ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 419 ที่คั่นหนังสือ ตอนที่ 420 ติดค้างมากเกินไป
ตอนที่ 419 ที่คั่นหนังสือ
ซ่งอู่ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่สุขุมและเก็บตัว ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แต่ฮั่วหลินและซ่งต๋าแตกต่างออกไป
หลังทำที่คั่นใยใบไม้เสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนก็ราวกับเสียสติไปแล้ว เริ่มโอ้อวดไปทั่วห้องเรียน
ฮั่วหลินเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่นมากที่สุด ไม่ต่างกับสัตว์นำโชคตัวหนึ่งก็ว่าได้ ส่วนซ่งต๋าตราบใดที่ไม่ได้กระทำผิดก็ไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นทั้งสามคนอยู่ที่โรงเรียนก็ถือว่าเป็นหัวโจกแล้วเช่นกัน ยามที่พวกเขานำที่คั่นใยใบไม้ออกมา เหล่าเด็กๆ ในโรงเรียนจึงเผยแววตาอิจฉาไม่หยุดหย่อน
“สหายฮั่ว แม่เจ้าดีจริงๆ เลย ข้าอยากไปเล่นบ้านเจ้าเช่นกัน อยากให้แม่เจ้าทำที่คั่นใยใบไม้ให้ข้าบ้างสักอัน”
“สหายฮั่ว ไฉนแม่เจ้าทำได้ทุกอย่างเลยเล่า ในหมู่พวกเราก็มีครอบครัวเจ้าที่ได้กินดีสุด! ระยะนี้แม่เจ้ายังรับซื้อดอกไม้ของพวกเราอีกด้วย ดอกไม้นั่นเอาไปทำอะไรหรือ เป็นของเอาไว้ทำที่คั่นหนังสือเช่นกันใช่หรือไม่”
“สหายฮั่ว ดอกไม้ที่ข้าเก็บเป็นเงินสองอีแปะเอามาซื้อที่คั่นของเจ้าได้หรือไม่ ไว้เจ้าค่อยกลับบ้านไปให้แม่เจ้าทำให้อีกอันแล้วกัน”
“สหายฮั่ว…”
ฮั่วหลินได้รับความนิยมชมชอบมากขึ้นเรื่อยๆ
อาจารย์ผู้สอนเข้ามาในห้องแล้ว ทว่าคนกลุ่มหนึ่งยังคงห้อมล้อมถามฮั่วหลินไม่หยุด
ดวงหน้าเล็กๆ ของฮั่วหลินเผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจยิ่ง
“นี่เป็นของอันใด เอาไว้ใช้ทำอะไรหรือ” ขณะที่โอ้อวดอยู่นั้น อาจารย์ผู้สอนเดินเข้ามา จากนั้นเอื้อมมือมาคว้าที่คั่นใยใบไม้ของภูตโสมไป
“ที่คั่นหนังสือขอรับ! แม่ข้าสอนข้าใช้ใบไม้ทำ ท่านอาจารย์เอาคืนข้ามานะขอรับ!” ฮั่วหลินร้อนใจ นี่เป็นที่คั่นใยใบไม้ชิ้นแรกที่เขาทำขึ้นมาเชียวนะ!
