ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 371 คนงานส่งอาหาร ตอนที่ 372 เหยียบย่ำ
ตอนที่ 371 คนงานส่งอาหาร
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่สบตาบุตรชายและไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไรนัก จากนั้นถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใดหรอก รู้หรือไม่รู้ก็ไม่สำคัญ แม่คิดว่า ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรคิดที่สุดน่าจะเป็นเรื่องทำงาน”
ซ่งฝูซานได้ยินได้ดังกล่าวก็พยักหน้าเชิงเห็นด้วยเช่นกัน “วันนี้ข้าไปถามเถ้าแก่มาเป็นการเฉพาะแล้ว เดิมทีคิดว่าเถ้าแก่จะเห็นแก่หน้าข้าจึงให้เจ้ากลับมาทำงานด้วยได้ แต่เขากลับปฏิเสธ”
เถ้าแก่กล่าวว่า หากกระทำผิดในเรื่องอื่น เช่นนั้นโรงงานย้อมสีแห่งนี้ยังพอเห็นแก่มิตรภาพในที่ผ่านๆ มาให้เขาอยู่ทำงานด้วยได้
แต่เพราะเป็นการขโมยของ…นี่ก็เลยรับเอาไว้ไม่ได้
ด้านหนึ่งคือโรงงานย้อมสีแห่งนั้นมีวัสดุผ้าที่ล้ำค่าจำนวนไม่น้อยเช่นกัน อีกด้านหนึ่ง ตำรับสีย้อมของโรงย้อมก็ค่อนข้างเป็นความลับทั้งสิ้น บุตรชายเขาเดิมทีเป็นแค่คนงานฝึกงานที่คอยเรียนรู้งานอยู่ด้วย จึงยังไม่ได้คลุกคลีสิ่งเหล่านี้ แต่หากปล่อยให้อยู่ทำงานด้วยต่อไปจนภายภาคหน้าคุ้นเคยงานแล้ว ย่อมเป็นไปได้ว่าจะรับรู้ถึงตำรับลับ เมื่อถึงเวลา…
คนอื่นกลัวว่าเขาจะเกิดความคิดไม่ซื่อ
ยามที่ถูกเถ้าแก่ร้านเรียกออกมา ซ่งฝูซานรู้สึกเพียงความอับอายจนลนลานบนใบหน้า
ในหลายปีมานี้ เขาปฏิบัติตัวไปตามสถานการณ์ ไม่เคยได้รับความอัปยศขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
หลังซ่งฝูซานพูดจบ ก็ถอนหายใจอย่างหดหู่
“ท่านพ่อ เขาไม่ให้ข้ากลับไปก็ช่างปะไร! ต่อให้ข้ากลับไป คนในนั้นก็จะชักสีหน้าใส่ข้าเช่นกันแน่นอน อีกทั้งข้าก็ไม่เหมือนท่านที่เป็นช่างฝีมือคนหนึ่งแล้ว เดือนหนึ่งๆ ข้าทำงานที่เหนื่อยที่สุด ยังได้ไม่ถึงหนึ่งตำลึงเงินเลย ไม่ได้ทำก็ไม่เห็นเป็นอันใด” ซ่งเสี่ยนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“หนึ่งตำลึงเงินยังคิดว่าน้อยไปอีกหรือ! ใครบ้างไม่ได้ผ่านกันมาอย่างนี้ ต่อให้ตอนนี้เจ้าไปทำงานที่อื่น คนเขาก็ไม่มีทางให้เงินค่าแรงแก่เจ้ามากเกินไปหรอก!” ซ่งฝูซานกล่าวอย่างไม่พอใจทันที
คนงานฝึกงาน จะว่าไปก็แค่เป็นการไปเรียนรู้ทักษะฝีมือทางด้านงานนั้นๆ
เถ้าแก่ร้านยอมให้เงินเขาบ้าง นั่นก็ถือว่าเถ้าแก่ร้านใจกว้างมากแล้ว!
