ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 633 ดูถูกดูแคลน ตอนที่ 634 ศักดิ์ศรีสำคัญ
ตอนที่ 633 ดูถูกดูแคลน / ตอนที่ 634 ศักดิ์ศรีสำคัญ
ตอนที่ 633 ดูถูกดูแคลน
ซ่งอิงไม่ได้โกรธเช่นกัน อีกทั้งในทางกลับกัน นางรู้สึกว่าซ่งเหล่าเกินตระหนักรู้เช่นนี้ตามจริงก็ไม่ผิดตรงไหน
อีกฝ่ายให้ข้าวสารถังหนึ่ง หรือข้าวสารเม็ดหนึ่ง ไม่ว่ามากหรือน้อย นั่นล้วนเป็นการให้ทั้งสิ้น ไม่อาจเป็นเพราะให้น้อยจึงรู้สึกว่าคนเขาไม่จริงใจมากพอ ไม่มีเมตตามากพอ
“เจ้าลองพูดมาสิว่าหากเจ้าต่อกรกับคนเขาแล้ว ครอบครัวเราจะเป็นผู้ตัดสินใจแทนเจ้า หรือได้แต่มองดูตาปริบๆ” ซ่งเหล่าเกินกล่าว
แม้ว่าถ้อยคำนี้เป็นการเอ่ยถาม แต่ในความเป็นจริงซ่งเหล่าเกินมีคำตอบอยู่แล้ว
หากต่อกรกันจริง ต่อให้เขาเอาชีวิตผู้เฒ่าที่อายุปูนนี้แล้วเข้าแลกก็ต้องปกป้องเด็กสาวผู้นี้ให้จงได้
ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าซ่งอิงถูกพากลับไปข่มเหงรังแก หากรู้ เขาก็จะเพิ่มความไร้ยางอายลองเอ่ยปากอ้อนวอนดู ไม่อาจปล่อยให้จวนโหวทำร้ายเด็กคนนี้ได้
ไม่ใช่เขาใจดีมีเมตตา แต่เพราะความเป็นคน ความเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง นี่คือสิ่งที่พึงกระทำ
แต่ก็จริงอย่างสมมุติฐานเมื่อครู่นี้…แค่ผู้อาวุโสอย่างเขาคนเดียวออกโรง ไม่จำเป็นต้องส่งไปทั้งครอบครัว
“ท่านแค่มองดูเฉยๆ ก็ดีเหมือนกันเจ้าคะ และข้าเองก็จะไม่ตำหนิโทษท่านแต่อย่างไรด้วย” ซ่งอิงเลิกคิ้ว “จะมีชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยเพียงนี้ทำไมกัน อีกทั้งการที่ท่านคิดอย่างนี้ก็ไม่ถูกด้วยเจ้าค่ะ!”
“ตอนแรกท่านไปขอที่หลบภัย จวนโหวให้สถานที่ให้พักอาศัยชั่วคราวแม้เป็นเรื่องจริง แต่ว่ากันตามตรง บุญคุณนี้ที่จวนโหวให้ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อันใด ท่านช่วยเขาเลี้ยงเด็กเป็นเวลาสิบห้าปี ต่อมายังให้เด็กคนนี้ช่วยขจัดปัญหายุ่งยากอันยิ่งใหญ่ของจวนโหวไปแล้วครั้งหนึ่ง นี่ก็เพียงพอแล้ว! สิ่งที่จวนโหวไม่ควรกระทำเลยก็คือตัดนิ้วเท้าของข้า มิหนำซ้ำยังต้องการเอาชีวิตข้าอีกด้วย” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ยังจะคิดแต่ว่าตัวเองติดค้างคนอื่นเขาอยู่เรื่อยได้ที่ไหนกันเล่า
ติดค้างบ้าบออันใด!
“ท่านปู่ ข้าว่าความคิดท่านเช่นนี้ก็คือความนึกคิดอย่างข้ารับใช้เจ้าค่ะ!”
“ตอนแรกที่ท่านไปขอที่หลบภัย เพราะมีความสัมพันธ์ฉันญาติพี่น้อง จวนโหวนิสัยไม่ดีขับไล่กัน จากนั้นก็จัดให้พวกท่านไปอยู่ในหมู่บ้านไร่สวนแห่งหนึ่งของพวกเขา ชีวิตวันคืนเหล่านั้น ทั้งผู้ใหญ่และเด็กในครอบครัวต้องทำงานอย่างหงุดหงิดใจไม่น้อยกันถ้วนหน้ากระมัง ไม่แน่ว่ายังลำบากเหน็ดเหนื่อยเสียยิ่งว่าอยู่บ้านตัวเองด้วยซ้ำ!
