ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 443 อยู่บ้านเอาแต่นอน ตอนที่ 444 ลอบคิดเปรียบเทียบ
- Home
- ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล
- ตอนที่ 443 อยู่บ้านเอาแต่นอน ตอนที่ 444 ลอบคิดเปรียบเทียบ
ตอนที่ 443 อยู่บ้านเอาแต่นอน
ซ่งเสี่ยนครั้นได้ยินว่าบิดาเขามา จึงเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าตัวเก่าเป็นการเฉพาะ บนเสื้อผ้านอกจากมีรอยปะแล้ว ยังไปห้องครัวเอาขี้เถ้าถูๆ ไว้อีกด้วย ทำผมเผ้ายุ่งเหยิง มองดูเหมือนลูกสะใภ้ผู้น่าสงสารที่ถูกตระกูลเผยข่มเหง
เดิมทีซ่งเหล่าเกินก็สะเทือนใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว ลูกสะใภ้บ้านใครบ้างแต่งเข้าตระกูลไปแล้วไม่ต้องทำงาน
เผยซื่อผู้นั้นเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ตระกูลเผยก็อบรมสั่งสอนออกมาได้เพียงลักษณะเช่นนั้น แต่ตระกูลซ่งพวกเขาจะให้ขายหน้าคนอื่นไม่ได้ ในเมื่อไปเป็นลูกเขยแต่งเข้าตระกูลคนอื่นแล้ว ก็สมควรแสดงความเคารพและตอบแทนคุณผู้อาวุโสก็ดี ทำงานเลี้ยงครอบครัวก็ดี นั่นล้วนเป็นสิ่งที่พึงกระทำทั้งสิ้น
ขอเพียงไม่ลงไม้ลงมือทุบตีจนพิกลพิการไป เช่นนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร
อีกทั้ง ตระกูลเผยก็ย่อมไม่กล้ากระทำทารุณอย่างโจ่งแจ้งเป็นแน่เช่นกัน มิเช่นนั้นจะถูกผู้คนนินทาว่าร้ายลับหลังเอาได้
หลานชายจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายได้หรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง ซ่งเหล่าเกินในฐานะปู่คนหนึ่ง ก็ถือว่าช่วยปูทางให้ซ่งเสี่ยนไว้อย่างดีแล้ว ลองถามบนโลกนี้ดูสิว่า ยังมีตระกูลไหนยกลูกเขยให้ตระกูลอื่นเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจอันสูงสุดบ้าง หากนี่ยังไม่อาจมีชีวิตสุขสบายได้ ก็คงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าตัวเขาเองรู้จักเอาแต่นอนอยู่ในบ้านเท่านั้น ซึ่งนั่นมันไม่เอาไหนเลยสักนิด!
ซ่งฝูซานไม่ได้คิดมากเท่าบิดาเขา
เมื่อมองเห็นบุตรชาย ก็อดไม่ได้รู้สึกปวดใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แต่เขากลับไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ อ่อนไหวง่ายและช่างไตร่ตรอง ในแง่ของการอบรมสั่งสอนบุตรชาย แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นการ…ให้เงิน ไม่ได้ถามให้มากความ
ดังนั้นขณะนี้ ก็แค่มองออกว่าใบหน้าบุตรชายดูสกปรกเล็กน้อย แต่ไม่ได้นึกคิดอย่างละเอียดไปมากกว่านี้
“ท่านพ่อ รวบรวมเงินมาได้แล้วหรือ” ซ่งเสี่ยนเอ่ยปากขึ้นมาก็ซักถามทันที
ซ่งฝูซานส่ายหน้า “ต้าหลาง ข้ามาก็เพื่อบอกเจ้าว่า เงินน่ะไม่มีหรอก ปู่เจ้าเอาเงินค่าแรงของข้าไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่เหลืออยู่ในมือเลยแม้แต่น้อย”
ตามจริงก็ยังพอมีอยู่สามสิบสี่สิบอีแปะ ทว่าปกติแต่ละวันเขาก็ต้องใช้จ่ายเช่นกัน
“อะไรกัน” ซ่งเสียนตะลึงงัน “ท่านพ่อ มิใช่พูดกันไว้ดิบดีแล้วหรือว่าจะให้ข้าห้าตำลึงเงิน ไฉนท่านจึงไม่รักษาคำพูด”
“เจ้ายังจะว่ากันอีกหรือ ตอนนี้ข้าก็ชักหน้าไม่ถึงหลังเช่นกัน เจ้าอยู่ดีๆ ไปหาเรื่องท่านปู่เจ้าทำไมเล่า คิดว่าเขาเป็นหุ่นปั้นที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกหรือไร” ซ่งฝูซานไม่สุขใจแล้วเช่นกัน “เอาแต่จะขอเงิน ขอเงิน ที่ผ่านมาข้าก็ให้เงินเจ้ามาไม่น้อยแล้วเช่นกัน เมื่อก่อนแต่ละเดือนอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งตำลึงเงิน หากข้าเป็นเจ้า บัดนี้ก็น่าจะเก็บเงินได้ยี่สิบสามสิบตำลึงเงินแล้วสิ แล้วเงินเจ้าเล่า ไปไหนหมด”
หากตนไม่ใช่พ่อ ตอนนี้เขายังอยากจะเอ่ยปากขอยืมเงินจากซ่งเสี่ยนสักหน่อยเลยด้วยซ้ำ
เฮ้อ ชีวิตที่ไม่มีเงินแล้วจะดำเนินไปได้อย่างไร!
