ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 195 สังคมนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ตอนที่ 196 เสือแม้จะร้ายแต่ไม่กินลูกตัวเอง
- Home
- ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล
- ตอนที่ 195 สังคมนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ตอนที่ 196 เสือแม้จะร้ายแต่ไม่กินลูกตัวเอง
ตอนที่ 195 สังคมนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ
วิญญาณชั่วร้ายของดอกท้อที่แพร่งพรายไปนั้น ไม่รู้นายท่านไปรู้เข้าได้อย่างไร นายท่านจึงนำคนไปด้วยตนเองแล้วจัดการตัดต้นท้อทั้งหมดทิ้งไปอย่างราบรื่น ไม่เพียงเท่านั้น ยังถึงขั้นขุดถอนรากถอนโคนอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่เห็นแม้แต่เงาของภูตดอกท้ออะไรที่ว่านี่อีกเลย
บนโลกนี้ก็มีอาการป่วยที่แปลกประหลาดเช่นกัน ดังนั้นน่าจะมีปัญหาบางอย่างกับอาหารที่คนตระกูลนั้นกินในแต่ละวัน ทั้งยังมุ่งให้มีกลิ่นคล้ายดอกท้ออีกด้วย ดังนั้นจึงได้เกิดเรื่องดังกล่าว
ขณะนี้ คนกลุ่มหนึ่งขึ้นเรือไปอย่างราบรื่น
ทางหมู่บ้านเตรียมอุปกรณ์สำหรับงมสิ่งของใต้น้ำเอาไว้อย่างดิบดีแต่เนิ่นแล้ว คนเหล่านั้นจึงเริ่มลงมือกันทันที
ขณะนั้นเองฮั่วเจ้ายวนจึงได้หันมามองซ่งอิง
“คุณหนูซ่ง ไยเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่” ฮั่วเจ้ายวนไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่ติดที่ความสงสารแม่นางผู้นี้ ฉะนั้นแม้คำพูดฟังดูเย็นชาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถือว่าดุดัน
แน่นอนละว่า เป็นตัวเขาเองที่คิดเช่นนั้น
จากมุมมองซ่งอิงที่ได้ฟัง ใต้เท้าท่านนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจ ลักษณะน่ากลัวอย่างกับต้องการจะจับนางโยนลงน้ำให้จมน้ำตายไปเสีย
ยังไม่ทันที่ซ่งอิงจะได้เอ่ยปาก เจ้าหน้าที่มือปราบก็กล่าว “ต้าเหริน ข้าเชิญคุณหนูซ่งมาเองขอรับ ก่อนหน้านี้โชคดีได้พบเห็นความเก่งกาจในตัวลาของคุณหนูซ่งที่จับหัวขโมย จึงคิดว่ามีความแตกต่างจากลาธรรมดาทั่วไปอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเชิญลาตัวนี้มาด้วยเป็นการเฉพาะ บางทีอาจปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายได้ขอรับ…”
“…” ฮั่วเจ้ายวนเกือบนึกว่าตัวเองหูฟาดไปแล้ว
เชื่อในลาตัวหนึ่งน่ะหรือ
สังคมนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ แล้วจริงๆ!