การกินอยู่ของพวกท่านล้วนได้มาด้วยสองมือตัวเอง ต่อให้จวนโหวไม่ออกหน้า ด้วยหัวใจที่อดทนต่อความทุกข์ยากเหน็ดเหนื่อยของพวกท่าน ต่อให้ไปทำงานแถวประตูเมืองก็ไม่ถึงขั้นต้องอดอยากปากแห้งเช่นกัน ไม่แน่ว่าจะได้เงินมากกว่าที่อยู่ในหมู่บ้านไร่สวนของพวกเขาเสียด้วยซ้ำ! หรือท่านว่ามิใช่อย่างที่ข้าพูดเจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าวต่อเนื่อง
“ส่วนหนึ่งร้อยตำลึงเงินนั่น…ท่านขอบคุณ…ข้าเสียยังดีกว่า นั่นเป็นเพราะข้าตอแยไม่เลิกจึงเอาเงินก้อนนั้นมาจากผู้ดูแลบ้านที่มารับตัวข้าผู้นั้นได้ต่างหากเจ้าค่ะ!”
“ท่านไม่รู้อะไร หลังจากข้าเอาหนึ่งร้อยตำลึงเงินนี่มาได้ กลับไปยังถูกคนจวนโหวรับรู้เข้า คนในจวนก็ยังดูถูกข้าอีกด้วยว่าเห็นคนอื่นดีกว่าคนครอบครัวตัวเอง เห็นเงินแล้วตาโต!”
“คนครอบครัวนั้นไม่ปกติเห็นๆ!”
“บ้าบอสิ้นดี คนอื่นเลี้ยงลูกสาวให้สิบกว่าปี เขารับเอาไปไม่ทันไรก็ต้องการขายเปลี่ยนมือให้อ๋องเฒ่าผู้นั้น ผลประโยชน์ขนาดนี้ให้กันแค่หนึ่งร้อยกว่าตำลึงเงินเองหรือ!” ซ่งอิงโมโหแทนเจ้าของร่างเดิม
เจ้าของร่างอยู่หมู่บ้านซิ่งฮวา ต่อให้ลำบากตรากตรำเพียงใด นั่นก็ยังได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากบิดามารดาอย่างยิ่ง แม้แต่พวกเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่และเจียวซื่อก็ไม่เคยชักสีหน้าใส่เจ้าของร่างเดิมเลยสักนิด!
ทั่วทั้งหมู่บ้านล้วนชื่นชอบแม่สาวน้อยคนนี้ พอถึงบ้านเขา อ้าปากขึ้นมาครั้งแรกก็กล่าวว่าต้องเอาตัวนางส่งให้ผู้อื่นเสียแล้ว
“กิจการครอบครัวเขานี่ทำได้ดีจริงเชียว ให้กำเนิดบุตรมาคนหนึ่ง เลี้ยงดูก็ไม่เลี้ยงดูแล้วยังรับเอากลับมาเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานได้อีกด้วย! เรื่องผลประโยชน์ดีๆ ล้วนให้เขาเป็นฝ่ายคว้าเอาไปแล้ว บัดนี้ท่านยังจะจดจำว่าเป็นบุญคุณของครอบครัวพวกเขา ข้าว่าท่านก็โง่เขลาเช่นกัน!” ซ่งอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูก
“…” ซ่งเหล่าเกินเบิกตาโตชั่ววูบ
นี่พูดจาประสาอะไรของนาง
“เจ้า…เจ้าสาวน้อยคนหนึ่ง เอาแต่พร่ำพูดเหลวไหล เสียงเบาๆ หน่อย ให้คนอื่นได้ยินเข้าจะได้เรื่องหรือ!” ผู้เฒ่าซ่งถึงขั้นอดเอามืออุดหูไว้ไม่ได้
นี่ใช่ถ้อยคำที่เด็กผู้หญิงเขาพูดกันหรือ!
