเสียหากบนใบหน้าบาดเจ็บสาหัสก็จะง่ายต่อการสรรหาเหตุผลมาให้ร้ายเอาได้
ตอนที่โสมน้อยออกจากบ้านไป ใบหน้าขึงขัง ดุจกำลังจะไปลงสนามรบ
เดินไปได้ครึ่งทาง ปรากฏว่าเผชิญหน้ากับหนิวซานซานพวกเขาอย่างที่คิดไว้จริงๆ
มองเห็นซ่งต๋าและซ่งเซิ่ง ตลอดจนซ่งเวย ซ่งอู่พวกเขา หนิวซานซานนึ่งอึ้งไปชั่ววูบ ตามด้วยตะคอกเสียงใส่ซ่งต๋าอย่างโกรธจัด “ซ่งเสี่ยวลิ่วทรยศ เจ้าหน้าไม่อาย เจ้าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องหรือ!”
ตามจริงซ่งต๋าก็ละอายใจอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
แต่สัมผัสได้ถึงมือเล็กๆ นุ่มนิ่มคู่นั้นของฮั่วหลิน ทันใดนั้นก็เชิดหน้าอกผึ่งผาย กล่าวว่า “พวกเจ้ารังแกหลานชายข้า ข้าต้องปกป้องเขาอยู่แล้ว! นี่ไม่ใช่ข้าฟ้องเสียหน่อย แต่เพราะจะได้ไม่ถูกลอบกัดอย่างไรเล่า!”
ฮั่วหลินฉีกยิ้มให้ซ่งต๋า
“น้าหก ท่านเป็นคนดีจริงๆ เลย ท่านแม่ข้าบอกว่า ท่านดูเกเร แต่ในความเป็นจริงชาญฉลาดยิ่ง เพียงแต่จงใจแสร้งเป็นไม่รู้ความเหมือนเด็กทั่วไปก็เท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่ท่านเล่นกับพวกหนิวซานซานเขา จะต้องเป็นเพราะอยากชักนำพวกเขาเดินไปในทางที่ถูกต้องเป็นแน่! แต่พวกเขาเกินเยียวยา!” นี่ก็ช่างยกยอปอปั้นเสียเหลือเกิน
มารดาเขาพูดไว้ว่า จากนี้ต้องเล่นกับซ่งต๋าและซ่งอู่
ชวนซ่งต๋าแล้วทั้งที คงไม่ดีนักหากจะไม่ชวนซ่งอู่ที่อยู่โรงเรียนเดียวกันเล่นด้วย
ในเมื่อต้องเรียนหนังสือด้วยกัน เช่นนั้นก็ต้องทำให้ซ่งต๋าและซ่งอู่เชื่อฟัง หากพวกเขาทั้งสองไม่รู้ความ ไม่ตั้งใจเรียน เช่นนั้นถึงเวลาเขาก็ต้องได้รับโทษด้วยกัน
ดังนั้น วันนี้ เขาต้องใช้ดวงหน้าน้อยๆ ของตนเองที่ลักษณะไม่ต่างจากเด็กน้อยตามภาพวาดปีใหม่ล่อลวงซ่งต๋า ทำให้เขาเชื่อฟัง!
ซ่งต๋าถูกเชยชมจนใบหน้าน้อยๆ แดงระเรื่อ
คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวคนรองจะแอบเชยชมเขาถึงขั้นนี้ด้วย…
“พวกเจ้าเรียกเด็กโตมา ขี้ขลาดนี่หว่า! มีปัญญาก็ให้พี่ซ่งเซิ่งถอยออกไปสิ!” หนิวซานซานกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เขาอายุสิบสามปีเท่านั้น รุ่นราวคราวเดียวกับซ่งเวย แต่ซ่งเซิ่งอายุสิบห้าปี รูปลักษณ์กำยำเป็นพิเศษ ไม่ต่างจากอาสามซ่ง มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนหนึ่งที่พละกำลังมากมาย!
รู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อยเสียแล้ว
“ทีพวกเจ้าตั้งหลายคนยังรังแกน้องหลินได้เลย แล้วมีสิทธิ์อะไรที่พี่ชายทั้งสามของข้าจะรังแกเจ้าไม่ได้!” ซ่งต๋าสบถฮึ “ยังจะชกต่อยอยู่หรือไม่ หากไม่ละก็ พวกข้าต้องไปเข้าเรียนแล้ว!”
หนิวซานซานพร้อมพวกต่างมองหน้ากัน
ท้ายที่สุดเลือกวิ่งหนีไป
เขาไม่เชื่อหรอกว่า ซ่งเซิ่งพวกเขาจะอยู่เป็นเพื่อนฮั่วหลินได้ตลอดเวลา!
ได้ยินว่าซ่งเซิ่งและซ่งเวยต้องไปตัวอำเภอ ไม่แน่ว่าอีกสองวันก็ต้องไปกันแล้ว ถึงเวลาค่อยเล่นงานซ่งต๋าไปด้วยในคราเดียว! ทำให้เขาเห็นดีเสียบ้าง!