“ตัวเป็นถึงเจ้าหน้าที่ขุนนาง เหตุใดจึงปั้นน้ำเป็นตัวเช่นนี้ เชื่อเรื่องราวเหลวไหลระดับนี้ด้วยหรือ” ฮั่วเจ้ายวนไม่พอใจอย่างยิ่ง ในฐานะเจ้าหน้าที่มือปราบของอำเภอหลี่ แม้ไม่ใช่ขุนนางใหญ่โต แต่ก็เป็นผู้ที่คลุกคลีกับปวงประชามากที่สุด กลับกระทำเรื่องเช่นนี้ ช่างเหลวไหลจริงๆ
“เป็นข้าน้อยที่เลอะเลือนไปแล้วขอรับ” เจ้าหน้าที่มือปราบชาญฉลาดมากเช่นกัน สัมผัสได้ว่าใต้เท้าท่านนี้ไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ จึงรีบน้อมรับความผิดทันที
ซ่งอิงรู้สึกไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูด
ท่านผู้นี้ ช่างเป็นคนหัวแข็งจริงๆ
“ต้าเหริน เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ อย่ากลัวแม้ตอนนี้จะยังไม่เป็นจริง ขุนนางท่านนี้ทำก็เพราะคำนึงถึงชาวบ้านในหมู่บ้านเช่นกัน หากภูตผีปีศาจ เทพเซียน เทพสวรรค์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมาเอง เช่นนั้น…ทางราชสำนักคงไม่สักการะทุกๆ ปีแล้วน่ะสิ จริงหรือไม่เจ้าคะ” ซ่งอิงครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจเอ่ย
ครั้นนางพูดเช่นนี้ ฮั่วเจ้ายวนปรายตามองนางแวบหนึ่ง
ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด
ต่อให้เป็นตัวเขา ก็ใช่จะกล้าป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนไปตรงๆ ว่าการที่ฮ่องเต้ไหว้บูชาสักการะทุกปีล้วนเป็นพฤติกรรมที่ไร้สาระสิ้นดี
คุณหนูซ่งท่านนี้ แม้กล่าวเพียงประโยคเดียว กลับหักล้างทัศนคติของเขาเมื่อครู่โดยตรงในทันที
นับว่าเป็นแม่นางที่ชาญฉลาดคนหนึ่ง
“คุณหนูซ่งสีหน้าซีดเผือด ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ หากรู้สึกยืนไม่ไหวแล้วก็นั่งลงพักสักเดี๋ยวเถอะ ไม่เป็นไร” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งอิงเข้าใจได้ ความหมายของเขาคือ นางไม่ต้องสนใจฐานะขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของเขา ควรจะนั่งก็นั่งลง ควรจะพักก็พักเสีย
ถือว่าใจกว้างเช่นกัน
“ต้าเหรินไม่ไล่ข้าไปหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าวอย่างประหลาดใจ
“เส้นทางใต้หล้าเอาไว้ให้ผู้คนเดินเหิน ที่แห่งนี้ไม่ใช่พื้นที่ซึ่งเข้าได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ขุนนาง แม้จะมีเจ้าหน้าที่ขุนนางสะสางเรื่องราวอยู่ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้คนหลีกเลี่ยงไปเสียทีเดียว เช่นนั้นไยข้าต้องไล่เจ้าด้วย” ฮั่วเจ้ายวนพูดอย่างตรงไปตรงมา
ซ่งอิงเลียริมฝีปาก
อดตั้งฉายาเพิ่มให้อีกหนึ่งฉายาไม่ได้ นั่นก็คือ พ่อคนชิลๆ สบายๆ
ทว่าใต้เท้าท่านนี้ไม่ไล่นางไปก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน นางอยากรอดูเช่นกันว่าจะงมอะไรขึ้นมาจากทะเลสาบนี้ได้อีกหรือไม่
อีกทั้งคนจำนวนมากขนาดนี้ตกลงไปในน้ำ ถึงอย่างไรก็ต้องมีคำชี้แจ้งแถลงไขสักหน่อยกระมัง? นางจึงอยากดูว่าใต้เท้าท่านนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะสรรหาข้อสรุปแบบไหนขึ้นมา และจะพูดให้ทุกคนคล้อยตามได้หรือไม่
แน่นอนละว่า ในมุมมองนาง ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือปลาดุกตัวเมื่อครู่ ลักษณะที่ดุร้ายของปลาดุกตัวนั้น ต้องเป็นปีศาจตนหนึ่งแน่นอน
นางถึงขั้นแอบนึกสงสัยในใจเล็กน้อย…
ตอนแรกยามที่นางต่อกรกับภูตโสม ทั้งที่เห็นๆ อยู่ว่าเป็นแสงสีทอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสีแดง
นี่เป็นเพราะภูตโสมกลิ่นไอสะอาด ไม่ได้เอาชีวิตผู้คนมาก่อน ดังนั้นจึงเป็นสีทอง แต่ภูตปลาดุกตนนั้นฆ่าคน ดังนั้นแสงที่สาดทอออกมาจึงกลายเป็นสีแดง?