“ช่างเถอะเจ้าค่ะ ข้าก็คร้านจะพูดกับท่านเช่นกัน ท่านเองก็ลองทบทวนดูแล้วกันเจ้าค่ะ ท่านเป็นถึงญาติห่างๆ ของท่านโหว แค่ความมั่นใจยังไม่มีเลย ก็อย่าโทษหากคนอื่นดูถูกท่าน!” ซ่งอิงพูดจบ ก็โบกมือปัดๆ แล้วเดินกลับเข้าห้องไปอย่างเสียอารมณ์
นางยังโมโหอีกด้วยรึ! ผู้เฒ่าซ่งรู้สึกราวกับว่าสาวน้อยผู้นี้จะก่อกบฏอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่ 634 ศักดิ์ศรีสำคัญ
แต่นึกย้อนถ้อยคำที่ซ่งอิงพูด ซ่งเหล่าเกินรู้สึกถึงความอึดอัดไปหมด
หวนนึกถึงตอนนั้น ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
ตอนนั้นยามที่หนีภัยแล้ง เดิมทีก็ไม่ได้มุ่งหน้าไปจวนโหว อย่างไรเสียเรือนหลังนั้นก็ดูส่งสูงเหลือเกิน ไม่ถึงทางตันอันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปเช่นกัน
นอกเมืองหลวงมีรับสมัครคนทำงานใช้แรงงาน แล้วยังมีบริจาคข้าวต้มทั่วสารทิศ เป็นความจริงที่ว่าไม่อดอยากตายเป็นแน่
เพียงแต่ว่าหลังมาถึงเมืองหลวง ท่านโหวคนใหม่ผู้นั้นเพิ่งรับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ไม่นาน ครอบครัวพากันยินดีปรีดา ดังนั้นปากเส้นทางของนอกเมืองหลวง มีข้าวต้มที่ตระกูลจวนเหยียนผิงโหวบริจาคเป็นจำนวนมากที่สุด ยามที่บริจาคข้าวต้ม มีคนกล่าวไว้ว่า พื้นที่ประสบภัยแห้งแล้งแห่งนั้นก็ถือเป็นพื้นที่วงศ์ตระกูลจวนโหวเช่นกัน ดังนั้นครั้งนี้จึงได้ทำความดีเช่นนี้
ตอนนั้นเขาก็ไม่ค่อยทราบแน่ชัด รู้สึกว่าจวนโหวแห่งนี้จะร้ายจะดีก็มีความเป็นญาติกับครอบครัวเขา หากครอบครัวเขามาหาที่หลบภัย แต่กลับไม่บอกกล่าวจวนโหวสักหน่อย ภายภาคหน้าถูกคนที่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงรับรู้เข้า ไม่แน่ว่าจะฟ้องร้องทางด้านจวนโหวว่าไม่ดูแลญาติพี่น้องในวงศ์ตระกูล…
อีกทั้ง ว่ากันตามมารยาททั่วไป มาจากถิ่นแดนไกลทั้งทีก็สมควรเดินดูโดยทั่วสักหน่อย
สุสานบิดาของผู้รับตำแหน่งโหวคนแรกถูกย้ายไปยังพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเลิศตั้งนานแล้ว แต่บรรพบุรุษของท่านโหวอาวุโสคนแรกยังอยู่!
โดยทั่วไปลูกหลานก็สมควรมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเสียหน่อย อย่างเช่นว่า สถานการณ์ภัยพิบัติที่บ้านเกิดรุนแรงหรือไม่
เดิมทีด้วยความนึกคิดลักษณะนี้ เขาจึงพาคนไปพบท่านโหวคนใหม่
ผลปรากฏว่า…
ไม่ได้เจอะเจอคนเขา ได้เจอเพียงผู้ดูแลบ้านเท่านั้น
ตอนนั้นเขาจำได้เพียงว่าผู้ดูแลบ้านดูยโสโอหัง มองพวกเขาด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นก็พูดเสียงดังว่า ท่านโหวงานยุ่ง ไม่มีเวลาสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ แต่เห็นแก่ความเป็นญาติพี่น้องในวงศ์ตระกูลก็จะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดี ก็ให้พวกเขาไปอยู่ในหมู่บ้านไร่สวนแล้วกัน เมื่อภัยพิบัติผ่านพ้นไปแล้วค่อยจากไปก็เป็นอันสิ้นเรื่อง
ตอนนั้น ในใจเขามีความอับอายและโกรธเกรี้ยวอยู่บ้าง
