ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 551 โรคเก่ากำเริบ ตอนที่ 552 กำจัดทิ้งให้สิ้นซาก
ตอนที่ 551 โรคเก่ากำเริบ
เห็นเพียงในซอกอกของฮั่วผิงยังมีสิ่งของอยู่อีกไม่น้อย
เศษกระเบื้องสองสามชิ้น ซึ่งเศษกระเบื้องที่ว่านี้ล้วนถูกขัดจนแหลมคม นอกจากนั้นยังมีกระดูกเล็กๆ สี่ห้าชิ้น ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นของสัตว์อะไร บ้างก็มองดูเหมือนกระดูกกบเขียว ขนาดเล็กกระทัดรัด แล้วยังมีอันหนึ่งที่มองดูเหมือนกระดูกนิ้วมือคน ค้นสิ่งของเหล่านี้ออกมาได้จากอกเสื้อเด็กหนึ่งกลางดึกตื่น ค่อนข้างน่ากลัวไม่น้อย
“นี่เป็นของอะไรกัน เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็กเก็บสิ่งของเหล่านี้เอาไว้ทำไม!” ทุกคนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่อาจมองในมุมมองอย่างที่ว่าเด็กแค่เอามาเล่นสนุกๆ
หมู่บ้านพวกเขา เด็กเกเรที่สุดซึ่งกระทำเรื่องไม่ดี คาดว่าก็มีแค่หนิวซานซาน
หนิวซานซานผู้นี้เมื่อก่อนขึ้นเขาลงห้วยและรังแกเด็กคนอื่น ก่อเรื่องมากมายเชียวละ แต่กลับมีจิตสำนึกขั้นพื้นฐานอยู่บ้างเช่นกัน โดยรู้ว่าจะจับกบเขียวกินไม่ได้ และเล่นฟืนไฟไม่ได้
ฮั่วผิงรีบดิ้นรนขัดขืน แต่กลับขยับไม่ได้
ฮั่วผิงพลันรู้สึกทั้งโมโหทั้งร้อนใจขึ้นมาทันใด “พวกเจ้ากล้าแย่งสิ่งของของข้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสีย! เอาคืนข้ามา! มิเช่นนั้นข้าก็จะฆ่าพวกเจ้าให้ตายให้หมดเลย!”
“…” ซ่งอิงถึงขั้นไม่รู้ว่าควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอยู่ในวัยทองสองขวบหรือไม่
เด็กเล็กจำนวนไม่น้อยที่มามุงดู เมื่อมองเห็นภาพฉากนี้ต่างก็รู้สึก…ขายหน้าเหลือเกิน
เมื่อก่อนยามที่พวกเขาไม่รู้ความ คงไม่ได้มีพฤติกรรมเช่นนี้เหมือนกันหรอกกระมัง
ไม่… ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนี้หรอกน่า พวกเขายังพอรู้จักมียางอายอยู่บ้าง ไม่มีทางเอะอะก็บอกว่าจะฆ่าคนอื่นหรอก! มิเช่นนั้นกลายเป็นอย่างหลี่จิ้นเป่าแล้วจะทำอย่างไรเล่า!
