ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 307 ต้าตี้ ตอนที่ 308 สายลมและความมืดครึ้มชั่วขณะ
ตอนที่ 307 ต้าตี้
ทั้งที่ซ่งอิงสีหน้าท่าทีเสมือนผู้น้อยที่เคารพผู้ใหญ่ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดฮั่วเจ้ายวนจึงรู้สึกอึดอัดใจขึ้นเรื่อยๆ
รู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อย
“ข้ามีเรือนเล็กๆ อยู่ในวัด เจ้าก็อยู่…เรือนเดียวกันกับข้าแล้วกัน” ฮั่วเจ้ายวนน้ำเสียงแข็งกระด้างเล็กน้อย “เพียงแต่เป็นห้องเล็กๆ ที่กั้นเอาไว้สำหรับเก็บของ ข้าจะให้คนเก็บกวาดให้ ในเรือนมีห้องครัวด้วย ยกให้เจ้าใช้ได้ตามสบาย”
นอกจากห้องครัวยังมีห้องอื่นอีกไม่น้อย นอกจากฮั่วซื่อเซี่ยงแล้วยังมีคนติดตามข้างกายที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้อีกจำนวนหนึ่ง ตลอดจนแม่ครัวก็ต้องพักอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน ห้องที่ไม่มีคนอยู่จึงมีเพียงห้องนั้น ไม่ให้นางพักห้องเก็บของแล้วจะให้ฮั่วซื่อเซี่ยงสละห้องให้นางหรือ
อย่างน้อยก็เป็นคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ เมื่อเก็บกวาดห้องเก็บของออกก็ถือเป็นห้องที่สะอาดกว่าห้องที่ผู้ชายเคยอยู่มาก่อน
ซ่งอิงมีหรือจะรังเกียจ?
“ขอบคุณต้าเหริน!” ซ่งอิงรีบกล่าวทันควัน
เมื่อเรียกด้วยคำนี้ ฮั่วเจ้ายวนรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย “จากนี้ก็เรียกเช่นนี้เถิด เอาแต่เรียกท่านอา แพร่งพรายออกไปก็ไม่มีผลดีต่อเจ้าเช่นกัน”
“ได้เลยเจ้าค่ะ การเป็นญาติของใต้เท้าก็ไม่ใช่จะเป็นกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเช่นกัน” ซ่งอิงรีบกล่าวประจบสอพลอ
ฮั่วเจ้ายวนคิ้วกระตุก อยากเล่นงานคน
ก่อนหน้านี้คิดว่าแม่นางซ่งใจกว้างและเรียบร้อยอ่อนโยน เหตุใดตอนนี้จึงรู้สึกว่านางทะเล้นไม่น้อยเสียแล้ว
ชะงักฝีเท้ามองนางอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง พบว่านางสอดส่ายสายตาไปทั่วตลอดเวลา ดูเหมือนค่อนข้างตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบๆ มานึกดูอีกครั้ง คุณหนูซ่งผู้นี้อายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น ยังเยาว์วัย การที่จะร่าเริงสดใสหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้กลับเปลี่ยนไปมาก เหมือนเป็นคนละคนกับตอนอยู่เมืองหลวง
ที่เมืองหลวงมองเห็นจากไกลๆ แวบหนึ่ง แต่ก็มองออกว่าคุณหนูซ่งค่อนข้างเก็บตัว เป็นคนนิสัยขลาดกลัวและถ่อมตน แต่ตอนนี้…
เปลี่ยนไปจนชวนสับสน
