ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 629 ลักพาตัวคนไป ตอนที่ 630 จะมีชีวิตอยู่อย่างไร
ตอนที่ 629 ลักพาตัวคนไป / ตอนที่ 630 จะมีชีวิตอยู่อย่างไร
ตอนที่ 629 ลักพาตัวคนไป
ใต้เท้าฮั่วมีความอดทนและใจกว้างต่อขุนนางเบื้องล่างเป็นศูนย์
ประชาชนกระทำผิดได้ แต่ในฐานะนายอำเภอไม่อาจกระทำผิดได้ จำเป็นต้องตั้งใจดำรงตำแหน่งนี้ให้ดี หากทำไม่ดีก็เปลี่ยนคนได้ทุกเมื่อ
นายอำเภอถอนหายใจ “เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือสะใภ้ตระกูลฮั่วผู้นั้นจัดหาคนมาปล่อยข่าวเป็นแน่! แม่นางน้อยผู้นี้ช่างหาเรื่องให้คนโมโหจริงๆ”
“ใต้เท้าขอรับ ท่านต่อว่าเพื่อระบายโทสะก็พอ นี่ผู้คนกำลังพูดลือกันให้ทั่ว ท่านอย่าได้ไปหาเรื่องคนเขาเลย และจะว่าไป ใต้เท้าฮั่วผู้นั้นสรุปแล้วมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเพียงใดเราเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดเลย จำเป็นต้องจัดการเรื่องราวนี้อย่างระมัดระวัง ส่วนคุณชายรองเซว์ผู้นั้น เขามิใช่ผู้ที่อยู่เบื้องบนของท่าน ไม่จำเป็นต้องใส่ใจจนเกินไป ต่อให้แพร่งพรายไปถึงหูบิดาเขาแล้วจะอย่างไรหรือ ลองทบทวนดูท่านก็ไม่ได้กระทำเรื่องที่ผิดแต่อย่างใดนะขอรับ” ซือเหยียกล่าวโน้มน้าว
“ถูกต้อง ร้านว่านหลิงแห่งนั้นไม่เคยกระทำความผิดอันใด เราก็ไม่ควรไปปิดร้านค้าของคนเขาเพียงเพราะคำพูดของคุณชายรองเซว์” นายอำเภอกล่าว
หลังจากนายอำเภอตัดสินใจเรียบร้อยก็ย่อมไม่ส่งคนไปอีกแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ เขายังต้องให้คนไปปฏิเสธข่าวลืออีกด้วย
เขาอธิบายไปว่า ตราบใดที่ร้านว่านหลิงทำกิจการโดยชอบธรรม ทางที่ว่าการอำเภอก็ไม่อาจกระทำการใดส่งเดชได้
ไม่ปล่อยให้คนเอาไปพูดเป็นเรื่องราวใหญ่เลยเถิดแต่อย่างใด
ผลสุดท้ายในวันเดียวกันนั้น คนจำนวนไม่น้อยล้วนชื่นชมท่านนายอำเภอว่าเป็นขุนนางน้ำดีที่มีความชอบธรรมน่าเคารพเลื่อมใส ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลแข็งแกร่ง
ซือเหยียรู้กระจ่างแจ้งในใจว่านายอำเภอแห่งอำเภอหลี่ของพวกเขาท่านนี้ไม่ได้มีพฤติกรรมและคุณธรรมสูงส่งไปสักเท่าไร พูดกันตามหลัก เดิมทีใต้เท้าฮั่วไม่พอใจในตัวใต้เท้าของพวกเขา ต่อมาภายหลังจึงเริ่มจะใจกว้างและอดทนในตัวนายอำเภอผู้นี้ได้บ้าง ซึ่งล้วนเป็นเพราะนายอำเภอของเขาผู้นี้ แม้ว่าไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองและเหลวไหลไปบ้าง แต่ก็รู้จักเชื่อฟังคำสั่ง
หากไม่ไปพัวพันกับพวกตระกูลร่ำรวยและมีอำนาจสูงส่ง นายอำเภอก็เป็นนายอำเภอที่ดีคนหนึ่ง