“ท่านพ่อ! นี่ตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรของท่าน ข้าบอกแล้วอย่างไรล่ะว่าข้าไม่มีเงินแล้ว ตอนนี้อยู่บ้านตระกูลเผยจะกินจะดื่มล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น ข้าไม่อาจกินอยู่ด้วยเปล่าๆ หรอกกระมัง ท่านจะให้คนอื่นมองข้าอย่างไรเล่า!” ซ่งเสี่ยนร้อนใจเช่นกัน
บิดาเขาเป็นความหวังเดียวของเขา
ซ่งฝูซานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าว “ต้าหลาง แม้ว่าพ่อก็สงสารเจ้า แต่เรื่องในบ้าน ท่านปู่เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ ตอนนี้เจ้าเป็นคนของตระกูลเผย อยู่กินที่ตระกูลเผยนั่นก็คือสิ่งที่สมควร เจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกเกรงใจไปหรอก อีกอย่าง ตระกูลเผยติดค้างเจ้าด้วยซ้ำ”
“ท่านพ่อ? แม้แต่ท่านก็ไม่ช่วยข้าแล้วหรือ” ซ่งเสี่ยนพลันลนลานไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
“ไม่ใช่ไม่ช่วยเจ้า เจ้าดูต้ายา[1]สิ ออกเรือนไปตั้งนานขนาดนี้แล้ว ทางด้านครอบครัวฝั่งมารดาเคยให้เงินค้ำจุนนางมาก่อนหรือไม่ ในขณะที่เจ้า ทุกเทศกาลประจำปีวนมาบรรจบยังไม่รู้สึกซื้อของมาแสดงความกตัญญูต่อข้าและแม่เจ้าบ้างสักนิดเลย บัดนี้…พ่อก็ต้องเก็บออมเงินเอาไว้ให้น้องชายเจ้าเช่นกัน ไม่อาจดูแลเจ้าได้แล้วจริงๆ” ถ้อยคำที่ซ่งฝูซานกล่าวออกจะไร้เยื่อใยเล็กน้อย
แต่ตัวเขาเองคิดว่าความคิดนี้ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
บุตรชายที่เป็นเขยแต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงก็ไม่ต่างจากน้ำที่สาดออกไปแล้ว เช่นนั้นจึงไม่อาจเอากลับคืนมาได้แล้วเช่นกัน
เขาให้เงินใช้จ่ายนั่นคือน้ำใจอย่างหนึ่ง หากจะไม่ให้ บุตรชายคนโตก็ไม่อาจตำหนิโทษเขาได้เช่นกัน
อีกอย่าง เหนือหัวเขายังมีบิดาอยู่ทั้งคน จะอย่างไรก็ไม่อาจอกตัญญูได้เช่นกันกระมัง
“พูดมาตั้งมากมายขนาดนี้ หมายความว่าท่านก็ดูถูกข้าแล้วเช่นกันสินะ! ท่านพ่อ ท่านช่างใจร้ายใจดำมากจริงๆ ทั้งครอบครัวพวกท่านล้วนใจอำมหิตทั้งนั้น!”
“ไม่ให้เงินก็คือใจอำมหิตเช่นนั้นหรือ” ซ่งฝูซานสีหน้าเย็นชา “ใครสอนให้เจ้าไม่รู้ความถึงเพียงนี้ ข้าเป็นพ่อเจ้า ข้ายังรอให้เจ้าตอบแทนคุณข้าด้วยซ้ำ! ข้าอุตส่าห์ไม่รังเกียจเจ้าที่ไม่ได้ทำอะไรให้ครอบครัวบ้างเลย เจ้ากลับกล้าดีรังเกียจข้าแล้วรึ!”