“แม่นางซ่งเคยเห็นวิญญาณชั่วร้ายหรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยถาม
“ไม่เคยเจ้าค่ะ” ซ่งอิงตกใจ จากนั้นยืนกรานอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ข้าก็คิดเช่นนั้น หากใต้หล้ามีวิญญาณชั่วร้ายจริง แล้วจะอยู่กันอย่างสงบสุขมาหลายปีขนาดนี้ได้อย่างไร อีกเดี๋ยวยามที่พิธีเริ่มเจ้าก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก หากมีเรื่องอย่างว่าจริง มีข้าอยู่ทั้งคน จะไม่ให้ทำร้ายเจ้าได้แม้แต่นิดเดียว” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว
ซ่งอิงเม้มปาก “ขอบคุณท่านอาต้าเหริน”
ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วแน่น ถลึงตามองนางแวบหนึ่งแล้วหันหน้าเดินหนีจากไป ซ่งอิงไม่มีที่ไปจึงเดินตามไป นางยังต้องการไปดูที่พักด้วย
ส่วนต้าไป๋ อยู่ตรงตีนเขามีคนคอยดูแล ซึ่งนางให้เงินไว้แล้ว เพียงแต่สิบห้าวันนี้จะไม่มีหัวไชเท้าให้กิน ไว้รอกลับไปค่อยชดเชยให้มันแล้วกัน
ถึงตอนเที่ยงวัน พิธีกรรมทางพุทธศาสนาก็เริ่มขึ้น
ด้านหน้าโถงวิหารขนาดใหญ่จัดวางแผ่นรองนั่งที่สานจากวัชพืชแห้ง เหล่านักบวชสมณศักดิ์สูงนั่งอยู่ที่นั่น ผลัดเปลี่ยนเวียนกันเทศนาอยู่พักใหญ่
ส่วนด้านล่างเป็นประชาชนทั่วไป คนจากตระกูลร่ำรวยและชนชั้นสูงล้วนนั่งอยู่ด้านหน้าบนแผ่นรองนั่งที่สานจากวัชพืชแห้ง ส่วนคนธรรมดานั่งด้านหลัง โดยนั่งเสื่อปูพื้นกันเป็นส่วนใหญ่ ทอดสายตามองออกไปไกลๆ เต็มไปด้วยผู้คนละลานตา
อาศัยบารมีของฮั่วเจ้ายวน ที่นั่งของซ่งอิงจึงอยู่ด้านหน้าสุดและด้านข้างมีใต้เท้าจำนวนหนึ่งนั่งกันอยู่
เพียงแต่นางค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน
ท่านผู้นี้…
สรุปแล้วเป็นขุนนางตำแหน่งอะไรกันแน่
นางเหลียวซ้ายแลขวาก็มองเห็นใต้เท้าตำแหน่งจือฝู่[1]ของเมืองยง คนข้างๆ ปฏิบัติต่อเขาอย่างเกรงอกเกรงใจ แม้แต่ใต้เท้าจือฝู่ยังนั่งอยู่ด้านหลังพวกเขาเลย…
“ต้าตี้[2]ท่านอาของเราเป็นขุนนางตำแหน่งใดหรือ” ซ่งอิงเอนกายไปด้านหลัง เอื้อมมือไปสะกิดฮั่วซื่อเซี่ยงที่นั่งอยู่ด้านข้างฮั่วเจ้ายวนแล้วเอ่ยถาม
ฮั่วซื่อเซี่ยงหนังตากระตุก
เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของนายท่านเขาแล้ว
ต้าตี้…
คำเรียกขานนี้ช่างน่าอดสูจริงๆ
“ตั้งใจฟังเทศนา” ฮั่วเจ้ายวนสีหน้าเคร่งขรึม
ซ่งอิงยิ้มเจื่อนแล้วหดมือกลับไป “ไม่ทราบว่าท่านต้าเหริน..”
“ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่พระราชทานให้อยู่ภายใต้การดูแลของข้า” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว
พื้นที่พระราชทาน?