……
คุณชายรองเซว์ยังคงรอคนมารายงานข่าวดี ผลปรากฏว่ารอมาแล้วหนึ่งวัน ได้ฟังแต่ข่าวเล่าข่าวลือจนเต็มหัวไปหมด
เขาทำชุดน้ำชารวมไปถึงของวางประดับเรือนที่ซื้อมาใหม่ตกแตกไปจำนวนไม่น้อย
“คุณชาย ท่านอย่าโมโหไปเลยนะเจ้าคะ นายอำเภอผู้นี้ไม่รู้ประสีประสา ท่านอย่าเดือดดาลจนพานให้เสียสุขภาพตัวเองเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้ปั้นหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“เจ้าจะไปรู้อะไร! ทางด้านข้าทำสารพัดอย่าง นี่ตั้งกี่วันแล้ว ยังไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าค่าตาสะใภ้ตระกูลฮั่วผู้นั้นเลย!” นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาโมโหที่สุด
เรื่องนี้ก็เหมือนเป็นการบอกกล่าวคนอื่นว่า คุณชายรองตระกูลเซว์อย่างเขาเทียบไม่ได้กับสตรีชนบทคนหนึ่ง
“หากท่านอยากจะเจอนาง…” สาวใช้ครุ่นคิด “ก่อนหน้านี้ผู้ดูแลบ้านเคยบอกไว้มิใช่หรือเจ้าคะว่าตระกูลนางมีเด็กๆ เรียนหนังสืออยู่ในสถานศึกษา เช่นนั้นหากเราจับตัวเด็กมาเป็นตัวประกัน แล้วนางยังจะไม่มารับด้วยตัวเองได้อีกหรือเจ้าคะ”
“จับเด็กมาเป็นตัวประกันรึ” นี่ฟังดูร้ายกาจจะตาย และทำให้เขาดูเหมือนเป็นพวกผู้ร้ายก็ไม่ปาน
ทว่าพอคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าเข้าท่าดี
สตรีผู้นั้นเลวทรามยิ่ง วิธีการทั่วไปใช้ไม่ได้ผลด้วยซ้ำ!
“ในอำเภอหลี่แห่งนี้ คนเล่าเรียนหนังสือชอบไปแห่งหนใดมากที่สุด” คุณชายรองเซว์เอ่ยถาม
ว่ากันตามทั่วไป แต่ละพื้นที่ล้วนมีสถานที่ซึ่งเอามาใช้จัดประชุมกวีเป็นการเฉพาะ ตัวอย่างเช่นทางด้านเมืองหลวงนั่น ได้แก่ สวนเหมย สวนเบญจมาศ ซึ่งก็มีหลายแห่ง แล้วยังมีศาลาเชิงเขา ศาลาริมน้ำและศาลากลางทะเลสาบบัวหลากหลายรูปแบบ
หลังจากผู้ดูแลบ้านมาก็ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา “สถานที่นี้ไม่มั่งคั่งร่ำรวยเหมือนเมืองหลวง ในตัวอำเภอมีภัตตาคารหรูแห่งหนึ่งที่ปกติแต่ละวันผู้เล่าเรียนหนังสือชอบไปที่นั่นมากที่สุดขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าให้คนเหมาสถานที่แห่งนั้นไว้ จากนั้นไปรับตัวคนจากทางด้านสถานศึกษา นอกจากบุตรชายและน้องชายของสะใภ้ตระกูลฮั่ว ก็เอาตัวนักเรียนคนอื่นๆ มาด้วยสักสี่ห้าคน ก็บอกไปว่ามาเรียนรู้เกี่ยวกับการประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาด” คุณชายเซว์กล่าว
เขาไม่อยากจงใจลักพาตัว เพียงแค่แลกเปลี่ยนกันระหว่างคนเล่าเรียนหนังสือเท่านั้น!