หนิวซานซานที่หลบอยู่ท่ามกลางฝูงชนรู้สึกได้รับผลกระทบมากที่สุด เขาจึงมีสีหน้าแดงก่ำและรู้สึกค่อนข้างอับอาย
“การฆ่าคนเป็นการกระทำผิดกฎหมาย จะถูกทหารขุนนางจับตัวไปตัดหัว ข้าว่าเจ้า…เจ้าพูดจาเหลวไหลให้น้อยหน่อยจะดีกว่า” หนิวซานซานส่งเสียงบอกกล่าว
เดิมทีบิดามารดาของเขายังกังวลใจเกี่ยวกับบุตรชายของครอบครัวตนเองอยู่เลยเชียว ขณะนี้ได้ยินคำพูดดังกล่าวก็รู้สึกโล่งใจ
ฮั่วผิงฟังแล้วรู้สึกสำนึกเสียที่ไหนเล่า ดวงตาเขาแดงฉานเหมือนกระต่าย“เป็นเด็กเป็นเล็กขนาดนี้ไฉนจึงคิดเข่นฆ่าผู้คนเช่นนี้ ไม่ได้การ ต้องเรียกเหมียวซื่อมาถามไถ่ให้ชัดเจน” หัวหน้าหมู่บ้านซ่งขบคิด ก่อนตัดสินใจกล่าว
ขณะนี้เหมียวซื่อกำลังอยู่ระหว่างทาง นางค้นพบว่าลูกชายหายตัวไปมาพักใหญ่แล้ว หลังครุ่นคิดอย่างหนักก็เข้าใจได้ว่าอาจอยู่ที่ทางด้านซ่งอิง แต่ไม่กล้าส่งเสียงเอะอะ หลังได้ยินเสียงฆ้องก็รีบเร่งเดินมา ดังนั้นไม่นานนักก็มองเห็นลูกชายคนเล็กของนาง
เหมียวซื่อพลันตระหนกตกใจเมื่อมองเห็นคนอื่นบีบข้อมือของฮั่วผิงอยู่ รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
นางรีบเดินมุ่งมาคุกเข่าลงตรงหน้าหัวหน้าหมู่บ้านซ่ง “หัวหน้าหมู่บ้านสงสารพวกเราเถอะนะเจ้าคะ! ลูกชายข้าคนนี้ไม่รู้ความ ตื่นตกใจระหว่างการเดินทางและเผชิญความอดอยาก เขากระทำเรื่องบ้าๆ บอๆ ไปบ้าง แต่ไม่ได้กระทำเรื่องไม่ดีด้วยความตั้งใจหรอกนะเจ้าคะ!”
“ตอนกลางวันลูกสาวท่านบอกกับปากเองว่าหากข้าทำให้ฮั่วผิงไม่พอใจก็จะได้เจอดี เห็นได้ว่าลูกสาวท่านรู้อุปนิสัยของฮั่วผิง” ซ่งอิงกล่าวเสริม
หัวหน้าหมู่บ้านซ่งขมวดคิ้วนิ่วหน้า “เหมียวซื่อ เจ้าปิดบังอะไรไว้กันแน่! หากไม่พูดความจริง ทั้งครอบครัวพวกเจ้าก็ไสหัวออกไปจากหมู่บ้านซิ่งฮวาเสีย!”
เหมียวซื่อตระหนกตกใจ
“เปล่า เปล่านะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ปิดบังอันใด…” นัยน์ตาเหมียวซื่อปรากฏความลนลานขึ้นมาชั่ววูบ ก่อนจะรีบกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ลูกชายคนเล็กข้าเพียงแค่มีอาการ…สติไม่ดีเล็กน้อย…”
“ป่วยสติไม่ดีอย่างที่จะฆ่าคนได้ใช่หรือไม่” ซ่งอิงหัวเราะเยาะ
“ลูกสะใภ้ ไฉนเจ้าจึงว่าอาผิงเยี่ยงนี้ได้เล่า!” เหมียวซื่อปั้นหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “เจ้าใช้ชีวิตสุขสบายไร้กังวลมาโดยตลอด ย่อมไม่รู้ว่าพวกแม่ห้าหกคนทุกข์ยากมากเพียงใด! เมื่อก่อนที่บ้านเกิดมีภัยน้ำท่วม ไม่มีกินไม่มีดื่ม ใช้ชีวิตหลบอยู่บนเขาตั้งหลายวัน เหล่าชาวบ้านหิวจนแทบจะต้องกินคนด้วยซ้ำ! ดีที่พวกเราหนีมาไว…”