ตอนที่ 196 เสือแม้จะร้ายแต่ไม่กินลูกตัวเอง
ซ่งอิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้ประเภทนี้
ก่อนหน้ายังตกน้ำตามๆ กัน แต่ตอนนี้ไม่มีเหตุการณ์อย่างว่านั้นแล้ว เหล่าทหารอารักขาช้อนวัชพืชน้ำขึ้นมาได้จำนวนไม่น้อย ก็น่าจะเป็นวัชพืชเหล่านี้ที่พันเกี่ยวเท้าของคนพวกนั้นเอาไว้
เมื่อเหล่าทหารอารักขาไม่ตกน้ำกันอีกแล้ว ซ่งอิงรู้สึกถึงแววตาหัวหน้าหมู่บ้านที่เปลี่ยนไป
ชาวบ้านต่างก็วิ่งหนีกันไปหมดตั้งนานแล้ว เหลือเพียงหัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้เท่านั้น
ตัวสั่นเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยอาการลนลาน
หรือว่าในน้ำนี้ยังมีสิ่งใดอยู่อีก?
เรื่องที่นางสังเกตเห็น แน่นอนว่าฮั่วเจ้ายวนก็สังเกตเห็นเช่นกัน แววตาเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย และสั่งให้ฮั่วซื่อเซี่ยงจับกุมตัวเอาไว้ก่อน
“ต้าเหริน! ก้นบ่อมีซากศพขอรับ!”
ปรากฏว่าเป็นไปตามความคาดหมาย หลังเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่ดำลงไปก้นทะเลสาบก็ลอยขึ้นมาแล้วส่งเสียงตะโกนดังลั่น
จากนั้นก็ชี้ทิศทางให้ ไม่ทันไรก็งมซากศพบางส่วนขึ้นมา
เป็นบางส่วนเท่านั้น
มีกะโหลกศีรษะ มีกระดูกมือด้วยเช่นกัน มองดูค่อนข้างชวนตกใจกลัวไม่น้อยทีเดียว
ที่สำคัญคือ…ตรงกลางกระดูก ยังมีเชือกผูกอยู่ด้วย โดยอีกด้านหนึ่งของปลายเชือกผูกก้อนหินเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ กระดูกส่วนใหญ่ล้วนค่อนข้างเล็ก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ยังไม่รีบสารภาพมาอีก?!” ฮั่วซื่อเซี่ยงชักดาบยาวออกมาวางบนศีรษะของหัวหน้าหมู่บ้าน
หัวหน้าหมู่บ้านคุกเข่าลงพื้นเกิดเสียงดัง ‘ตุบ’ “ต้าเหรินโปรดไว้ชีวิตด้วย! โปรดไว้ชีวิตด้วยขอรับ…สิ่ง..สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น…เด็กทารกที่คนของครอบครัวในหมู่บ้านเลี้ยงดูไม่ไหวจึงเอามาทิ้งขอรับ”
ในหมู่บ้านก็มีคนอยากทอดทิ้งผู้ชราเช่นกัน ทว่าผู้ชราล้วนอยู่ในทะเบียนสำมะโนครัวแล้ว หากมีคนเสียชีวิตก็ต้องไปแจ้งกับที่ว่าการอำเภอ จากนั้นจะมาทำการตรวจสอบศพเพื่อระบุสาเหตุของการเสียชีวิตจึงจะลบออกจากครอบครัวได้…
มีเพียงเด็กเท่านั้นที่คลอดออกมาแล้วสามารถปิดบังได้
ฮั่วเจ้ายวนมองไปอย่างตกตะลึง
“เสือแม้จะร้ายแต่ไม่กินลูกตัวเอง[1] ไยจึงมีคนทิ้งลูกตัวเองได้ลงคอ!?” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าวทันควัน
“เป็น…เป็นความจริงขอรับ หมู่บ้านพวกเรา…ยากจน บางครอบครัวให้กำเนิดลูกมากเกินไป โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง…ให้กำเนิดแล้วก็ไม่อยากเลี้ยง ก็…ก็เลยเอามาโยนที่นี่…ให้จมน้ำตายขอรับ” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวด้วยความประหม่า
จมน้ำตายเป็นเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องคือ หัวหน้าหมู่บ้านอย่างเขาก็ไม่ได้ขัดขวาง โดยถือเรื่องนี้เป็นการสังเวยเทพคงคาไปเสียเลย
ซ่งอิงมองไป กระดูกเหล่านี้ไม่น้อยเลยจริงๆ มีจำนวนนับไม่ถ้วนก็ว่าได้
นี่แสดงถึงอะไรหรือ น่าจะเป็นเพราะทุกบ้านทุกครอบครัว แทบจะทั้งหมดล้วนเคยโยนคนลงไปสินะ?!
