ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 425 ไม่เข้าตา ตอนที่ 426 อย่าไปมองสิ่งที่ค้านกับมารยาทและความดีงาม
- Home
- ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล
- ตอนที่ 425 ไม่เข้าตา ตอนที่ 426 อย่าไปมองสิ่งที่ค้านกับมารยาทและความดีงาม
ตอนที่ 425 ไม่เข้าตา
ซ่งสวินรู้สึกว่าลู่ข่ายผู้นี้ประหลาดชอบกล เขาเคยพูดคุยกับคนผู้นี้ไม่กี่ประโยคด้วยซ้ำ จะกล่าวว่าเป็นคนแปลกหน้าก็ยังไม่เกินไป ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าจะถ่อมาดูน้องสาวของเขาเป็นการเฉพาะ?
“คุณชายลู่มาจากตระกูลขุนนาง แม้ว่าไม่ถึงขั้นใช้ชามทองตะเกียบหยก แต่สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่เข้าตาของเขาจริงๆ นั่นละ” ซ่งสวินน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย มองซ่งอิงพริบตาหนึ่ง ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าทำของเหล่านี้ขึ้นมาไม่ได้ง่ายดาย คุณชายลู่ก็เพราะมีน้ำใจจึงช่วยเจ้าประหยัดไปได้หน่อย”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณมากเจ้าค่ะคุณชาย” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
คนอื่นๆ ยิ่งทวีความรู้สึกอึดอัดมากขึ้น
ซ่งสวินกล่าวไว้แล้วว่า น้องสาวเขาทำของเหล่านี้ขึ้นมาไม่ได้โดยง่าย…
ทว่าบัดนี้พวกเขามากันเยอะแยะขนาดนี้ น้องสาวผู้นี้ก็ใจกว้างเช่นนี้ ถึงขั้นมอบให้คนละชิ้น ช่างชวนให้…
อดรู้สึกว่ามโนธรรมในจิตใจไม่สงบสุขขึ้นมาไม่ได้
“แม่นางซ่งช่างฉลาดเฉลียวและมีทักษะฝีมือดีจริงๆ จึงได้นำเส้นใยของใบไม้คงสภาพไว้ได้อย่างประณีตเช่นนี้ ข้าคิดว่า ใช้มันทำเป็นที่คั่นหนังสือ ออกจะสบายตากว่าใบไม้ทองคำ ใบไม้เงินเหล่านั้นมาก” เหลิ่งต้าหลางหัวเราะเล็กน้อย ดูคล้ายว่าจะสื่อถึงบางอย่าง จากนั้นก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “แม่นางซ่ง ที่คั่นหนังสือนี้ใบละเท่าไรหรือ”
“ยี่สิบอีแปะเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวทันควันอย่างตรงไปตรงมา
“แค่ใบไม้ใบเดียว ขายแพงขนาดนี้เชียวหรือ แม่นางซ่งดูเหมือนถนัดหาเงินอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นเจ้าขายผลไม้ป่า ก็ขายในราคาสูงลิ่วเช่นกัน” ลู่ข่ายยิ้มเยาะ
ซ่งอิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ธัญพืชก่อนมันจะเจริญเติบโต ก็เป็นเพียงหนึ่งเมล็ดกล้าเท่านั้น ของที่ข้าขายแม้ว่าเป็นเพียงใบไม้หนึ่งใบ แต่ใบไม้นี้ต้องไปเก็บมา ต้องล้าง ต้องต้ม แล้วยังต้องแปรงมันอีกด้วย เนื้อใบไม้ของแต่ละใบล้วนผ่านการจัดการให้สะอาดอย่างระมัดระวังโดยผู้อาวุโสในหมู่บ้าน…คุณชายลู่คิดว่าแพง ทำใจซื้อไม่ลง เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องซื้อ แต่พูดจาก้าวร้าวใส่คนอื่นเช่นนี้ ไม่ดูเป็นสิ่งที่ปัญญาชนเขาไม่ทำกันเกินไปหน่อยหรือ”