“ระหว่างทางมานี้มีผู้คนที่หนีความอดอยากไม่น้อยเช่นกัน คนครอบครัวเรานี้ผู้เฒ่าก็แก่ชรา เด็กเล็กก็อ่อนแอ จะแย่งชิงกับคนอื่นเขาได้ที่ไหนกันเล่า…อาผิงหิวอาการป่วยก็เลยกำเริบ ดังนั้นนี่จึงได้เสียสติไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง…ข้ากล้ารับประกันได้ ขอเพียงให้เขากินอิ่มเพียงพอ โรคเก่าจะไม่กำเริบอย่างแน่นอน!” เหมียวซื่อกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ตอนที่ 552 กำจัดทิ้งให้สิ้นซาก
คำพูดที่นางเอื้อนเอ่ยไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมดเช่นกัน
ระหว่างทางนี้เผชิญความทุกข์ยากลำบากมาแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่เพราะภัยจากความอดยากเสียทีเดียว
หลังจากบ้านเกิดมีภัยพิบัติจนอดอยากปากแห้ง ชาวบ้านล้วนมุ่งไปยังพื้นที่ใหญ่ๆ ในครอบครัวนางมีที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์อยู่จำนวนหนึ่ง ขายทิ้งไปเมื่อนานมาแล้ว นับว่าโชคดีทีเดียว มีกินมีใช้ พวกนางหัวแหลมเช่นกัน ไม่กล้าเปิดเผยทรัพย์สิน ดังนั้นก็รอดชีวิตมาได้อย่างปลอดภัย
ได้ยินว่าทางด้านเมืองยงเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง จึงอยากมาถิ่นเมืองยงทางด้านนี้ เพียงแต่…
จู่ๆ ก็โชคร้ายขึ้นมาเสียแล้ว
ยามที่เฉียงจื่อกับสามีนางไปปล้นเจอตอแข็งเข้า สามีนางวิ่งเร็วจึงไม่เป็นไร ทว่าเฉียงจื่ออนาถเชียวละ เงินที่ติดตัวถูกแย่งชิงไปก็ว่าแย่แล้ว มิหนำซ้ำยังถูกทำลายความเป็นชายจนไม่อาจมีทายาทได้อีก
ลากสังขารเจ็บป่วยยังไม่ทันถึงไหนก็เจอโจรภูเขา ทั้งครอบครัวจึงถูกปล้นไปจนสิ้นเนื้อประดาตัว
นางกับสามีทำงานตรากตรำเหน็ดเหนื่อย บุตรสาวนางถูกคนเข้ามาหลอกลวง
บุตรชายคนเล็ก…ฝึกฝนเป็นโจรภูเขามาระยะหนึ่งแล้ว
เดิมทีคิดว่าชั่วชีวิตก็จะต้องดำเนินไปทั้งอย่างนี้ ใครจะรู้ว่าเมืองยงทางด้านนั้นไม่ว่าเจ้าหน้าที่ทางการหลวงตำแหน่งอะไรได้ยินว่าใกล้ๆ มีหัวขโมย ก็จะส่งทหารกระจายกำลังออกมา โจรภูเขาเหล่านั้นยังไม่ทันต่อสู้ก็กลัวหัวหดแล้วหนีไปเสียดื้อๆ ไม่สนใจคนอย่างพวกเขาเหล่านี้ ดังนั้นเดินใจลอยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาถึงอำเภอหลี่แห่งนี้
จากนั้นก็เจอผู้ที่มาพลิกชีวิต…
ผู้พลิกชีวิตกล่าวว่าพวกเขาต้องการเพียงสูตรตำรับ ส่วนทรัพย์สมบัติในบ้านของซ่งอิงล้วนเป็นของนางทั้งหมด
นางขานรับโดยไม่แม้แต่จะคิด
นางรู้สึกว่า ชีวิตที่ดีๆ ของนางกำลังมาเยือนแล้ว!
หัวหน้าหมู่บ้านสงสารสมาชิกทั้งครอบครัวนี้ที่เดินทางมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากเช่นกัน แต่…อย่างไรเสียฮั่วผิงผู้นี้ก็ป่วย จะปล่อยปละให้เขาออกมาเจอผู้คนได้อย่างไรเล่า
กินอิ่มและได้สวมอาภรณ์อุ่นๆ พูดน่ะง่ายดาย จากสถานการณ์ของครอบครัวฮั่ว ณ ปัจจุบัน นอกจากซ่งอิงเลี้ยงดูก็คงไม่มีทางเป็นไปได้ อีกอย่าง ต่อให้ไม่อดอยากแล้วก็ไม่กล้าพูดเช่นกันว่าหลังฮั่วผิงได้รับการกระตุ้นแล้วจะอาการป่วยกำเริบได้หรือไม่น่ะสิ!
