ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 311 สุสานรกร้าง ตอนที่ 312 อร่อย
ตอนที่ 311 สุสานรกร้าง
ซ่งอิงยังจำตอนที่ตัวเองในภพชาติก่อนไปเที่ยวได้ บนเขา ผัดมันฝรั่งซอยจานหนึ่งขายในราคาสูตว์จานเบ้อเร่อเชียวละ!
สภาพแวดล้อมจึงเป็นตัวกำหนดราคา ดังนั้นเหลียงผีจานหนึ่งยี่สิบอีแปะ ไม่มีปัญหาแน่นอน!
เมื่อนางพูดเช่นนี้ ฮั่วเจ้ายวนจึงเกรงใจเกินกว่าจะกล่าวว่านางขายแพง “เอามาให้ข้าชิมสักชาม”
“ได้เจ้าค่ะ” ซ่งอิงคลี่ยิ้ม
ฮั่วซื่อเซี่ยงมาแล้วเช่นกัน มองซ่งอิงตาปริบๆ ซ่งอิงไม่เกรงใจเช่นกัน หยิบดาบไม้ท้อที่ตัวเองเอาไปหมกไว้ในกองขี้เถ้าธูปหอมออกมา ดาบไม้ท้อชิ้นนั้นค่อนข้างเปรอะเปื้อน แต่กลิ่นที่สูดดมเข้าไป…ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ไม่น้อย จึงเป็นที่แน่นอนว่ามีความแตกต่างกับที่ขายอยู่ภายนอกเหล่านั้น
ฮั่วซื่อเซี่ยงไม่ชักช้า นำตั๋วเงินห้าสิบตำลึงเงินยื่นให้ซ่งอิง จากนั้นรีบรับดาบไม้ท้อเอาไว้
เมื่อวานตลอดทั้งคืน เขาไม่เป็นอันนอนหลับอย่างสงบสุข!
“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่ตรงนี้?” ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไหนว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจไปลุ่มหลงผู้ใดอย่างไรเล่า?
ไฉนบัดนี้จึงมอบสิ่งของให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเสียแล้ว?
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ท่านขุนนางเพียงแค่ซื้อเครื่องรางป้องกันวิญญาณชั่วร้ายก็เท่านั้น” ซ่งอิงมองดูเปิดเผยตรงไปตรงมาเป็นพิเศษ ซึ่งก็เพราะว่านางดูบริสุทธ์ใจเช่นนี้ ดังนั้นฮั่วซื่อเซี่ยงจึงรู้สึกว่าตนเองเอาเปรียบแล้ว ถึงขั้นส่งสายตาอย่างรู้สึกขอบคุณไปให้ซ่งอิงเล็กน้อย
ซ่งอิงตอบด้วยความซื่อตรงอย่างยิ่ง
ดาบไม้ที่ซื้อมาในราคาสองอีแปะ เปลี่ยนมือปุ๊บกลายเป็นห้าสิบตำลึงเงิน
นางเป็นแม่ค้าที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง
นายติดหนี้ บ่าวชดใช้ ใต้เท้าผู้นี้เอาเปรียบนางด้วยการเป็นท่านอาของนาง จะอย่างไรก็ต้องให้ของขวัญเนื่องในโอกาสพบหน้ากันเสียหน่อยกระมัง
ฮั่วเจ้ายวนแสยะยิ้ม ขบคิดได้เช่นกันว่าซ่งอิงหลอกเอาเงินเสียแล้ว นางใจดำใช่ย่อย ครั้นกลีบปากเล็กๆ เอื้อนเอ่ย ก็นำดาบไม้ท้อเก่าๆ ขายออกไปในราคาห้าสิบตำลึงเงิน เงินตั้งมากมายขนาดนี้ เพียงพอสำหรับฮั่วซื่อเซี่ยงใช้จ่ายอย่างประหยัดไปตลอดทั้งปี
ทว่าบัดนี้เขาเป็น ‘ญาติผู้ใหญ่’
คิดว่าซ่งอิงน่าสงสารจึงไม่เอ่ยปากขัดขวางเช่นกัน และฮั่วซื่อเซี่ยงก็ดันมองเขาตาปริบๆ “ต้าเหริน ข้างกายข้านี้ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นอีกหรือไม่ขอรับ”
“ไม่มี” ที่ฮั่วเจ้ายวนพูดเป็นความจริง
เวลานี้เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ฮั่วซื่อเซี่ยงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก “ขอบคุณน้ำใจฮูหยินฮั่ว! ของชิ้นเล็กนี้ข้าจะเก็บรักษาไว้อย่างดีแน่นอน!”