“แต่…เด็กๆ ของตระกูลนั้นอายุยังน้อย ได้ยินว่าบุตรชายของสะใภ้ตระกูลฮั่วลักษณะเพิ่งอายุหกเจ็ดขวบ…น้องชายในตระกูลซ่งนางถึงจะไม่ค่อยเด็กแล้ว ประมาณสิบเอ็ดสิบสองปีเห็นจะได้ขอรับ” ผู้ดูแลบ้านกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เด็กที่อายุสิบเอ็ดสิบสองปี ถือว่าเป็นเด็กเล็กกึ่งโต ออกไปเจอะเจอโลกภายนอกได้แล้ว
เพียงแต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีเกียรติคุณเลยสักอย่าง หากเชื้อเชิญมาก็ออกจะดูแปลกประหลาดยิ่งเช่นกัน
“ไปทำตามที่สั่งก็พอ บอกไปว่าข้ารู้สึกว่าเด็กเหล่านั้นน่าสงสาร จึงให้พวกเขาออกมาพบเห็นอะไรใหม่ๆ บ้าง” คุณชายเซว์กล่าวอีกครั้ง
ตอนที่ 630 จะมีชีวิตอยู่อย่างไร
เขาไม่เชื่อหรอกว่าบุตรชายและน้องชายของนางถึงขั้นถูกเขาเชิญมาแล้ว สะใภ้ตระกูลฮั่วผู้นั้นยังจะนิ่งนอนใจได้
เพียงแต่ว่าหลังจากได้เจอะเจอสะใภ้ตระกูลฮั่วแล้วเขาควรทำอะไร…เขายังไม่ได้คิดเอาไว้
โดยหลักๆ แล้วก็คง…ข่มขู่บีบบังคับ ให้คนผู้นั้นเอาวิธีการทำออกมาให้แต่โดยดี
“จริงสิ สามีของสะใภ้ตระกูลฮั่วผู้นี้ทำงานทำการอันใด” คุณชายรองเซว์กล่าวขึ้นอีกครั้ง
เขาค้นพบว่าตัวเองลืมส่วนหนึ่งที่สำคัญไป
ผู้หญิงน่ะ ล้วนเชื่อฟังคำพูดผู้ชายทั้งนั้นมิใช่หรือ หากสามีนางยินยอมก้มหัวขอโทษ แล้วยังต้องสนใจสะใภ้จากตระกูลซ่งอีกหรือ ไม่แน่ว่ากลับบ้านไปนางยังต้องถูกสั่งสอนด้วยท่อนไม้ ซึ่งเขาไม่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจเลยด้วยซ้ำ
“เรื่องนี้…ก่อนหน้านี้เคยให้คนตรวจสอบกับทางที่ว่าการอำเภอแล้วขอรับ เดิมทีสามีของสะใภ้ตระกูลฮั่วดูเหมือนเสียชีวิตไปแล้ว ไม่รู้มีชีวิตขึ้นมาอีกได้อย่างไร ข้าเองก็เคยไปสืบถามจากบ้านผู้อาวุโสฝั่งสะใภ้ตระกูลฮั่วเช่นกัน ซึ่งทางนั้นกล่าวว่าคนผู้นี้ออกไปทำงานต่างถิ่นอีกแล้ว ส่วนที่ว่าไปทำงานที่ไหนก็ไม่ทราบชัดเจนเช่นกันขอรับ…” ผู้ดูแลบ้านงุนงงสับสนเช่นกัน
ว่ากันตามหลัก คนผู้นี้ห่างบ้านไปไกลก็สมควรมีการลงบันทึกไว้ แต่กลับตรวจสอบไม่เจอ
“ช่างเถอะ สะใภ้ตระกูลฮั่วผู้นี้จะต้องเป็นภรรยาขาโหดคนหนึ่งแน่ ชายใดจะอดทนไหว ผู้ชายคนนั้นจะต้องมีหญิงอื่นข้างนอกแล้วเป็นแน่” คุณชายรองเซว์พูดอย่างเข้าใจได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะต่อกรกับสะใภ้ตระกูลฮั่วให้ถึงที่สุด
ลูกน้องเขาไปคอยยังสถานศึกษาด้านนั้นแล้ว
อันเนื่องจากสอบถามไว้แต่เนิ่นๆ เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเหล่าองครักษ์ก็พอจะมองเด็กๆ ของตระกูลซ่งออก
ในสมองคิดแต่ว่าจะต้องพาตัวพวกเขาไป
ฮั่วหลินมองออกแล้วเช่นกันว่าคนพวกนี้มีท่าทีต้องการลักพาตัวคน จึงกล่าวขึ้นมาตรงๆ “ข้าเป็นลูกชายของท่านแม่ข้า ข้าไปกับพวกท่านก็สิ้นเรื่อง ส่วนท่านน้าชายข้าจำเป็นต้องกลับไปรายงานให้ท่านแม่ข้าทราบ ถูกต้องหรือไม่!”
เรื่องใหญ่สักแค่ไหนเชียว!