แน่นอนละว่า หัวหน้าหมู่บ้านซ่งไม่คิดจะให้ซ่งอิงเลี้ยงดูพวกเขาเช่นกัน
เขาได้ยินมาแล้วเช่นกันว่าคนครอบครัวนี้ตอนกลางวันก็ก่อเรื่องมาแล้วสองครั้ง ไม่ใช่ผู้ที่ซื่อตรงแต่อย่างใด
“หัวหน้าหมู่บ้าน ในเมื่อคนผู้นี้ป่วย เช่นนั้นจะยิ่งเอาไว้ในหมู่บ้านพวกเราไม่ได้เด็ดขาด! วันนี้วางเพลิงแล้วพรุ่งนี้เล่า หากเขาเคียดแค้นขึ้นมาแล้วเผาหมู่บ้านเรา เราจะไปร้องทุกข์กับใครได้!” มีคนเอ่ยปากพูด
“แต่เด็กในวัยแค่นี้ แม้ว่าส่งไปที่ว่าการอำเภอก็แค่ได้รับโทษปรับเงินเล็กน้อย แต่เงินนี่พวกเขาก็ไม่มีเช่นกัน หากตอนนี้ปล่อยพวกเขาออกจากหมู่บ้านไป ภายภาคหน้าทำร้ายคนอื่นอีกควรจะทำเช่นไร” หัวหน้าหมู่บ้านซ่งขมวดคิ้ว
ทุกคนนิ่งเงียบไป
“เอาแบบนี้แล้วกัน นับแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าห้ามให้ฮั่วผิงออกจากบ้าน หากใครก็ตามในหมู่บ้านเห็นฮั่วผิงปรากฏตัวอยู่นอกประตูบ้าน ก็จะจับเขามัดตัวแล้วล่ามโซ่เอาไว้ และขับไล่พวกเจ้าออกไป ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้หมู่บ้านซิ่งฮวาอีก!” หัวหน้าหมู่บ้านซ่งกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเอ่ยคำพูดดังกล่าวออกมา เหมียวซื่อถึงกับหน้าซีดเผือด
“จะ จะทำเช่นนี้มิได้…ซ่งอิงเป็นลูกสะใภ้ของครอบครัวข้า นางยังไม่ว่าอะไรเลย…” เหมียวซื่อร้อนใจ
“หากเป็นข้าเอ่ยปาก ข้าคิดว่า…” ซ่งอิงหรี่ตาเล็กน้อยคล้ายกำลังพินิจพิจารณา จากนั้นกล่าว “เรื่องการกระทำผิดเกิดขึ้นได้ในทุกวัย อายุสิบขวบก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว น่าจะรู้ความจึงจะใช้ได้ แต่กลับโหดเหี้ยมเช่นนี้ก็สมควรตีมือให้หักเป็นการสั่งสอนสักหน่อย หากปรับปรุงตัวไม่ได้อีก เช่นนั้นก็กำจัดทิ้งให้สิ้นซาก”
หนิวซานซานที่อยู่บริเวณไม่ไกลออกไปถึงกับตัวสั่นเทา
ส่วนฮั่วผิงยังคงมาดร้ายเช่นเดิม
“เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของสามีเจ้านะ!” เหมียวซื่อกล่าวอย่างโมโห
“ข้าคิดว่า…เป็นน้องชายแท้ๆ หรือไม่ยังมิอาจด่วนสรุปได้” ซ่งอิงเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “ตอนที่ท่านอ้อนวอนหัวหน้าหมู่บ้านอยากจะอยู่ที่นี่ก็เคยนึกถึงสามีผู้ล่วงลับของข้าผู้นั้น แต่หลังจากได้ลงหลักปักฐาน นี่ก็หมดวันหมดคืนแล้ว ไม่เห็นครอบครัวพวกท่านจะถามไถ่ข้าเลยว่าหลุมศพของสามีผู้ล่วงลับของข้าผู้นั้นอยู่แห่งหนใด หากเป็นลูกของท่านจริง…เช่นนั้นควรจะกระโจนไปร้องทุกข์ที่หลุมศพนั่นแล้วกระมัง”
เรื่องนี้ซ่งอิงพลันนึกขึ้นได้เช่นกัน
สตรีในชนบท แม้กระทั่งตอนแรกหลิวซื่อมารดาของหลี่จิ้นเป่า ต่อให้สั่งสอนลูกชายไม่ดีอย่างไร แต่ใจรักและหวงแหนที่มีต่อลูกกลับไม่น้อยกว่าใครหน้าไหน เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าปฏิกิริยาของเหมียวซื่อยังมีไม่มากพอ