ซ่งต๋าเงยหน้าอย่างภาคภูมิใจ คิดว่าเป็นการด่าทอของตนเองไล่ตะเพิดคนเหล่านั้นไปได้
ซ่งเซิ่งและซ่งเวยจึงส่งเด็กน้อยทั้งสามไปโรงเรียนเป็นเวลาติดต่อกันห้าวัน
ห้าวันต่อมา พวกซ่งเซิ่ง ซ่งเวยสองคนก็ถูกส่งเข้าตัวอำเภอ จากนี้ต้องติดตามคนของสำนักผู้คุ้มกันเรียนรู้การเดินคุ้มกัน แม้ว่าค่อนข้างอันตราย แต่หลังฝึกงานเสร็จสิ้น เงินที่จะได้ในแต่ละเดือนก็มากมายพอตัว เลี้ยงดูครอบครัวได้ไม่เป็นปัญหา หากมีความสามารถ ภายภาคหน้าอาศัยความสามารถของตัวเองตั้งคาราวานขึ้นมาได้สักหนึ่งกอง ขนสินค้าจากใต้จรดเหนือไปขายต่างถิ่น ก็เป็นอีกกิจการหนึ่งเช่นกัน
หลายวันมานี้ เมื่อเลิกเรียน ซ่งต๋าและซ่งอู่ก็จะมายังบ้านซ่งอิง
อย่างไรเสียก็เพิ่งมาเพียงไม่กี่วัน ซ่งอิงจึงแสดงตัวเป็นเจ้าบ้านที่ใจกว้าง เพื่อจะได้ไม่ทำให้คนเขาตกใจเตลิดไป
เห็นสองคนดูคุ้นเคยต่อสภาพแวดล้อมแล้ว ท่าทีของแม่เสือก็เผยออกมา
“ซ่งเสี่ยวลิ่ว เจ้าไปเรียนมากี่ปีแล้วหรือ” ซ่งอิงยิ้มตาหยี
“สี่ปีแล้ว เป็นเช่นไร พี่รอง ข้าเขียนสวยกว่าพวกเขาสินะ?” ซ่งต๋าคลี่ยิ้มด้วยความมั่นใจในตัวเอง
มองดูฮั่วหลินเขียนตัวอักษรได้น่าเกลียดยิ่ง แล้วยังมีพี่ห้าอีกคน เรียนมาตั้งหลายวันแล้ว แต่เพิ่งเขียนตัวอักษรได้สิบตัวเอง!
สิบตัวเองนะ ช่างโง่เขลาจริงๆ!
ตอนที่ 160 แต่งงานมีบุตร
เห็นซ่งต๋ายังคงเผยสีหน้ามั่นใจในตัวเอง ซ่งอิงไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้โง่เง่าหรือไร!
ในตระกูลซ่งใครมีสิทธิ์ไปโรงเรียนร่ำเรียนหนังสือ ย่อมแสดงถึงฐานะของการเป็นหลานชายจากครอบครัวบุตรคนโต ตลอดจนครอบครัวบุตรลำดับที่สี่อย่างอาสี่นางที่ได้รับความเอ็นดู!
พี่ชายแท้ๆ ของนางได้เรียนหนังสือ นั่นเป็นเพราะบิดานางคิดว่าซ่งสวินสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง เพื่อเส้นทางในหน้าที่การงานภายภาคหน้าของเขา จึงคุกเข่าอ้อนวอนจนได้มา!
ส่วนซ่งต๋าล่ะ? หกขวบก็ได้ไปโรงเรียนแล้ว ตอนแรกเงินที่เข้าโรงเรียนก็เป็นเงินจากกองกลาง เรียนไปได้สี่ปี สี่ปีเชียวนะ! ตอนนี้นางเพียงแค่ให้เขาเขียน ‘คัมภีร์สามอักษร’ ส่วนครึ่งแรกเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะเขียนผิดๆ ถูกๆ อยู่เรื่อย บนกระดาษแผ่นนั้นปรากฏวงกลมสีดำวาดอยู่ตั้งหลายวง!
แน่นอนว่า ส่วนที่ถูกต้องก็มีอยู่ด้วย แต่…เหอะๆ ตัวอักษรดูดีกว่าบุตรชายนางเพียงนิดเดียวเท่านั้น!
