ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 65 บ๊ะจ่าง ตอนที่ 66 ยังถือว่ารู้จักเห็นอกเห็นใจและมีเหตุผลใช้ได้
- Home
- ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล
- ตอนที่ 65 บ๊ะจ่าง ตอนที่ 66 ยังถือว่ารู้จักเห็นอกเห็นใจและมีเหตุผลใช้ได้
ตอนที่ 65 บ๊ะจ่าง
ในมือนางตอนนี้มีทรัพย์สินทั้งหมดสิบตำลึงเงินแปดร้อยอีแปะ แต่เงินนี้ ยังไม่เพียงพอให้นางใช้ซื้อบ้านเรือนได้
บ้านหลังทรุดโทรมไร้เจ้าของที่มีอายุเกินกว่าสิบปีประเภทนี้ หลังจ่ายเงินซ่อมแซมบ้านก็คงพออยู่อาศัยชั่วคราวได้ แต่หากต้องจัดการเรื่องโฉนดบ้าน ก็ยังต้องจ่ายเงินซื้ออีก
ราคาบ้านเรือนในหมู่บ้านไม่ถือว่าแพง อย่างเช่นเรือนบรรพบุรุษของตระกูลซ่ง จ่ายสามสิบตำลึงเงินก็สร้างขึ้นมาได้แล้ว ตั้งอยู่ในพื้นที่ของหมู่บ้านซึ่งจัดว่าอุดมสมบูรณ์ดีทีเดียว ส่วนทางด้านอำเภอเมืองนั่น ลูกพี่ชายคนโตของนางผู้นั้นซื้อเรือนหลังเล็กหลังหนึ่งเท่านั้น ก็เป็นจำนวนเงินมากถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน และทำเลก็ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
บ้านนางหลังนี้…
หากต้องจัดการเรื่องโฉนดบ้านพร้อมค่าภาษีบ้านเรือน อย่างน้อยก็ต้องใช้จ่ายยี่สิบตำลึงเงิน ซึ่งนี่ถือว่าราคาถูกมากแล้ว
ต้องพยายามชำระค่าโฉนดให้เรียบร้อยก่อนที่จะซ่อมแซมบ้านเสร็จ มิเช่นนั้นเกิดที่อยู่อาศัยนางเผชิญปัญหา ถูกคนมากล่าวอ้างครอบครองแล้วขอขึ้นราคาจะทำอย่างไร
แน่นอนว่า หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านพวกเขาเป็นคนดีเยี่ยม หลักๆ คือเกรงว่าจะมีคนอิจฉาริษยาแล้วก่อประเด็นปัญหาขึ้นมาเสียมากกว่า
ป้องกันไว้ดีกว่าแก้
นอกจากค่าบ้านยี่สิบตำลึงเงิน แล้วยังต้องให้เงินบิดามารดาด้วยส่วนหนึ่ง จึงต้องมีกิจการเป็นหลักเป็นแหล่งเพื่อพวกเขาจะได้วางใจ
ขายลวี่โต้วกั่วแม้ทำเงินได้ แต่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล
ดังนั้นจะขายลวี่โต้วกั่วอีกไม่ได้แล้ว แต่หากเป็นขายบ๊ะจางก็คงได้…
พวกข้าวเหนียวและน้ำตาลที่ซื้อจากอำเภอก่อนหน้า หร่วนซื่อถือเป็นสินเดิมให้นางจึงขนย้ายเอามาทั้งหมด ทว่าของสองสิ่งนี้ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
ซ่งอิงตัดสินใจว่า จะทำบ๊ะจ่างไส้หวานดูสักหน่อยก่อน รอกลับไปเยี่ยมเยียนบ้านมารดาตามธรรมเนียมปฏิบัติหลังออกเรือนสามวัน ค่อยนำติดไปให้หร่วนซื่อลิ้มชิมรสเสียหน่อย
เพิ่งย้ายมา ซ่งอิงไม่อยากเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วมากเกินไป สองวันที่ผ่านมานี้จึงอยู่เก็บกวาดแต่ในบ้าน ส่วนวันนี้วันที่สามกลับบ้านมารดาเยี่ยมเยียนคนในครอบครัวตามธรรมเนียมปฏิบัติ นางเดินทางมายังบ้านตระกูลซ่ง
หลังหร่วนซื่อเห็นนางกลับมา รีบเดินปรี่เข้ามา ราวกับนางไปตกอยู่ในสถานที่ใดแล้วเผชิญความโหดร้ายยากลำบากมาอย่างไรอย่างนั้น “สองวันมานี้แม่ก็ไม่สะดวกไปหาเจ้าเลย ไม่รู้ว่าเจ้าคุ้นเคยแล้วหรือไม่ บ้านทางด้านนั้นยังสงบเรียบร้อยดีนะ? พ่อเจ้าเพียงแต่ทำความสะอาดไปรอบหนึ่ง ยังไม่ทันได้ซ่อมแซมเรือนให้ละเอียดถี่ถ้วน…”
“ท่านแม่ ข้าสบายดีมากเจ้าค่ะ” ซ่งอิงแย้มยิ้ม “สองวันนี้ข้าเองก็ยุ่งอยู่พอดี จัดการเก็บกวาดทั้งนอกและในบ้านเรียบร้อยแล้ว จริงสิ ท่านแม่ ท่านลองชิมบ๊ะจ่างที่ข้าห่อทีสิ หากอร่อย ข้าก็อยากขอให้ท่านช่วยด้วยอีกแรงเจ้าค่ะ!”