แม้ว่านางใส่หมวกอยู่ แต่น้ำเสียงน่าฟังเหลือล้น ขณะนี้นางดูไม่รีบไม่ร้อน แต่กลับพูดจนลู่ข่ายสีหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายขึ้นมาเล็กน้อย
“มิใช่ข้าทำใจซื้อไม่ลง เพียงแต่ไม่เข้าตาก็เท่านั้น!” ลู่ข่ายกล่าว
ซ่งอิงหัวเราะเบาๆ “จริงสิ ใต้หล้านี้มีคนที่ไร้มารยาทเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่ซื้อของข้าแล้วยังไม่ยินยอมให้ข้าขายได้อีก สมกับที่ในตระกูลคุณชายมีผู้เป็นขุนนาง บัดนี้ยังสอบขุนนางไม่ได้ก็เลียนแบบญาติผู้ใหญ่ควบคุมชาวบ้านเสียแล้ว ท่านพี่ สหายร่วมห้องเรียนของท่านผู้นี้ช่างแปลกมากจริงๆ”
“คุณชายลู่ ดูเหมือนว่าน้องสาวข้าก็ไม่เคยมีความบาดหมางกับเจ้ามาก่อน นางลำบากตรากตรำลากสิ่งของมาตั้งหนึ่งคันรถเยี่ยงนี้ ควบรถเกวียนจากหมู่บ้านมายังตัวอำเภอ ไม่ใช่เพื่อมาแบกรับการดูถูกเหยียดหยามกันเสียดื้อๆ ของเจ้าหรอกนะ!” ซ่งสวินมองอีกฝ่ายด้วยแววตาโมโหเช่นกัน
เหลิ่งต้าหลางได้ยินดังกล่าว หัวเราะเล็กน้อย “แม่นางซ่งอย่าโมโหไปเลย ข้ารู้สึกว่าใบไม้นี้ไม่แพงแต่อย่างใด สิ่งของที่ดูสวยงามเช่นนี้ หากวางไว้ในหนังสือก็จะชวนให้คนจิตใจสงบ อดอ่านหนังสือมากขึ้นอีกหน่อยไม่ได้ ก่อนหน้าข้าได้ยินพี่ชายเจ้าเอ่ยว่า ในครอบครัวเจ้ายังต้องเลี้ยงดูลูกคนหนึ่งซึ่งไม่ง่ายเลย พวกเราแม้ไม่ถึงกับเป็นสุภาพบุรุษผู้อ่อนน้อม แต่ก็ไม่เอาเปรียบคนตัวเล็กๆ แน่นอน ใบไม้นี้ข้าชอบอย่างยิ่ง ไม่สู้แม่นางขายให้ข้าอีกสักสองสามใบจะดีกว่า”
“หลางจวินท่านนี้ช่างจิตใจดีงามจริงๆ! เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าราคาถูกหน่อยแล้วกัน!” ซ่งอิงแสดงท่าทางดีอกดีใจอย่างยิ่ง
คนอื่นมองเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเกรงใจที่รับสิ่งของเอามาเปล่าๆ
โดยเฉพาะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์นับว่าไม่เลวกับซ่งสวิน บัดนี้ก็ยิ้มแย้มเดินมาหาและต้องการซื้อไปสักสามสี่ชิ้นเช่นกัน
ลู่ข่ายอยากจะเดินหนี เพียงแต่ยามนี้ยังไม่เห็นว่าน้องสาวซ่งสวินหน้าตาเป็นอย่างไร…
หลังขบคิด ลู่ข่ายก็กล่าว “เจ้าทำกิจการค้าขาย เอาผ้าคลุมหน้าไว้ตลอดนี่ออกจะดูไม่ค่อยจริงใจสักเท่าไรเลย…”
ซ่งอิงชะงักมือทันใด
พร่ำพูดอยู่นานเนและไม่ยอมไปเสียที แท้จริงแล้วเพราะอยากเห็นหน้าตานางว่าเป็นเช่นไร?
ซ่งอิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเป็นอันเข้าใจได้
คนผู้นี้เคยเห็นนางทะเลาะมีปากเสียงกับเจียงจื่อชางผู้นั้น คาดว่าก็รู้เช่นกันว่านางหน้าตาไม่ดี จึงอยากจะให้นางถอดหมวก จากนั้นให้พี่ชายนางอับอายขายหน้าต่อหน้าฝูงชน?