“พ่อเจ้าพูดถูก หลานเสี่ยน คนเรามีทักษะงานฝีมือติดตัวไว้สักอย่าง ภายภาคหน้าไม่ว่าเจ้าไปแห่งหนไหน ล้วนเป็นที่ต้องการทั้งนั้น ตอนนี้ไม่ว่าเงินมากเงินน้อย งานอะไรล้วนต้องทำไว้ก่อน เรียนรู้ไปสักสามถึงห้าปีจากนั้นก็จะลืมตาอ้าปากได้แล้ว” ชายชราซ่งพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดีขึ้นมาเช่นกัน
“ตั้งสามถึงห้าปีอีกแล้วหรือ!” ซ่งเสี่ยนกลั้นความโมโห มองดูเหมือนหมดสภาพ “ก่อนหน้านี้อยู่โรงย้อมสี ก็เท่ากับข้าเสียเวลาเปล่าๆ ไปสามปีกว่าแล้ว โรงย้อมสีทางด้านนั้นไม่ให้ข้าจบสิ้นกับการฝึกงานเสียที พอตอนนี้ก็ยังไล่ข้าออก ตอนนี้ข้าอายุยี่สิบแล้ว ยังจะต้องไปฝึกงานอีก คงได้ถูกคนอื่นนินทา ท่านพ่อ แล้วนี่ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันเล่า”
ในใจซ่งฝูซานรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “แล้วจะทำอย่างไรได้ พ่อเองก็จนปัญญา เรื่องงานเจ้าคงทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองแล้วละ หากครอบครัวเรามีเงิน ต่อให้เจ้าอยู่บ้านเป็นคุณชาย ข้าก็จะไม่สนใจเช่นกัน!”
ใครๆ ก็ต้องผ่านการเป็นคนฝึกงานกันมาทั้งนั้น!
ก็อย่างเช่นเขาผู้นี้ อายุไม่ถึงยี่สิบก็ไปเรียนรู้ที่โรงย้อมสี เพราะยังอายุน้อย จึงเป็นวัวเป็นม้าให้เขาเรียกใช้งานสารพัดอยู่ในนั้นตั้งหกปีแล้วจึงได้ลงมือย้อมผ้า แต่ถัดจากเขาขึ้นไปก็ยังมีผู้ชำนาญการหลายคนคอยกดดัน เพียงแต่เงินค่าแรงก็เยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อนหน่อยเท่านั้นเอง!
เขากัดฟันอดทน อดทนจนถึงอายุยี่สิบห้า ย้อมสีผ้าออกมาได้ไม่แย่ไปกว่าผู้ชำนาญงาน นี่จึงได้กลายเป็นช่างฝีมือโดยแท้จริง
เมื่อก่อน เขาก็อยากให้ลูกเสี่ยนไปเรียนรู้งานที่โรงย้อมสีแต่เนิ่นๆ หน่อย แต่เด็กคนนี้ไม่ยินยอมนี่!
ดูถูกงานที่โรงย้อมสีว่าสกปรก เหนื่อย จึงยืดเยื้อมาถึงอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ขืนยังไม่มีประการณ์ทำงานมาก่อน แม้แต่จะหาภรรยาสักคนก็เลิกพูดถึงไปได้เลย
นี่ด้วยความไร้ทางเลือก จึงได้ไปอยู่ที่โรงย้อมสี!
เขาดูถูกว่าเงินแต่ละเดือนน้อยนิด แต่เงินนี้เป็นสิ่งที่เขาพยายามอย่างหนักเพื่อขอเถ้าแก่จนได้มา ตามจริงเด็กฝึกงานคนอื่นไม่ได้รับค่าตอบแทนเช่นเขาอย่างนี้!