จะใช้ให้คุ้มค่าที่สุด!
ฮั่วเจ้ายวนแสยะยิ้มอีกครั้ง ดวงตาจับจ้องไปที่ดาบไม้ท้อนั่นพริบตาหนึ่ง
นายบ่าวสองคนไม่พูดจาอะไรให้มากความ เวลานี้ไม่สะดวกอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้วเช่นกัน อย่างไรเสียก็เป็นชายและหญิง รักษาระยะห่างกันไว้หน่อยจึงจะดี หลังจากให้คนนำอาหารที่ซ่งอิงทำถือออกมา ฮั่วเจ้ายวนก็สาวเท้ายาวเดินจากไป
เพียงแต่เพิ่งกลับเข้าห้องของตนเอง ฮั่วเจ้ายวนก็กล่าว “เอามา”
“อะไรหรือขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงตะลึงงันชั่ววูบ
“ดาบไม้ท้อ” ฮั่วเจ้ายวนแววตาสุขุมเยือกเย็น
“ต้าเหริน!?” ฮั่วซื่อเซี่ยงรีบกุมสิ่งของที่เอาไว้ในบริเวณหน้าอกของตนเองทันที “ข้าน้อยเพิ่งซื้อมานะขอรับ…”
“ขี้ขลาดเหมือนหนู เป็นผู้ชายอกสามศอกจะกลัวผีได้อย่างไร ส่งสิ่งของมาให้ข้า ไว้งานนี้สิ้นสุดลง เจ้าไปฝึกฝนความกล้าที่สุสานรกร้างเสีย” ฮั่วเจ้ายวนสีหน้าไม่เปลี่ยน
ต้องเอาดาบไม้ท้อไปทำอะไร! ขายหน้าสิ้นดี
ฮั่วซื่อเซี่ยงอึ่งไปชั่วขณะ “ต้าเหริน…”
พูดจริงหรือ! สุสานรกร้างเชียวนะ!
“ประพฤติตนซื่อตรงจิตใจบริสุทธิ์ วิญญาณร้ายไหนๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ทั้งนั้น ซื่อเซี่ยง เจ้ายังประสบการณ์น้อยนัก ใต้เท้าอย่างข้า…ก็เพราะหวังดีต่อเจ้า” ฮั่วเจ้ายวนท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย
ฮั่วซื่อเซี่ยงไม่ใช่ผู้ใต้บัญชาธรรมดาทั่วไป เขาเป็นถึงบุตรของผู้ใต้บัญชาคนเก่าแก่ประจำตระกูลฮั่ว เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาหลายปี ตัวเขาเองก็เป็นถึงขุนนางขั้นห้า ฮั่วเจ้ายวนย่อมปฏิบัติต่อเขาโดยมีความแตกต่างจากคนอื่นเล็กน้อยเป็นธรรมดา
ฮั่วซื่อเซี่ยงเผยสีหน้าตะลึงงัน
เป็นการหวังดีต่อเขาจริงหรือ! เช่นนั้นเมื่อครู่ยามที่เขาควักเงินออกมาทำไมจึงไม่พูดเล่า!
ชักรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ชอบมาพากล!