ตอนที่ 426 อย่าไปมองสิ่งที่ค้านกับมารยาทและความดีงาม
ขณะนี้เอง ซ่งอิงรู้สึกเพียงคนเหล่านี้ไม่ต่างกับพวกที่มีความคิดเป็นเด็กน้อยกลุ่มหนึ่ง มิน่าล่ะ หัวโจกอายุไม่น้อยแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่ได้เป็นถงเซิงด้วยซ้ำ
“ลู่ข่าย หากเจ้ามิได้มาเพื่ออุดหนุนกิจการ ก็เชิญเจ้าไปเสียเถิด อย่าได้มายุ่งกับน้องสาวข้า” ซ่งสวินบันดาลโทสะขึ้นมาเสียแล้ว
ซ่งอิงไม่ได้โมโหแต่อย่างใด นางเพียงมองคนเหล่านี้อย่างเฉยเมย
“ข้าเคยอ่านหนังสือมาไม่กี่เล่ม แต่ก็เคยได้ยินมาเช่นกันว่าอย่าไปมองสิ่งที่ค้านกับมารยาทและความดี แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ที่หน้าประตูสถานศึกษาแห่งนี้จะมีผู้เล่าเรียนหนังสือที่อยากจะถอดหมวดของสตรีอยู่ด้วย…” ซ่งอิงเลิกคิ้ว “หรือไม่ท่านพี่ช่วยไปถามไถ่ท่านอาจารย์ที่แห่งนี้แทนข้าทีว่า สั่งสอนนักเรียนกันเช่นนี้หรือ”
“…” ลู่ข่ายหนังตากระตุก รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
เมื่อครู่เขาก็แค่ปากไว ไม่ทันได้อดกลั้น
แต่หากไม่พูดเช่นนี้ แล้วจะให้เขาเดินเข้าไปกระชากหมวกลงมาหรือ
นั่นมันไม่เหมาะสมน่ะสิ?
ในใจลู่ข่ายรู้สึกอับอายเล็กน้อยเช่นกัน เพียงแต่วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกไปแล้วก็ไม่ต่างจากน้ำที่สาดออกไป ตอนนี้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
คนอื่นได้ยินคำพูดนี้ก็ลนลานทำอะไรไม่ถูก หากให้ท่านอาจารย์รู้ว่าพวกเขาแห่กันมาก็เพื่อดูว่าน้องสาวของซ่งสวินหน้าตาเป็นอย่างไร เช่นนั้นเกรงว่าพวกเขาจะต้องได้รับโทษกันถ้วนหน้าแน่
“พี่ลู่ เอาเป็นว่าพวกเรา…หยุดไว้แต่เพียงเท่านี้จะเหมาะสมกว่า เดี๋ยวเรื่องไปถึงหูของท่านอาจารย์ เกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้” มีคนกระซิบอยู่ข้างกายลู่ข่าย “ดีที่แม่นางซ่งมาขายของ ไม่สู้…ซื้อใบไม้เอาไว้สักสองสามใบจะดีกว่า เพื่อที่เดี๋ยวซ่งสวินไปฟ้องท่านอาจารย์ เรายังพอพูดชี้แจงให้กระจ่างได้”
หากซื้อของแล้ว เมื่ออาจารย์ถามขึ้นมาอีก พวกเขาก็บอกว่าตนเห็นที่คั่นใยใบไม้สวยดีจึงได้เดินมาดู
จะเป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมรับเป็นอันใช้ได้ อีกอย่าง ยามที่ซื้อของพูดคุยกับผู้ขายสักสองสามประโยคก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรที่เกินไปเช่นกัน
จะอย่างไรก็ดีกว่าจงใจเดินมาแล้วยั่วยุอีกฝ่าย
ลู่ข่ายสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด
บิดาให้เขาเข้ามาเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้ก็เพื่อให้เขาได้คบหาสมาคมกันผู้คน ได้เรียนรู้กฎเกณฑ์ระเบียบปฏิบัติ หากแพร่งพรายไปถึงหูบิดา บิดาย่อมต้องผิดหวังอย่างยิ่งเป็นแน่ อีกทั้งยังเป็นการพูดคุยกับสตรี ไม่แน่ว่าบิดาเขาจะยังคิดเลยเถิดอีกด้วย…