ซ่งฝูซานดื่มสุราอย่างหงุดหงิดใจ
“ท่านพ่อ ครอบครัวเราไม่มีเงิน แต่ครอบครัวอารองมีมิใช่หรือเจ้าคะ” เผยซื่อทำตาปริบๆ “เรามีมือมีเท้า ก็ไม่เอาเงินอารองโดยเปล่าๆ หรอก ให้ต้าหลางไปเป็นคนคอยส่งอาหารในร้านของอารองก็ได้นะเจ้าคะ”
ตอนที่ 372 เหยียบย่ำ
ครั้นคำพูดเผยซื่อสิ้นเสียงลง ทุกคนล้วนนิ่งอึ้งไป
“ครอบครัวอารองเปิดร้านค้าแล้วด้วย?” ซ่งเสี่ยนรู้สึกเหลือเชื่อ
“ก็ใช่น่ะสิ เพิ่งเปิดเมื่อเร็วๆ นี้เอง สองวันก่อนท่านปู่ก็ไปค้างคืนอยู่ที่นั่นด้วย หลังกลับมาก็กล่าวชมเชยไม่ขาดปาก เอ่ยว่าร้านอาหารแห่งนั้นกิจการดีเยี่ยมเป็นพิเศษ ตอนเช้าตรู่ขายซาลาเปา ตอนบ่ายขายกับข้าว ร้านค้าเป็นอาคารสองชั้นใหญ่โตโอ่อ่าเป็นพิเศษ และยังกล่าวว่าเอ้อร์ยาชาญฉลาด เลือกทำเลได้ดีเยี่ยม” เผยซื่อกล่าวยิ้มๆ “ข้าคิดว่า สถานที่ที่ดีขนาดนี้ ต้าหลางไปทำงานด้วยก็คงไม่เหน็ดเหนื่อย ล้วนเป็นคนครอบครัวตัวเอง และต้าหลางก็จะต้องทุ่มเทแรงใจในการทำงานของร้านอาหารนี้เป็นแน่ ส่วนเงินค่าแรง…ก็ไม่ขอมากมาย วันละหนึ่งร้อยอีแปะก็ใช้ได้แล้ว…”
“หนึ่งร้อยอีแปะ?! เจ้าเข้าใจเพ้อฝันดีนี่?” เจียวซื่อหัวเราะเยาะ “ดีแต่พูดฉอดๆ ยังไม่ทันทำอะไรก็คิดจะเอาเงินแล้ว แม่เจ้าให้กำเนิดเจ้าจากโถเงินใช่หรือไม่!”
นางยังคิดจะไปทำงานกับครอบครัวเหล่าเอ้อร์อยู่เลย!
แม้แต่นาง เหล่าเอ้อร์ยังไม่ต้องการ แล้วจะรับคนหัวสูงแต่ไร้ฝีมือเช่นซ่งเสี่ยนหรือ!
มิหนำซ้ำยังต้องการหนึ่งร้อยอีแปะ…ช่างเข้าใจคิดเพ้อฝันจริงๆ
ใครจะโง่เง่าขนาดเงินเยอะจนไม่มีที่ใช้ จึงเอามาถลุงด้วยตัวเองเช่นนี้
“อาสะใภ้สาม ท่านจะไม่ให้พวกเราบ้านใหญ่ไปทำงานด้วยเพียงเพราะอาสะใภ้รองไม่เห็นท่านในสายตากระมัง อีกอย่าง พวกเราก็ไม่ได้ไปเอาเปรียบ ต้าหลางไม่ใช่คนที่จะแอบขี้เกียจประเภทนั้น ทำงานเอาจริงเอาจัง เหน็ดเหนื่อยก็ไม่ย่อท้อ หนึ่งร้อยอีแปะก็ไม่มากมายนี่? อีกทั้ง…อารองมีเงินตั้งมากมายขนาดนี้ เงินเล็กน้อยนี่จะเป็นอะไรไปเล่าเจ้าคะ” เผยซื่อกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่อดกลั้นความโกรธเกรี้ยวจนหน้าแดงก่ำ
หน้า! หน้าของนาง!
ถูกนางจิ้งจอกสาวที่สารเลวผู้นี้เหยียบย่ำไปเหยียบย่ำมาอยู่บนพื้น!