อีกด้านหนึ่ง ซ่งอิงเลือกหญิงวัยกลางคนมาสองคน พาพวกนางไปขายของด้วยกันในลานกว้างของวัด
แผงลอยขายของที่ฮั่วเจ้ายวนจัดหาให้ไม่เลวเลยทีเดียว ทว่านางแอบถามมาบ้างแล้วว่า ช่วงสี่ห้าวันนี้ภายในวัดให้คนที่กิจการเล็กๆ เช่าแผงขายเท่านั้น ดังนั้นตำแหน่งแผงขายสินค้าของนางนี้ ค่าเช่าน่าจะประมาณสองร้อยอีแปะ ตรงอื่นที่ทำเลแย่หน่อยก็คงเป็นเงินที่น้อยหน่อย
ลำเลียงเหลียงผีจัดวางไว้ด้านบน เครื่องเคียงครบถ้วน ไม่ทันไรก็ดึงดูดสายตาผู้อื่นได้แล้ว
ตอนที่ 312 อร่อย
อาหารของซ่งอิงนี้ อย่างไรเสียก็เป็นของที่ผู้อื่นไม่เคยเห็นมาก่อน
ในวัดมีอาหารเจจัดเตรียมไว้ให้เช่นกัน แต่อย่างไรเสียหลายวันนี้ก็มีผู้คนเข้ามาสักการะมากมายขนาดนี้ และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิ์ไปรับอาหารเจ หากไม่ใช่อย่างใต้เท้าฮั่วและใต้เท้าจือฟู่ซึ่งมีตำแหน่งขุนนางติดตัวเช่นนั้น ก็จะให้คนจากตระกูลใหญ่โตร่ำรวยที่บริจาคเงินค่าน้ำมันให้มากพอ
ส่วนหนึ่งที่เหลือเป็นคนที่โชคดีเช่าเรือนที่พักได้ คนเหล่านี้ไม่ได้กินเจ หากจะทำอาหารด้วยตนเองก็ย่อมได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่สะดวกสบายนัก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นการอยู่ในวัด หากไม่ได้เตรียมพวกอุปกรณ์ทำครัวไว้ครบถ้วน เช่นนั้นก็ทำได้เพียงยืมของวัด ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็ต้องดูด้วยว่าเงินค่าน้ำมันที่บริจาคให้เพียงพอจะแสดงความศรัทธาจริงใจหรือไม่
จะกล่าวว่าวัดมีใจละโมบโลภมาก? ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก
นักบวชที่อยู่ในวัดต่างก็ต้องกินดื่มเช่นกัน ยามที่มีผู้คนมากมาย มีระเบียบปฏิบัติสักอย่างจึงจะเป็นเรื่องที่สะดวกสบายหน่อย
ถึงอย่างไรคนที่ปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัตินี้ก็เป็นจำนวนไม่มากเท่าไร นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นประชาชนธรรมดา หากไม่ใช่พกพาอาหารแห้งมาด้วยตนเอง ก็มาหาซื้อเอาแถวนี้
สิ่งของที่ขายโดยรอบธรรมดาเกินไป แต่ละจุดจะเห็นบะหมี่หยางชุน อาหารเจ หรือไม่ก็เป็นซาลาเปาไส้เจและหมั่วโถวลูกใหญ่ ที่ค่อนข้างดับร้อนได้หน่อยก็เป็นน้ำแกงซวนเหมย ส่วนของอื่นๆ กินเข้าไปมากจะชวนให้คนเหงื่อออก
ดังนั้น เมื่ออาหารของซ่งอิงปรากฏขึ้น ก็ดูค่อนข้างแปลกตาขึ้นมา
“นี่คืออะไรหรือ เป็นเส้นๆ ใช่เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากธัญพืชหรือไม่?” ไม่ทันไรก็มีคนกล่าว
การใส่หมวกซึ่งมีผ้าห้อยปรกลงมาในยามทำงานส่งผลให้ไม่สะดวกสบายอย่างยิ่ง ดังนั้นซ่งอิงจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองทำเป็นผ้าปิดปากอย่างง่าย โดยคลุมเอาไว้ครึ่งใบหน้า ทั้งบดบังรอยแผลเป็นได้ แล้วยังดูถูกสุขอนามัยอีกด้วย
“ของสิ่งนี้เรียกว่าเหลียงผี ตอนกินเพียงแค่จำเป็นต้องคลุกเคล้ากับเครื่องเคียงเหล่านี้เท่านั้น ดับร้อนได้อย่างดีเยี่ยม ชามละยี่สิบอีแปะ รับประกันว่ากินแล้วยังอยากกินอีก!” ซ่งอิงกล่าวง่ายๆ
ของสิ่งนี้ นางไม่กลัวจริงๆ ว่าจะขายไม่ออก
ไม่ใช่ว่านางเก่งกาจนักหนา แต่ดูจากแนวโน้มความได้เปรียบที่มีมากกว่าคนอาชีพเดียวกัน
มองดูซาลาเปาลูกใหญ่และบะหมี่ที่ปรากฏไอร้อนระอุเหล่านั้น นางยังรู้สึกร้อนแทบแย่
ช่วงเดือนนี้ตามจริงใกล้ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อุณหภูมิยังคงสูงมาก โดยเฉพาะในลานกว้างของวัดแห่งนี้ต้นไม้ค่อนข้างน้อย แดดจึงสาดส่องลงมาเต็มที่ แล้วนับประสาอะไรที่มีผู้คนจำนวนมากเช่นนี้อีกด้วย เบียดเสียดไปมา เต็มไปด้วยกลิ่นของเหงื่อไคล
“อาหารออกฤทธิ์เย็น? ไม่ต้องต้มจริงๆ หรือ” คนที่อยู่ร้านใกล้ๆ ค่อนข้างประหลาดใจ
มีเวลาว่างมาเดินเล่นที่วัดได้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่ยากจนแร้นแค้น ยี่สิบอีแปะ…ไม่ถือว่าแพงเช่นกัน ด้วยเหตุนี้อีกฝ่ายจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เอามาลองกินดูสักชาม!”