ลู่ข่ายรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย ตนใจร้อนเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ หลังลองครุ่นคิดดู ท้ายที่สุดก็เอ่ยพูดขึ้นมา “ข้าซื้อด้วยเช่นกัน…”
“เอากี่ใบล่ะ” ซ่งอิงยิ้มกริ่ม “ทว่าที่บ้านคุณชายยังมีใบไม้ทอง ใบไม้เงิน และใบไม้หยกอีกด้วย ใบไม้จากธรรมชาติที่ไม่ได้โดดเด่นเช่นนี้ของข้า…อย่าซื้อเลย คิดๆ ดูแล้วคุณชายก็แค่รู้สึกนึกสนุกเห็นเป็นของแปลกตา หรือไม่ก็แค่ซื้อเอากลับไปสักแผ่นพอเป็นพิธีเท่านั้นเอง ซื้อใบไม้จากทางด้านนี้ไป พอไปถึงทางด้านนั้น…ก็โยนทิ้งแล้วกระมัง”
“หากเป็นลักษณะนี้ เห็นแก่ความที่คุณชายเป็นสหายร่วมห้องเรียนกับพี่ชายข้า ข้าขอเอาใบไม้ที่จะมอบให้เจ้าโดยไม่คิดเงินเมื่อครู่นี้ให้เจ้าไปจะดีกว่ากระมัง” ซ่งอิงกล่าว ราวกับเป็นการทำทานก็ไม่ปาน
คำพูดดังกล่าวของนางดูคล้ายเป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจ แต่ในการรับรู้ของลู่ข่ายกลับทิ่มแทงใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เขาคิดเช่นนี้จริง ซื้อเอามาหนึ่งใบเพื่อใช้รับมืออาจารย์ผู้สอนหนังสือ
แต่ตอนนี้ถูกน้องสาวซ่งสวินพูดเสียขนาดนี้แล้ว กลายเป็นเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เห็นได้ชัดว่าเขาเหมือนคนที่ตกอยู่ในฐานะต่ำต้อยก็ไม่ปาน
ลู่ข่ายหยิ่งผยองมาแต่ไหนแต่ไร บัดนี้มองเห็นบรรดาสหายรอบข้างซื้อใบไม้ไปอย่างน้อยสุดก็สามถึงห้าใบ และซ่งสวินใช้สายตาชิงชังมองมายังตน ทันใดนั้นความเดือดดาลก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
“ไม่ถึงขั้นต้องมอบให้โดยไม่คิดเงินหรอก ในเมื่อเป็นน้องสาวของสหายร่วมห้องเรียน ข้าจะอุดหนุนเสียหน่อยก็คือสิ่งที่พึงกระทำเช่นกัน” ลู่ข่ายกล่าว
“ได้ยินว่าในตระกูลพี่ลู่สะสมหนังสือเอาไว้มากมายทีเดียว ในเมื่ออุดหนุนกิจการทั้งที เช่นนั้นจะซื้อน้อยๆ มิได้เชียวนะ” เหลิ่งต้าหลางหัวเราะ
ลู่ข่ายพลันหนักใจ “ยังมีสหายร่วมชั้นเรียนอีกไม่น้อยที่ไม่ได้มาด้วย ข้าซื้อกลับไปมอบให้พวกเขาสักหน่อยก็ได้ รบกวนแม่นางซ่งช่วยเลือกให้ข้าสักหนึ่งร้อยชิ้นแล้วกัน”
หนึ่งร้อยชิ้น ทุกคนตกตะลึง
ลู่ข่ายบ้าไปแล้ว
ลู่ข่ายกลับคิดอยู่ในใจว่า บิดาเขาให้เขาผูกมิตรสัมพันธ์กับสหายไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเขาซื้อของเล็กๆ น้อยมอบให้ก็ได้เช่นกัน
ซ่งสวินมีความสัมพันธ์อันดีงามกับผู้อื่นได้ ก็ไม่ใช่เพราะปกติแต่ละวันมีของกิน ของดื่มอะไร ก็มักจะใจกว้างมอบให้คนอื่นได้ลิ้มชิมรสด้วยเช่นกันไม่ใช่หรือ