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่เหลืออด “เจ้ายังมีหน้าให้สามีเจ้าไปทำงานเป็นคนส่งอาหารอีกหรือ แต่ข้าไม่มีหน้าหรอก! ครอบครัวอารองเจ้าต่อให้มีเหมืองทอง หากข้าไม่เห็นดีด้วย เจ้าก็เลิกคิดจะไปขุดได้เลย! หน้าไม่อายจริงๆ ในเมื่อหนึ่งร้อยตำลึงเงินก็ไม่มากมาย เช่นนั้นเจ้าก็เอามาให้ข้าสิ! แต่งเข้ามาสองปีแล้วแม้แต่พุทรายังไม่เคยซื้อให้ข้ากิน ทีเอ่ยปากต้องการของของผู้อื่นละเก่งกาจนัก รู้เช่นนี้แต่แรก ตอนนั้นก็สู่ขอหญิงดอกทองในหอนางโลมมายังดีเสียกว่าแต่งเจ้าเข้ามาเสียอีก!”
น่าโมโหจริง!
หากร้านค้านั้นเป็นของผู้เฒ่าซ่ง ไม่ต้องให้เผยซื่อพูด นางก็คิดจะจัดการให้บุตรชายเข้าไปทำงานด้วยอยู่แล้ว ไม่มีทางปล่อยให้พวกน้องชายทั้งสามได้กอบโกยอย่างเด็ดขาด!
อย่างไรเสีย ภายภาคหน้าบ้านใหญ่ก็ต้องเลี้ยงดูชายชราและหญิงชราในยามแก่เฒ่า ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะตกระกำลำบากขณะที่คนอื่นเสพสุข!
แต่ตอนนี้ สิ่งนั้นเดิมทีก็คือของบ้านสอง
นางอิจฉา ริษยา แต่จะให้บุตรชายตัวเองถ่อไปให้เหล่าเอ้อร์เรียกใช้เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง?! นางคิดว่าไม่มีหน้าอดทนกับความอัปยศดังกล่าวได้!
บ้านใหญ่ก็คือครอบครัวบุตรคนโต พี่น้องถัดจากพวกเขาจะเหยียบย่ำไม่ได้!
การไปให้คนเขาเหยียบย่ำถึงที่ก็ยิ่งไม่ได้!
เผยซื่อหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด อยากเอาหัวมุดลงดินให้รู้แล้วรู้รอด
“ท่านแม่ด่าว่าข้าก็พอแล้ว…ไฉนจึงต้องเปรียบเทียบข้ากับนางคณิกาพวกนั้นด้วย…ต้าหลาง! ข้าก็แค่หวังดีต่อเจ้า!” เผยซื่อร้องไห้ออกมา
“หวังดีต่อสามีเจ้า? เช่นนั้นก็ได้ บ้านที่ตอนแรกครอบครัวเราเอาชดใช้ให้เอ้อร์ยาไป เจ้าก็ให้ตระกูลเผยซื้อกลับมาสิ ขอเพียงเจ้ามีเงินพอ เอ้อร์ยาก็ไม่หวงบ้านทรุดโทรมนั่นจนไม่ให้เจ้าหรอก!” เหยาซื่อมองค้อนใส่เผยซื่อ
นางเจ้าเล่ห์หน้าไม่อาย นี่ยังล้อมโต๊ะกินข้าวกันอยู่เลย ผู้อาวุโสคอยจ้องมองเด็กรุ่นหลังอยู่แท้ๆ คิดไม่ถึงว่ายังมีหน้าทำเป็นอ่อนแอบอบบาง!
เผยซื่อได้ยินดังกล่าว หยาดน้ำตารินไหลหนักขึ้นกว่าเดิม
“ท่านแม่!” ซ่งเสี่ยนไม่พอใจขึ้นมาทันที “นางยังอุ้มท้องลูกชายข้าอยู่นะ ท่านอย่าทำให้นางโมโหไม่ได้หรือ”
“…” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ถลึงตาเขม็ง คำพูดที่เหลือถูกอดทนกลืนกลับลงไปในทันที
หน้าอกเสมือนมีภูเขาลูกใหญ่กดทับ เกือบกระอักเลือดออกมาก็ว่าได้!
อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่เจียวซื่อยังรู้สึกหดหู่ใจ
นางมีบุตรชายตั้งสามคนเชียวนะ เกิดทั้งสามคนนั้นล้วนเป็นเหมือนซ่งเสี่ยนที่มีภรรยาแล้วก็ลืมมารดาจะทำอย่างไรเล่า!