ซ่งอิงพลันนึกถึงเสียงร้องไห้ที่ได้ยินเมื่อครู่ขึ้นมา ทันใดนั้นก็เป็นอันเข้าใจได้
“ปลาดุกตัวนี้…ไม่ใช่เพราะกินเนื้อคนจนตัวอ้วนใหญ่หรอกกระมัง?” ซ่งอิงพูดพำพึมขึ้นมาประโยคหนึ่ง “คนเราเกิดมาล้วนมีจิตวิญญาณ เมื่อกินไปมากๆ เข้า…ดังนั้นจึง…”
กลายเป็นภูต
ทำร้ายมนุษย์ได้
โดยเฉพาะปลาดุกตัวนี้ที่กินเด็กที่ถูกคนในหมู่บ้านทำร้ายทั้งหมดเข้าไป ดังนั้นจึงมองคนในหมู่บ้านนี้เป็นศัตรู อยากจะกินคนในหมู่บ้านให้หมดสิ้นไปเสีย?
ซ่งอิงเพิ่งพูดจบ จู่ๆ ก็มีสตรีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากบริเวณที่ไกลออกไป หญิงผู้นั้นมองเห็นซากกระดูกมนุษย์เต็มพื้นไปหมด ทันใดนั้นก็ทรุดตัวลงไปแล้วรีบควานหายกใหญ่
“แม่เองที่ไม่เอาไหน จดจำไม่ได้แม้กระทั่งพวกเจ้าเสียแล้ว…” หญิงผู้นั้นควานหาอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็นั่งร้องไห้โฮอยู่บนพื้น
โครงกระดูกจำนวนมากขนาดนี้ ไม่หลงเหลือแม้แต่เนื้อหนังมังสาแล้วด้วยซ้ำ
จะแยกแยะออกได้ที่ไหนกันว่าใครเป็นใคร?
“ตรงนี้มีลูกของเจ้าอยู่ด้วยหรือ” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว
หญิงผู้นั้นคุกเข่าอยู่บนพื้น “ต้าเหรินช่วยแก้แค้นแทนลูกสาวข้าด้วยเจ้าค่ะ! ลูกสาวทั้งสามคนของข้า ล้วนถูกไอ้คนสมควรตายผู้นั้นจับโยนลงไปในน้ำเจ้าค่า!”
“บอกเล่ามาให้ละเอียด” แววตาฮั่วเจ้ายวนเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย
“ข้า…มะ..หมินฟู่[2]นามว่าหวังซ่งเจีย ข้าแต่งกับสามีข้าห้าปี ให้กำเนิดบุตรสามคน เป็นทารกหญิงทั้งหมด ในครอบครัวมีที่ดินแห้งแล้งเพียงไม่กี่หมู่ สามีกับแม่สามีข้าไม่อยากเลี้ยงดูก็เลยเอามาโยนทิ้งทั้งหมด! ซานยา[3] ซานยาของข้า…ข้าคอยเฝ้าดูตลอดเวลาไม่กล้าแม้แต่จะนอนหลับ แต่ก็ทนไม่ไหวจริงๆ ครั้นลืมตาขึ้นมาซานยาก็หายไปแล้ว!”
หญิงผู้นั้นร้องไห้อยู่พักหนึ่ง คงเพราะจดจำลูกของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงสิ้นหวังยิ่งขึ้น ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้งอย่างคิดไม่ถึง “หวังซิ่งผู้นั้นจิตใจไร้ศีลธรรม ไอ้เดรัจฉาน! มีเงินซื้อสุราดื่มกลับไม่มีเงินเลี้ยงลูก ข้าอยากให้เขาตายๆ ไปเสีย! วันนั้นจึงอาศัยจังหวะที่เขาดื่มจนเมามาย ผลักเขาลงไป…”
[1] เสือแม้จะร้ายแต่ไม่กินลูกตัวเอง (虎毒不食子) หมายถึง คนเราไม่ว่าเหี้ยมโหดแค่ไหนก็ไม่ทำร้ายลูกของตนเอง
[2] หมินฟู่ (民妇) คำเรียกแทนตัวเองของหญิงชาวบ้าน (แต่งงานแล้ว) ใช้กล่าวเมื่อสนทนากับขุนนางชั้นผู้ใหญ่
[3] ซานยา (三丫) คำเรียกขานบุตรสาวลำดับที่สามในครอบครัว