คนเล่าเรียนหนังสือน่ะ จะมากจะน้อยก็มีความเป็นศิลป์กันอยู่บ้างทั้งนั้น ชื่นชอบของอย่างดอกไม้ใบหญ้าอะไรทำนองนั้นเป็นที่สุด ทุกฤดูร้อน ผลิ ร่วง และหนาว ล้วนขาดการขับบทกวีขึ้นมาสักหน่อยไม่ได้
ที่คั่นหนังสืออย่างที่พวกเขาใช้กันปกติ ส่วนมากทำจากไม้ ไม้ไผ่และกระดาษ ด้านบนขีดเขียนอักษรหรือวาดภาพเอาไว้ ซึ่งก็ถือว่าไม่เลวเช่นกัน แต่หากเทียบกับที่คั่นใยใบไม้นี้ ดูขาดอรรถรสของความเป็นธรรมชาติไปเล็กน้อย
อาจารย์ผู้สอนหนังสือเลี่ยงที่จะเผยสีหน้าชมชอบออกมาเล็กน้อยไม่ได้
“ท่านอาจารย์ ของข้าชิ้นนี้ขอมอบให้ท่าน ที่บ้านข้ายังมีอีกขอรับ!” ซ่งต๋าเป็นคนหนึ่งที่ฉลาดแกมเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ยามนี้ครั้นเห็นสีหน้าของอาจารย์ก็รู้จักรีบประจบสอพลอทันที
เคารพนับถือครูผู้สอนหนังสือให้เหมือนดั่งปฏิบัติกับบิดามารดา นักเรียนมอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้ครูก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน อาจารย์ผู้นี้จึงไม่มีความกดดันในใจแต่อย่างใด และรับเอาไว้อย่างหน้าตาเฉยมาก
แน่นอนละว่า ตลอดวันนี้ จึงให้ความสนใจซ่งต๋าเป็นพิเศษ
โดยทดสอบสิ่งที่เรียนมากับเขาไปหลายครั้งหน่อย
“…” ซ่งต๋ารู้สึกว่าแผนการของตัวเองดูจะผิดพลาดไปเล็กน้อย จุดประสงค์ของเขาคืออยากทำให้ท่านอาจารย์กล่าวเชยชมเขาต่อหน้าพี่รองให้มากๆ หน่อยเท่านั้นเอง…
“ท่านอาจารย์ก็ชื่นชอบเช่นกันหรือ” ซ่งอิงตกตะลึง ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าสิ่งของที่เหมาะกับเด็กๆ เช่นนี้จะเข้าตาเหล่าปัญญาชนด้วยเช่นกัน “เช่นนั้นไว้ข้ากลับไปทำขึ้นมาหลายๆ อันหน่อย แล้วเอาไปส่งให้พี่ชายข้าในอำเภอ ให้เขาเอาไปมอบให้อาจารย์และสหาย”
ซ่งอิงคิดว่า จะเอาไปขายด้วยก็ได้เช่นกัน…
หาเงินจากเหล่าปัญญาชนผู้เล่าเรียนหนังสือย่อมทำเงินได้ง่ายกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้เชียว
ก่อนที่จะยุ่งตัวเป็นเกลียวกับเทือกสวนไร่นา หันมาหาเงินสักหน่อยก่อนแล้วกัน!
เมื่อตัดสินใจแล้ว ซ่งอิงก็ยุ่งยิ่งขึ้นกว่าเก่า
เก็บใบไม้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย ขอเพียงเป็นใบไม้ที่เส้นใยค่อนข้างแข็งและซับซ้อนล้วนใช้ได้ทั้งหมด ซ่งอิงใช้วิธีการเดิม โดยรับซื้อจากเด็กๆ กลุ่มนั้น
น้ำที่ต้มใบไม้ค่อนข้างมีความจำเพาะ ถือว่าเป็นสูตรลับ หลังต้มใบไม้เสร็จ ซ่งอิงก็จ้างหญิงในหมู่บ้านสามสี่คนมาที่บ้านเพื่อช่วยนางแปรงเนื้อใบไม้และล้างเนื้อใบไม้
งานนี้ไม่ได้หนักหนาสาหัส แต่แปรงใบไม้ทุกๆ สิบใบกลับได้เงินตั้งหนึ่งอีแปะ
ที่จ้างมาล้วนเป็นเหล่าหญิงภรรยาที่อยู่บ้านว่างงาน มานั่งอยู่ในลานบ้านนี้ วันหนึ่งอย่างน้อยก็ทำออกมาได้สามถึงห้าร้อยใบ ทั้งได้เงิน ทั้งไม่รบกวนเวลาการสนทนากันของทุกคน ทำงานได้อย่างมีความสุขยิ่งนัก
ใบไม้ที่ล้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ซ่งอิงรับผิดชอบการลงสี
เป็นสีที่ค่อนข้างธรรมดาหน่อยอย่างสีแดง สีเขียว และสีเหลือง