องครักษ์ครุ่นคิด รู้สึกเหมือนจะเป็นเช่นที่เขากล่าวไม่ผิดเพี้ยน
แค่จับตัวคนให้ได้ก็พอ ส่วนที่ว่าต้องจับกี่คน ตามจริงไม่ได้สำคัญนัก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงพาตัวภูตโสมเดินไปอย่างเปิดเผย
ซ่งต๋าและซ่งอู่รู้สึกเศร้าใจและร้อนใจอย่างยิ่ง เร่งรีบกลับบ้านไปรายงาน แต่อย่างไรก็ตาม ครั้นพ้นประตูเข้าไป กลับมองเห็นภูตโสมนั่งอยู่ในลานบ้านเสียดิบดี จากนั้นคลี่ยิ้มกว้างใส่พวกเขา “ท่านน้าห้า ท่านน้าหก พวกท่านช้าเหลือเกิน!”
“หลานหลิน เจ้า เจ้าถูกจับตัวไปแล้วมิใช่หรือ!” พวกซ่งต๋าสองคนตระหนกตกใจ
เพราะเรื่องนี้ พวกเขาร้องไห้เกือบตาบวมแล้วด้วยซ้ำ
“ข้าวิ่งหนีมาระหว่างทางน่ะสิ” ภูตโสมกล่าวหน้าตาเฉย
ตอนที่จับตัวเขา องครักษ์จับเขายัดเข้าไปในรถม้า ดังนั้นเขาจึงเจาะรถม้าช่องหนึ่งแล้วกระโดดลงไป จากนั้นก็มุดตัวลงไปในดินแล้วไชดินวิ่งกลับมา
มันเป็นปีศาจ ไม่ต้องใช้รูขนาดใหญ่โตสักเท่าไรก็วิ่งเคลื่อนไปได้แล้ว ไม่เป็นที่ดึงดูดสายตาแต่อย่างใด
“ทำข้าตกใจแทบแย่ ข้านึกว่าเจ้า…” ซ่งต๋าถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ครั้งหน้าเจ้าอย่าทำเช่นนี้อีกเชียว! เรายังเป็นน้าหลานกันอยู่เข้าใจหรือไม่ หากเจ้าเป็นอะไรไปแล้วจะให้ข้ากับน้าห้าเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างไร!”
“ครั้งหน้าข้าจะต้องพาพวกท่านไปด้วยแน่นอน” ฮั่วหลินคลี่ยิ้ม
พูดจบ เขาก็หันมามองซ่งอิงอีกครั้งแล้วกล่าว “ท่านแม่ เราต้องหลบไปตลอดใช่หรือไม่ แต่ยังต้องไปเรียนนี่ ครั้งแรกหลบมาได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าครั้งต่อไปจะหลบได้นะขอรับ”
“ไม่ต้อง เขาถึงขั้นมีความนึกคิดลามมาถึงตัวพวกเจ้าแล้ว ข้าหรือจะยังให้อภัยเขาได้ ไว้เดี๋ยวจะทำให้ขาของเขาหักเสียเลย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่กลับบ้านไปหาหมอรักษา” ซ่งอิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
นอกจากฮั่วหลิน คนอื่นๆ ในบ้านล้วนไม่ได้เก็บเอามาคิดเป็นจริงเป็นจัง นึกว่าซ่งอิงก็แค่พูดล้อเล่น
ผู้เฒ่าซ่งกังวลใจอย่างยิ่ง “เจ้าลองดูสิว่าพอจะติดต่อสามีเจ้าได้หรือไม่ ในครอบครัวมีคนเป็นที่พึ่งพิงได้บ้างอย่างน้อยก็จะได้สบายใจหน่อย”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ท่านปู่ก็ถือเสียว่าเขาตายไปแล้วเป็นอันสิ้นเรื่อง” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าเด็กคนนี้!” ซ่งเหล่าเกินถลึงตาใส่นางปราดหนึ่ง
ทั้งเขายังรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เขาอายุปูนนี้แล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้เสียด้วย!
“สาวน้อยเอ้ย ข้าว่านะ เงินทองนี่แม้สำคัญ แต่ถึงอย่างไรชีวิตน้อยๆ ก็สำคัญยิ่งกว่า มิใช่ว่าคุณชายผู้นี้มีชาติตระกูลไม่ธรรมดาหรอกหรือ เราจะแข็งข้อกับคนเขาไปได้สักแค่ไหนเชียว…”