แต่เมื่อลองคิดๆ ดู ท่านโหวคนใหม่อายุยังไม่เยอะ ไม่เข้าใจหลักมารยาทตามธรรมเนียมปฏิบัติก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน
อีกทั้ง เวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ข้างนอกก็วุ่นวายอลหม่าน คนเขายังอุตส่าห์คิดให้พวกเขาไปหลบลี้ภัยที่หมู่บ้านไร่สวนได้ก็นับว่าใจดีแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นในครอบครัวเขายังมีเด็กเล็ก เมื่อไปถึงหมู่บ้านไร่สวนแล้วเด็กๆ ก็จะได้รู้สึกมั่นคงปลอดภัยหน่อย
เขาจึงตอบรับด้วยความรู้สึกขอบคุณและเป็นบุญคุณล้นพ้น
แต่อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นญาติพี่น้องในวงศ์ตระกูลร่วมบรรพบุรุษ ไม่ใช่ข้ารับใช้ กลัวเช่นกันว่าคนอื่นจะรู้สึกว่าพวกเขามาเพื่อมองหาผลประโยชน์ใส่ตัว ดังนั้นหลังไปถึงหมู่บ้านไร่สวนแล้ว ก็ทำงานให้ไม่น้อยเลยจริงๆ
“เฮ้อ!” ซ่งเหล่าเกินถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขาไม่โทษสาวน้อยคนนี้ที่จะหาเรื่อง
เพียงแต่ตอนนี้นึกถึงครอบครัวคนใหญ่คนโตนั่น เขาก็ยังคงรู้สึกสองขาสั่นระริกด้วยความเกรงกลัว
“แก่แล้วโว้ย!” หลังผ่านไปพักใหญ่ ผู้เฒ่าซ่งก็ส่งเสียงขึ้นมากะทันหัน
……
อีกด้านหนึ่ง คนของตระกูลเซว์ก็รู้แล้วเช่นกันว่าฮั่วหลินที่อยู่ในรถม้าหายไปแล้ว
พวกเขามองเห็นเพียงพื้นรถม้าปรากฏรูขึ้นมาหนึ่งรู จึงงุนงงจนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยหากคนผู้นี้ลอดผ่านรูนี้ออกไป คงล้มคะมำตายแล้วกระมัง
พวกเขาย้อนกลับไปหาตามทางเดิม แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ทำได้แต่กลับไปโดยไร้ผลงาน คุณชายรองเซว์ผู้นี้ย่อมเดือดดาลเป็นธรรมดา เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ในใจก็ยิ่งกระเหี้ยนกระหือรืออยากเผชิญหน้ากับซ่งอิงยิ่งขึ้นกว่าเดิมแม้วิธีการทำสบู่หอมคือสิ่งสำคัญ แต่ศักดิ์ศรีของเขาสำคัญยิ่งกว่า หากให้คนรู้ว่า เขา คุณชายรองตระกูลเซว์ผู้องอาจสง่างาม ถ่อมาจากถิ่นแดนไกลเพื่อมาสั่งสอนสาวชาวบ้านคนหนึ่ง ผลสุดท้ายพยายามสารพัดอยู่ตั้งนาน ตัวเองกลับเสียแรงเปล่าอยู่ที่นี่ สตรีชาวบ้านผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ นี่ไม่เท่ากับขายหน้าคนอื่นแย่หรอกหรือ!
หลายปีมานี้อยู่เมืองหลวงแม้ถูกดุด่า แต่ก็ไม่เคยถูกหลอกปั่นหัวเยี่ยงนี้มาก่อน!
“จับตาดูไว้! เมื่อใดที่มีคนครอบครัวนางออกมา รีบมารายงานข้าทันที!” คุณชายรองเซว์สีหน้าโกรธเกรี้ยว เมื่อพูดจบก็ชะงักไปชั่วครู่ “ไม่ พวกเจ้าตามข้าไปเขตชนบทขี่ ม้าผ่อนคลายอารมณ์กัน ก็ไปที่…ที่…หมู่บ้านอะไรนั่น!”
“หมู่บ้านซิ่งฮวาหรือขอรับ” ผู้ดูแลบ้านเอ่ยถาม
“ใช่! หมู่บ้านซิ่งฮวาแห่งนั้นละ!” คุณชายรองกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
อยากเจอคนคนหนึ่ง มันจะไปยากเย็นอะไร!
คุณชายรองเซว์คิดได้เช่นนี้ก็ขยับตัวทันที
เขาขี่ม้าชั้นดีผ่านตลาดอันคึกคักออกไปผ่อนคลายจิตใจพร้อมกับขบวนเอิกเกริก มุ่งหน้าตรงไปหมู่บ้านซิ่งฮวา