อาสามทางด้านนั้นมีกระดานไม้ที่ขัดเรียบเอาไว้อย่างเนี้ยบ นางนำกระดาษเซวียนวางไว้สองแผ่นระหว่างไม้กระดานทั้งสองเพื่อช่วยในการดูดซับน้ำ แต่กระดาษเซวียนที่ว่านี้ก็นำกลับมาใช้ซ้ำได้เช่นกัน
สบู่ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นรูปทรงในอุปกรณ์ที่อยู่ตรงลานหลังบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากทำที่คั่นหนังสือชุดนี้เสร็จเรียบร้อย ซ่งอิงค่อยนำไปส่งในอำเภอพร้อมกันคราวเดียว
บทที่ 420 ติดค้างมากเกินไป
ทางด้านเมืองยง สบู่เป็นที่นิยมขึ้นมาแล้ว ทางด้านตัวอำเภอก็มีคนจำนวนหนึ่งกำลังใช้มันเช่นกัน เพียงแต่ยังหาซื้อในพื้นที่ไม่ได้เท่านั้นเอง
โรงอี้จวินปัจจุบันแตกต่างจากก่อนหน้านี้ ขายดิบขายดีเสียยิ่งกว่าอะไร
เจ้าของกิจการฮวาอาศัยจังหวะที่ยาสระผมชิงซือเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง ผลักดันเยียนจือออกมาหลายรุ่น ซึ่งผลลัพธ์ก็ไม่เลวทั้งนั้น ปัจจุบันลูกค้าหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย มองดูไม่ด้อยไปกว่าร้านชุ่ยเยียนไจสักเท่าไร
“เหม่ยจื่อมาได้จังหวะพอดี กิจการยาสระผมนี้ เกรงว่าเราจะสู้ร้านชุ่ยเหยียนไจมิได้เสียแล้ว” เจ้าของกิจการฮวารีบกล่าวทันทีที่เห็นซ่งอิงมาเยือน
“พวกเขาคิดค้นตำรับออกมาได้แล้วหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าว แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจ
“ใช่แล้ว เริ่มขายเมื่อสองวันก่อน ร้านพวกเขาหน้าไม่อายเป็นที่สุด ยามที่ร้านตนเองป่าวประกาศสินค้าให้เป็นที่รู้จักโดยทั่ว ก็เหยียบย่ำร้านเราอยู่ตลอด บอกกับลูกค้าว่ายาสระชิงซือของร้านเราเป็นสตรีในชนบททำขึ้นมา บอกว่าเจ้าดูสกปรกมอมแมม ของที่ทำออกมาจึงไม่สะอาด ถ้อยคำเช่นนั้นไม่น่าฟังเอาเสีย ข้าโมโหจะตาย” เจ้าของกิจการฮวาสีหน้าไม่พอใจเลยจริงๆ
ตามจริงตอนนี้ร้านของนางไม่ได้พึ่งพาการขายยาสระผมเป็นตัวขับเคลื่อนกิจการแล้ว แต่นางไม่ใช่คนที่ลืมบุญคุณคน ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะซ่งอิงนำยาสระชิงซือมาฝากขายในร้านของนาง โรงอี้จวินของนางแห่งนี้จะพลิกตัวได้อย่างไร
“ตัวข้าก็เป็นหญิงชาวชนบทจริงๆ พวกเขาไม่ได้พูดผิดเช่นกันนี่เจ้าคะ” ซ่งอิงแสยะยิ้ม “ร้านเขาขายราคาเท่าไรหรือเจ้าคะ”
“ร้านพวกเขาเป็นประเภทไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอย่างยิ่งอยู่แล้ว หากเป็นเมื่อก่อน ทำใจตั้งราคาขายต่ำๆ ไม่ได้หรอก ตอนนี้รู้จักพลิกแพลงขึ้นมาบ้างแล้ว ยาสระผมกระปุกหนึ่งที่ขายอยู่ในร้านพวกเขา ชนิดหนึ่งขายสี่สิบอีแปะตัดราคาเรา อีกชนิดหนึ่งขายห้าร้อยอีแปะทำกำไรได้มากมาย ซึ่งพวกเขากล่าวอ้างว่าใส่เครื่องหอมลงไปไม่น้อย ประสิทธิผลดีเยี่ยมกว่าร้านเรา เพียงแต่ว่าลูกค้าของร้านพวกเขาส่วนใหญ่เป็นตระกูลคนร่ำรวยสูงศักดิ์ จึงไม่ได้แยแสกับเงินแค่นั้น” เจ้าของกิจการฮวากล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
จะว่าไปพวกเขาทั้งสองร้านก็เดินบนเส้นทางที่ต่างกัน