ตอนที่ 444 ลอบคิดเปรียบเทียบ
ก่อนหน้านี้ซ่งฝูซานยินดีมอบเงินให้ นั่นเพราะรู้สึกว่าบุตรชายถูกขับไล่ออกไปเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเวทนาจริงๆ หากเขามีเงิน จะช่วยเหลือเล็กๆ น้อยบ้างก็ได้เช่นกัน แต่ในความเป็นจริง เขาก็ไม่มีเงินเช่นกันนี่?!
ในเวลานี้เอง ซ่งฝูซานเดินไปเสียดื้อๆ แล้ว
ซ่งเสี่ยนมองแผ่นหลังของบิดาแท้ๆ พลันรู้สึกหมดหนทางอย่างยิ่ง
เขายังจะพึ่งพาใครได้อีกหรือ
ขณะที่เขาคิดอยู่ เผยซื่อก็เดินออกมาหาจากด้านใน ขมวดคิ้วมองเขา “เอาเงินมาไม่ได้อีกแล้วหรือ”
ซ่งเสี่ยนนิ่งเงียบ
“ต้าหลาง ข้าไม่อยากเอาแต่บ่นเจ้าหรอกนะ แต่ท้องข้านี่อีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้ว หรือว่าจะให้พ่อแม่ข้าเลี้ยงลูกของเราจริงๆ หรือ…หรือไม่ เจ้าไปหางานสักอย่างทำเถอะ?”
“ข้าจะหาดู” ซ่งเสี่ยนกัดฟันแน่น
พึ่งพาคนอื่นไม่ได้ เขาพึ่งพาตัวเองก็ได้!
โรงย้อมสีตั้งมากมาย เขาจะหาสักแห่งไปทำงานด้วยไม่ได้เชียวหรือ ต่อให้ไม่ไปโรงย้อมสี เขาไปตามภัตตาคารก็ย่อมได้กระมัง?
ความเป็นจริงคือการหางานไม่ง่ายเลยจริงๆ งานที่ไม่ต้องใช้แรงงานมากเท่าไรก็ต้องใช้สมองและฝีปาก อย่างเช่นเสี่ยวเอ้อร์ที่คอยวิ่งส่งอาหาร ต้องปากหวานเห็นผู้คนแล้วยิ้มแย้มจึงจะได้เรื่อง หรือไม่ก็งานทางห้องบัญชีที่รู้จักคิดคำนวณบัญชี แต่ซ่งเสี่ยนแม้ว่าเล่าเรียนหนังสือ ทว่าทักษะความสามารถจัดอยู่ระดับธรรมดา สิ่งที่อาจารย์สั่งสอนก็เอาคืนไปหมดแล้วด้วย
ซ่งเสี่ยนหางานอยู่หลายวัน ท้ายที่สุดไปทำงานลูกจ้างที่ร้านข้าวสารช่วยขนย้ายสินค้า ไม่ต้องการเรี่ยวแรงมหาศาล แค่เป็นผู้ชายก็ทำได้ แน่นอนว่าเงินค่าแรงก็น้อยนิดเช่นกัน วันหนึ่งได้เพียงสามสิบถึงห้าสิบอีแปะเท่านั้น และมีอาหารให้กินหนึ่งมื้อ
แต่แม้งานลักษณะเช่นนี้ การจะหาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
พอนายจ้างมองดูเขามากหน่อยก็กลอกตามองบนใส่ ซ่งเสี่ยนจึงไม่กล้าปฏิเสธแล้วเช่นกัน
ส่วนทางด้านบ้านซ่งนี้ ระยะนี้ยังคงสงบสุขดี
ซ่งอิงมอบหน้าที่หนึ่งให้ซ่งต๋า
ระยะนี้ซ่งต๋ามักจะกลับบ้านซ่งอยู่เสมอ ทั้งยังเอ่ยเสนอความต้องการเสียมากมายด้วยเช่นกัน
“ท่านแม่ ข้าอยากได้รองเท้าที่สะอาดๆ สักคู่หนึ่ง”
“ท่านแม่ เสื้อผ้าบนตัวท่านเก่าเกินไปแล้ว ท่านเลียนแบบอาสะใภ้สี่ที่สะอาดสะอ้านสักหน่อยได้หรือไม่”
“ท่านแม่ ข้าจำได้ว่าท่านมีปิ่นเงินที่สวยๆ หนึ่งเล่ม ไยท่านไม่เอามาประดับเล่า ท่านแม่ ท่านงดงามที่สุดแล้ว!”