ซ่งอิงมองดูเด็กสามคนนี้ทำการบ้านมาหลายวันแล้วเช่นกัน ตอนนี้จึงพอเข้าใจระดับความสามารถของเด็กทั้งสามคนนี้อย่างถ่องแท้
ซ่งต๋า…
เป็นคนหนึ่งที่ไม่มีความสามารถ
เขาพอท่องจำคัมภีร์สามอักษรและบทอาขยานได้บ้าง แต่ความหมายในนั้นเข้าใจเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้เขาอายุเท่านี้ ตามจริงก็น่าจะฝึกตัวอักษรได้ดีแล้ว แต่เขาขี้เกียจ ที่ใช้ก็เป็นกระดาษที่เหลือจากซ่งเสี่ยนเรียนหนังสือตอนแรก ดังนั้นไม่ค่อยใส่ใจ ตัวอักษรก็เลยเหมือนหมาตะกุย ช่างน่าเกลียดเหลือเกิน
ซ่งอู่ของบ้านสามแม้เริ่มช้าหน่อย และไม่ใช่คนที่ฉลาดมากมายเช่นกัน แต่ที่เอาชนะได้อยู่ที่การรู้ความและว่าง่าย แม้เพิ่งเขียนตัวอักษรได้แค่สิบตัว แต่สิ่งที่อาจารย์ให้เขาท่องจำเขาล้วนท่องได้ทั้งนั้น
ส่วนภูตโสม…
ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถและสติปัญญาอันชาญฉลาด นอกจากเขียนตัวอักษรอัปลักษณ์ ส่วนอื่นๆ ล้วนดีเยี่ยม ขอเพียงอาจารย์พูดสอนอะไรมา เขาแทบจะจดจำได้ทั้งหมด พยายามสุดชีวิตก็เพื่อน้ำผ่านจิตนั่น
“พี่รอง พี่ชายข้าบอกว่า เรียนหนังสือไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ข้าสอบจอหงวนก็คงไม่ผ่าน จะเขียนตัวอักษรได้หนึ่งพันตัวกับเขียนได้หนึ่งร้อยตัวไม่ต่างกันหรอก! อีกทั้งตัวอักษรนั่นข้าก็รู้จักหมดแล้ว เพียงแต่การเขียนมันเหนื่อยเกินไปก็เท่านั้นเอง! ไว้อีกสองปี ข้าก็ไม่ไปเรียนแล้ว นี่ไม่ใช่งานที่คนจะต้องทำจริงๆ!” ซ่งต๋าเอ่ยพูดอย่างภาคภูมิใจ
ที่พี่ชายเขาพูด จะต้องไม่ผิดแน่นอน
ซ่งอิงแสยะยิ้มเยาะ
“พี่รอง ทำไมท่านมองข้าอย่างนี้ล่ะ ข้าพูดไม่ถูกหรือ ท่านดูอย่างพี่ชายข้าสิ เรียนหนังสือมาเกือบสิบปี ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ในโรงย้อมสีไม่ต่างกับพ่อข้าไม่ใช่หรือ เงินแต่ละเดือนที่พ่อข้าหาได้ก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ ภายภาคหน้าข้าเหมือนกับพวกเขา ก็เลี้ยงชีพ เลี้ยงภรรยาและลูกได้แล้ว!” ซ่งต๋ากล่าวขึ้นอีกครั้ง
“เหอะ เจ้าเข้าใจคิดดีนี่ นี่คำนึงไปถึงเรื่องแต่งงานมีลูกในภายภาคหน้าแล้วหรือ” ซ่งอิงเหน็บแนม
“ข้าอายุสิบขวบแล้ว อีกสองปี แม่ข้าก็จะควานหาแม่นางบ้านอื่นให้ข้าได้แล้วนี่?” ซ่งต๋าเอ่ยพูดอย่างหน้าตาเฉย
ซ่งอิงถึงกับพูดต่อไม่ถูก
ก็จริงอย่างที่ซ่งต๋าพูด คนสมัยนี้แต่งงานกันเร็ว หากไม่กำหนดคู่หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็กๆ โดยทั่วไปเมื่ออายุสิบสองสิบสามปีก็ดูตัวกันได้แล้ว ปกติแล้ว ช่วงเวลาที่ดูตัวก็จะประมาณสองสามปี รอกระทั่งหาคนที่เหมาะสมได้สักคน ค่อยหมั้นหมายไว้หนึ่งถึงสองปี กระทั่งอายุสิบเจ็ดสิบแปด ก็ถึงวัยแต่งงานพอดี
แต่ในสายตาซ่งอิง ซ่งต๋าก็คือเด็กน้อยหัวเกรียนที่เพิ่งสิบขวบเท่านั้นเอง!
การพูดคุยกับนางด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นชินอย่างยิ่ง
ซ่งอิงชักสีหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นที่เจ้าวางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จุดมุ่งหมายของเจ้าก็ต้องเปลี่ยนแล้ว”
“อะไรหรือ” ซ่งต๋าตกตะลึง
ซ่งอู่ก็มองซ่งอิงอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน
“พี่ขอถามพวกเจ้าว่า พวกเจ้าชอบกินอะไรมากที่สุด?” ซ่งอิงกล่าว
“ถังเกาน่ะสิ!” ซ่งต๋าไม่แม้แต่จะครุ่นคิด
“ข้าก็ด้วย…” ซ่งอู่กล่าวเหนียมๆ
ถังเกาที่ว่านี้เป็นขนมหวานที่ธรรมดามาก ก็ใช้แค่ไข่ไก่ แป้ง และจนน้ำตาลทรายขาวในการทำ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เด็กๆ ก็ไม่ได้หากินกันได้บ่อยๆ ดังนั้นเด็กๆ ของแต่ละครอบครัวล้วนอยากกัดกินสักคำกันทั้งนั้น