ซ่งอิงขมวดคิ้ว เช่นนั้นก็เป็นเครือญาติของเชื้อพระวงศ์ฮ่องเต้? ราชวงศ์ต้าติ้งโดยทั่วไปไม่แบ่งพื้นที่ให้ขุนนาง มีเพียงเครือญาติหรือเชื้อพระวงศ์ของฮ่องเต้เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ เพียงแต่เมืองยงเป็นของใครกัน…
ซ่งอิงขุดคุ้ยความทรงจำของเจ้าของร่าง แต่ก็คิดไม่ออกจริงๆ
เจ้าของร่างใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างน่าเวทนาเกินไป ตลอดทั้งวันถูกกังขังเพื่อจะได้ปรนนิบัติอ๋องเฒ่าผู้มากในราคะในภายหน้า เรื่องที่พอจะรู้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับอ๋องเฒ่าผู้นั้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องอื่นๆ มากนัก
ตอนที่ 308 สายลมและความมืดครึ้มชั่วขณะ
ซ่งอิงสงบเงียบไปพักหนึ่ง
ในเมื่อเป็นญาติเชื้อพระวงศ์ ต่อให้เป็นญาติห่างๆ กับฮ่องเต้อย่างที่ว่าแทบจะไม่มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวอะไรกัน แต่ฐานะนั้นก็ยังคงสูงศักดิ์หาที่เปรียบไม่ได้ หากฮั่วหรงมีอาที่ใฐนะถึงเช่นนี้จริง แล้วตอนเด็กจะใช้ชีวิตลำบากตรากตรำอยู่ในป่าเขาได้อย่างไร
ในเมื่อจะแต่งให้กับป้ายวิญญาณของฮั่วหรง นางเองก็ได้ถามไถ่เรื่องราวของฮั่วหรงเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่จากหัวหน้าหมู่บ้านแล้วเช่นกัน
สามีผู้ล่วงลับของนางเป็นลูกนายพราน ตอนเด็กนิสัยสันโดษ พึ่งพาตัวเองโดยอาศัยอยู่ตามป่าเขา ไร้ญาติขาดมิตร!
เพราะเขาไม่มีญาติที่วุ่นวายเหล่านั้น นางจึงเลือกจะแต่งกับฮั่วหรงผู้นี้!
เพียงแต่ใต้เท้ากล่าวว่าตนเป็นอา นางคนตัวเล็กๆ แค่นี้ย่อมทำได้เพียงยอมรับ ดังนั้นซ่งอิงจึงแสร้งตีมึนและยิ้มเล็กน้อย “ต้าเหรินช่างเก่งกาจจริงๆ”
ถึงอย่างไรหลังการนัดหมายคราวนี้ผ่านพ้นไป นางก็ต้องกลับหมู่บ้านไปใช้ชีวิตน้อยๆ ของนาง ถึงตอนนั้นพยายามหลบเลี่ยงใต้เท้าท่านนี้ไว้ก็ใช้ได้แล้ว
ฮั่วเจ้ายวนแอบรู้สึกว่าซ่งอิงค่อนข้างแปลกชอบกล แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเช่นกัน
เขาทำอะไรก็ตามล้วนเอาจริงเอาจัง บัดนี้กำลังฟังนักบวชเทศนา อาจารย์เหล่านี้เป็นบุคคลที่ผู้อื่นต่างเลื่อมใสศรัทธา จะมากจะน้อยก็ต้องไว้หน้าบ้าง
จะว่าไปก็แปลกเหมือนกัน นักบวชเหล่านี้ไม่ถือว่าเสียงดังเกินไป แต่ผู้คนกลับได้ยินวาจาที่เปล่งออกมาชัดเจนกระจ่างแจ้ง ราวกับว่าพระธรรมแพร่กระจายได้โดยไร้ขอบเขตจริงๆ
บริเวณโดยรอบเงียบสงบมาก ภายในวัดมีดอกไม้อยู่ด้วยเช่นกัน
ขณะนี้สายลมอ่อนๆ พัดผ่าน มีเพียงดอกบัวที่อยู่ในสระสี่มุมที่ไหวเล็กน้อย ภายในวัดผู่หัวยังมีต้นไป๋หลาน[2]ที่สูงกว่าสิบเมตรอยู่ต้นหนึ่ง ยามนี้ดอกสีขาวปลิดปลิวลงมา ส่งกลิ่นหอมจางๆ และล่องลอยอย่างงดงาม
ซ่งอิงหันไปมอง
ต้นไม้ไม่ได้กลายเป็นภูต
แต่ต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิต จะมากจะน้อยล้วนมีพลังหลิงชี่อยู่