ร้านชุ่ยเหยียนไจเน้นไปที่ผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์ ไม่มีเงินย่อมไม่กล้าเข้า ทางด้านโรงอี้จวินนี้ราคาค่อนข้างเป็นมิตรกับสามัญชนทั่วไป
แต่ด้วยความที่ร้านชุ่ยเหยียนไจทำเกินไป จึงเข้ากับผู้อื่นไม่ได้
“ร้านพวกเขายังพูดถ้อยคำเหลวไหลอยู่ภายนอกอีกด้วยว่า ในยาสระผมของร้านเราไม่มีโสมเลยสักนิด ล้วนเป็นการหลอกลวงทั้งเพ…” เจ้าของกิจการฮวารู้สึกอัดอัดใจและหงุดหงิดใจอย่างยิ่ง “พวกเขากลั่นแกล้งคนอื่นมากเกินไปแล้ว เหม่ยจื่อ ข้าให้เจ้าคิดวิธีเปิดร้านค้าสักแห่งที่อื่น เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ขัดขวางเส้นทางการค้าขาย เจ้าได้เปิดร้านไว้แล้วหรือไม่”
“เปิดสำเร็จตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ บัดนี้กิจการดำเนินไปได้ไม่เลวอีกด้วย” ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องสนใจร้านเขาหรอกเจ้าค่ะ วันนี้ข้ามาก็เพราะเอาของดีมาให้ท่านอีก”
ซ่งอิงหยิบออกมาก่อนหนึ่งก้อนให้เจ้าของกิจการฮวาดู
แม้ว่าซ่งอิงให้คนขนย้ายสบู่ที่นางเอามาด้วยสองคันรถเข้ามาในร้านเลยก็ได้เช่นกัน แต่แม้ว่าเป็นคนคุ้นเคยกัน ก็ยังต้องให้เจ้าของกิจการร้านฮวาตรวจสอบสินค้าดูหน่อยจึงจะได้เรื่อง
“นี่คือสบู่หอมหรือ” เจ้าของกิจการร้านฮวาตะลึงงัน
“ใช่เจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าว
เจ้าของกิจการฮวาตาลุกวาว “หลังเทศกาลสามสี่วันมานี้ ก็มีคนจำนวนไม่น้อยมาทางร้านข้าและถามว่าข้ามีสบู่หอมหรือไม่ พวกเขากล่าวว่าทางด้านเมืองยงนั่นมีร้านหนึ่งขายของเช่นนี้ ไม่ว่าจะอาบน้ำหรือซักผ้าล้วนใช้ดีเป็นพิเศษทั้งนั้น ข้ายังคิดอยู่เลยว่า จะชิงไปดูร้านค้าทางด้านเมืองยงนั่นได้ทันก่อนร้านชุ่ยเหยียนไจหรือไม่…เหม่ยจื่อ ร้านที่ทำสบู่แห่งนั้นก็คือเจ้าหรือ”
“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ซ่งอิงพยักหน้ารับ
“เช่นนั้นก็ไม่ธรรมดาเลยนี่ ได้ยินว่าครอบครัวจากตระกูลผู้ร่ำรวยชนชั้นสูงทางด้านเมืองยงล้วนซื้อกันไปถ้วนหน้า บัดนี้บ้านใครไม่มีไว้สักก้อนสองก้อนล้วนรู้สึกว่าตามกระแสในเมืองหลวงไม่ทันแล้ว! น่าเสียดายที่มีขายเพียงร้านนั้น คนจำนวนไม่น้อยต่อคิวกันซื้อเลยสินะ! เหม่ยจื่อ คราวนี้เจ้าคงได้ทำเงินไม่น้อยเลย!” เจ้าของกิจการฮวากล่าวอย่างตกตะลึงปนประหลาดใจ
เจ้าของกิจการฮวามองไปยังรถเข็นที่อยู่ด้านหลังคันนั้น ก่อนจะกล่าวอย่างสับสนเล็กน้อย “เหม่ยจื่อ บัดนี้ก็น่าจะมิใช่คนขาดแคลนเงินแล้ว ข้าว่า เปิดร้านขายสบู่หอมไว้ที่นี่สักร้านเสียเลยสิ ต่อให้ขายเพียงสบู่หอมและยาสระผมชิงซือ แต่ก็ต้องขายดิบขายดีลูกค้าเข้าไม่ขาดสายเป็นแน่ ไฉนจึง…จึงยังเอามาส่งที่ร้านข้าอีกเล่า”
นางอยากได้ อยากได้เหลือเกินด้วยซ้ำ!
แต่นี่ก็เป็นน้ำใจที่คนเขาเอามาส่งถึงที่เช่นกันน่ะสิ ในฐานะคนทำกิจการค้าขายคนหนึ่ง นางรู้สึกว่าการตอบแทนน้ำใจของซ่งอิงไม่ใช่เรื่องง่ายมาตั้งนานแล้ว บัดนี้ขืนรับสบู่หอมเอาไว้อีก เช่นนั้นก็จะติดค้างน้ำใจมากมายไปกันใหญ่น่ะสิ