“เครื่องเคียงเหล่านี้ลูกค้าเอาหมดเลยหรือไม่ กินเผ็ดได้หรือไม่” ซ่งอิงเอ่ยถาม
“เอาทั้งหมดอย่างละหน่อย พริกไม่ต้องเยอะเกินไป”
“ได้เลย!” ซ่งอิงขานรับทันควัน รีบลงมือปรุงออกมาหนึ่งชาม
บริเวณใกล้เคียงมีพื้นที่จำกัด ไม่สะดวกแก่การจัดเตรียมพวกโต๊ะเก้าอี้มาให้นั่ง ดังนั้นจะเตรียมชามช้อนมาให้ใช้ก็ไม่ค่อยเหมาะเช่นกัน ด้วยเหตุนี้อุปกรณ์รับประทานอาหารที่ใช้จึงเป็นกระดาษไขที่ยัดใบบัวหรือใบกล้วยห่อไว้ด้านใน สะดวกสบายในการใช้งานอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่ทำให้น้ำแกงหยดเลอะเทอะ หากห่อแล้วผูกด้วยเชือกสักเส้นไว้ด้านบน ก็สะดวกสบายแก่การถือกลับไปด้วย
ยามที่ไปเดินเล่นเมื่อวานตอนบ่าย มีคนขายใบบัวอยู่บริเวณรอบๆ จำนวนไม่น้อยและมีราคาถูก นางคนเดียวแทบจะซื้อเหมาจากหลายร้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้นางเพิ่งมา ก็มองเห็นคนจำนวนไม่น้อยขายใบบัวสดใหม่
อาหารนางชนิดนี้ปรุงเครื่องเคียงได้ง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงแค่ช่วงเวลาครู่เดียวเท่านั้น นางก็ยื่นอาหารส่งออกไป
คนจำนวนไม่น้อยล้วนหันมามอง
ลูกค้าผู้นั้นจ่ายเงินเรียบร้อย แต่กลับยังไม่กล้าเดินไปไหน อย่างไรเสียสายตาของผู้คนโดยรอบก็จับจ้องกันอยู่ไม่วางตา เขาหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะกินเข้าไปหนึ่งคำใหญ่ๆ
ครั้นกินเข้าไป แววตาพลันลุกวาว
“รสชาติเป็นอย่างไรหรือ” มีคนเดินมาถาม
“ยอดเยี่ยมมาก!” คนผู้นั้นเลียริมฝีปาก “รสชาติมีเอกลักษณ์มาก เหมือนทำจากเส้นก๋วยเตี๋ยวแต่กินง่ายกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยว พริกน้ำมันนี้หอมงาอย่างยิ่ง เมื่อคู่กับหูกวา ให้รสชาติที่สดชื่น อร่อย!”
ซ่งอิงฉีกยิ้ม
ต้องอร่อยอยู่แล้ว อยู่ในภพชาติก่อนอาหารนี้ก็เป็นอาหารรสเลิศที่ได้รับการจัดลำดับในหมวดหมู่ของกินเล่นที่ผู้คนนิยมชมชอบ
อาหารที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนหมู่มาก ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนย่อมต้องได้รับการตอบรับเป็นแน่