เมื่อใดที่ซ่งต๋าเลิกเรียน ก็จะห้อมล้อมอยู่รอบกายเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ ยามนี้ เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ทำงานมาแล้วตลอดทั้งวัน กำลังพักผ่อนสบายๆ
ซ่งต๋าตอนนี้ก็ถือว่าขยันขันแข็งไม่เบา เมื่อเห็นเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่เหน็ดเหนื่อยก็รีบวิ่งไปจัดการงานบ้านทั่วไปทำให้เสร็จสรรพ จากนั้นคะยั้นคะยอให้เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่แต่งเนื้อแต่งตัวให้ตัวนางเองเสียบ้าง
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ดื้อรั้นสู้บุตรชายไม่ได้
โดยเฉพาะเป็นซ่งต๋าที่ปากหวานเสียยิ่งกว่าอะไรดี ประเดี๋ยวกล่าวว่าไม่เคยเห็นตอนแม่เขาตอนที่ยังสาวๆ อยากจะเห็นเสียหน่อย ประเดี๋ยวเอ่ยว่าเขาพนันกับคนอื่นเอาไว้ว่า แม่ของตัวเองเป็นคนงดงามที่สุด เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ต่อให้ใจแข็งดุจศิลา ยามนี้ก็ยอมให้ลูกชายเสียหน้าคนอื่นไม่ได้เช่นกัน ทันใดนั้นก็จัดการแต่งเนื้อแต่งตัวให้ตนเองจนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
ระหว่างช่วงเวลานี้ ซ่งอิงยังขอให้หร่วนซื่อกลับมาบ้านด้วย
ที่หร่วนซื่อสวมใส่บนเรือนร่างไม่ถึงกับเป็นเนื้อผ้าราคาแพง แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ที่สำคัญคือ บนศีรษะไม่ใช่ปิ่นไม้หนึ่งด้ามอีกแล้ว หากแต่เปลี่ยนไปเป็นปิ่นเงินยิ่ง นอกจากนี้ยังมีกำไลหนึ่งวงบนข้อมือ และรองเท้าปักลายนั่นยิ่งแล้วใหญ่
หร่วนซื่อรู้สึกเกรงใจเล็กน้อยเช่นกัน กลัวว่าคนอื่นจะรู้สึกว่านางกลับบ้านมาเพื่อโอ้อวด
แต่ซ่งอิงต้องการให้ทำเช่นนี้
ทั้งเนื้อตัวนี้ดูสะดุดตาอย่างยิ่ง แน่นอนละว่า ที่ทิ่มแทงได้มากที่สุดยังคงเป็นหัวใจของเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่นั่นเอง
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยคิดว่าจะด้อยกว่าน้องสะใภ้ ดังนั้นเมื่อมองเห็นภาพลักษณ์หร่วนซื่อเช่นนี้ เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ก็เกิดการเปรียบเทียนขึ้นมาในใจแล้วจริงๆ
บัดนี้ครอบครัวนางแม้ยังติดค้างหนี้สิน แต่อาศัยเงินของสามีจ่ายหนี้ เอาเงินของนางมาดูแลในครอบครัว ก็ยังถือว่าใช้จ่ายได้คล่องมือสบายๆ
บ้านสี่ไม่ต้องเอ่ยถึง เดิมทีก็เป็นลูกสะใภ้ผู้อ่อนโยนบอบบางคนหนึ่ง…
ในเวลาเพียงไม่กี่วัน รูปลักษณ์โดยรวมของตระกูลซ่งก็เปลี่ยนไปแล้ว
ยกเว้นก็แต่เจียวซื่อที่ยังคงแต่งกายซอมซ่อ ไม่สนใจในเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว
ในยามนี้เอง ซ่งอู่และซ่งซานยาก็เป็นอันได้เวลาลงสนามใช้งานแล้ว
ซ่งอู่และซ่งซานยาแสร้งเผยท่าทีน่าสงสารอย่างยิ่งต่อหน้าเจียวซื่อและเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ โดยเฉพาะยามที่เจอซ่งต๋าและซ่งคัง ก็จะเผยพฤติกรรมที่ไม่รู้จักเผื่อแผ่เพิ่มขึ้นมา
ก็อย่างเช่นในขณะนี้ ซ่งอิงหยิบผ้าเดินมาสามสี่ผืนเป็นการเฉพาะ และกล่าวว่าเอามาใช้ทำผ้าเช็ดหน้าให้ป้าสะใภ้ใหญ่และเหล่าอาสะใภ้ สีสันก็ให้บรรดาเด็กๆ มาเป็นคนเลือก เลือกเสร็จแล้วไว้เดี๋ยวจะสอนซานยาปักลาย
[1] ต้ายา (大丫) คำเรียกบุตรสาวคนโตในครอบครัว