ภพชาติก่อนยังมีคนเคยทำการทดลองไม่ใช่หรือ โดยการพูดคุยกับพืชชนิดเดียวกันสองกอทุกวัน ทว่าใช้คำพูดที่แตกต่างกัน กอหนึ่งกล่าวเชยชม อีกกอกล่าวตำหนิ ท้ายที่สุดพืชกอที่ได้รับคำชมเจริญเติบโตดีกว่าอีกกอ…
ยังมีคนพูดอีกว่า ยามที่พืชถูกตัดทิ้งจะกรีดร้องเสียงแหลม เพียงแต่มนุษย์ไม่ได้ยินเสียงประเภทนั้น
ซ่งอิงคิดว่า สถานการณ์นี้ก็น่าจะคล้ายๆ กัน
เสียงอันของนักบวชสมณศักดิ์สูงเหล่านี้ ฟังมากๆ เข้าทำให้คนจิตใจสงบนิ่งได้จริงๆ…
ฮั่วเจ้ายวนหันข้างมาแล้วกวาดตามองต้นไป๋หลานแวบหนึ่งเช่นกัน ระหว่างนั้นเขาคิดประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
สายลมในยามนี้ไม่ถือว่าแรง ว่ากันตามเหตุและผล…ไม่ถึงขั้นทำให้ดอกไม้นี้ร่วงหล่นได้กระมัง
ทว่าดอกไม้บนต้นไป๋หลานนี้ไม่เพียงแค่ถูกลมพัดจนร่วง แต่ยังพัดลอยไปไกลมากด้วย ซึ่งเกิดกับต้นนั้นแค่ต้นเดียว ตอนนี้กลีบดอกปลิวว่อนแทบจะทั่วทั้งวัด ช่างเป็นเรื่องประหลาดจริง!
ฮั่วเจ้ายวนเริ่มสงสัยอย่างหนัก
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ การเทศนาก็สิ้นสุดลง พิธีใหญ่อย่างการโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากบ่วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกันจึงเริ่มขึ้น
การโปรดสัตว์ในศาสนาพุทธ จะมีผู้คนที่ต้องการส่งคำไว้อาลัยให้ญาติผู้ล่วงลับ โดยพวกเขาจะใช้โอกาสนี้จุดไฟเผากระดาษไปด้วย
นักบวชสมณศักดิ์สูงหลับตาลงทีละรูป ธงขาวโดยรอบถูกยกขึ้น ก่อนเหล่านักบวชจะถือมู่อวี๋ พึมพำพระคัมภีร์ ไม่รู้ว่ากำลังสวดอะไรบ้าง ซึ่งนักบวชรูปอื่นๆ ในวัดก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ทั่วทั้งในและนอกวัดได้ยินเพียงเสียงของนักบวชสวดพระสูตร
หลังเสียงดังกระจายไปทั่ว ไม่นานนักทิศทั้งสี่ก็เกิดสายลมและเมฆหม่น
ดอกไม้หายไปแล้ว เห็นเพียงท้องฟ้าค่อยๆ มืดครึ้มคล้ายว่าฝนกำลังจะตก ลมพัดฝุ่นตลบ ทำให้จมูกระคายเคือง
กระดาษเงินกำลังมอดไหม้บนพื้น ควันไฟที่ลอยเหนือศีรษะก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนก่อนจะลอยไปตามสายลม
หากจะเอ่ยถึงภาพตรงหน้านี้…
ตามจริงก็ไม่ได้เหนือธรรมชาติแต่อย่างใด
หากอธิยายเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ นั่นก็คือเกิดพายุลมพัดแรง
แต่ลมที่พัดแรงนี้เกิดขึ้นผิดเวลา เป็นยามที่เหล่านักบวชกำลังท่องบทสวดเพื่อโปรดสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ เช่นนี้ยิ่งเหมือนเป็นผลจากการทำพิธี ซึ่งแสดงว่าการโปรดสัตว์สัมฤทธิ์ผลแล้ว
ซ่งอิงดูสงบนิ่งอย่างยิ่ง แต่ฮั่วเจ้ายวนที่อยู่ข้างๆ ม่านตาพลันหดตัว เหมือนถูกกระตุ้นเข้าแล้ว
[1] จือฝู่ (知府) ตำแหน่งขุนนางจีนโบราณ เทียบเท่ากับผู้ว่าราชการจังหวัดในยุคปัจจุบัน
[2] ต้าตี้ (大弟) คำเรียกขานผู้ที่อายุน้อยกว่าตัวเองอย่างเป็นมิตร
[3] ต้นไป๋หลาน (白兰树) ต้นดอกจำปี