“บ๊ะจ่าง?” หร่วนซื่อยิ้มเล็กน้อย จากนั้นมองดูของที่ซ่งอิงนำมา
หน้าตาภายนอก…
ดูไม่ค่อยดีนัก
แต่เป็นน้ำใจของบุตรสาวก็ต้องรับเอาไว้ หร่วนซื่อเรียกซ่งจินซานและซ่งสวินมาร่วมวงด้วย จากนั้นก็แกะห่อแล้วลิ้มรส
“บ๊ะจ่างนี้สีเหลืองทอง ก็ดูสวยดีเหมือนกัน” ซ่งจินซานเอ่ยชมประโยคหนึ่ง หลังกัดลิ้มรสเข้าไปหนึ่งคำ จ้องมองบ๊ะจ่างด้วยแววตาฉงนสงสัย “รสชาติยอดเยี่ยมมาก กลิ่นของใบหลู[1]สดใหม่มาก ข้าวเหนียวมีความเหนียวแต่ไม่เหนอะ รสหวานแต่ไม่เลี่ยน…”
“คิดไม่ถึงว่ายาโถวจะมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมเพียงนี้ แม่เพิ่งเคยกินบ๊ะจ่างรสชาติอร่อยขนาดนี้ครั้งแรกก็ว่าได้” หร่วนซื่อกล่าวขึ้นทันที
บ๊ะจ่างชุดนี้ ซ่งอิงไม่ได้ใส่น้ำผ่านจิต ซ่งจินซานและหร่วนซื่อก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย อย่างไรเสียยาเม็ดที่อาจารย์ให้นางไว้เป็นของล้ำค่าเพียงนั้น คงไม่เอามารดใบหลูไปได้หรอกกระมัง?
“ท่านแม่ ท่านก็ได้เห็นแล้วเช่นกัน บ๊ะจ่างที่ข้าทำรสชาติไม่เลว แต่ก็เพราะรูปลักษณ์ภายนอกไม่สวยงาม ท่านฝีมือประณีต ดังนั้นข้าอยากขอให้ท่านช่วยข้าห่อบ๊ะจ่าง ส่วนข้าจะรับผิดชอบการขายเองเจ้าค่ะ” ซ่งอิงเอ่ยปากบอกกล่าว
“ได้สิ เป็นของเหมาะแก่การขายอยู่เหมือนกัน แม่จะช่วยเจ้าห่อเอง” หร่วนซื่อตกปากรับคำอย่างง่ายดาย ถึงขั้นค่อนข้างสุขใจด้วยซ้ำ
ช่วยเหลือบุตรสาวได้บ้าง ต้องสุขใจเป็นธรรมดา
ซ่งอิงนึกย้อนความทรงจำ นางต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาบ๊ะจ่างในยุคสมัยนี้
ตระกูลผู้ร่ำรวยบรรดาศักดิ์ อย่างเช่นทางด้านจวนโหวนั่น ก็มีความเคยชินที่จะรับประทานบ๊ะจ่างในเทศกาลตวนอู่[2]เช่นกัน แต่โดยทั่วไป ไส้บ๊ะจ่างจะใส่พวกพุทรา ถั่วแดงกวน ยึดรสหวานนำ แน่นอนว่ารสเค็มก็มีเช่นกัน โดยหลักจะใส่เนื้อสัตว์และพวกถั่วนานาชนิด แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมชมชอบเท่าใดนัก
ตอนที่ 66 ยังถือว่ารู้จักเห็นอกเห็นใจและมีเหตุผลใช้ได้
เมื่อก่อนซ่งอิงก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญทางด้านอาหารเช่นกัน อีกทั้งภายหลังตนเข้ามาสวมร่าง ก็ชอบคลุกคลีอยู่กับพวกอาหารเช่นกัน เพียงแต่ทักษะที่ต้องอาศัยฝีมือประณีตเช่นการห่อบ๊ะจ่างนี้ไม่ค่อยดีงามเท่าใดนัก
“ยาโถว บ๊ะจ่างของเจ้านี้ไม่ค่อยเหมือนกับที่เคยกินเมื่อก่อน นี่เพราะ…เรียนรู้จากทางด้านนั้นหรือ” ซ่งจินซานสองจิตสองใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถาม
ทางด้านนั้นที่เขาเอ่ยถึง แน่นอนว่าหมายถึงจวนโหวนั่นเอง
“ประมาณนั้นเจ้าค่ะ ข้าเคยอ่านเจอในตำราเล่มหนึ่ง” ซ่งอิงหาข้ออ้าง “พรุ่งนี้ท่านช่วยข้าห่อสักจำนวนหนึ่ง ข้าจะเข้าอำเภอไปซื้อวัตถุดิบทำไส้กลับมา หลังทำไส้เสร็จแล้ว จำนวนบ๊ะจ่างที่ท่านต้องห่ออาจมากขึ้นหน่อย ไว้ถึงเวลา ห่อวันหนึ่งข้าก็จะให้ท่านหนึ่งร้อยอีแปะ เป็นเช่นไรเจ้าคะ”
แรกเริ่มหร่วนซื่อยังคงสุขใจไม่น้อย ครั้นเอ่ยพูดเช่นนี้ ก็ถลึงตาใส่นางทันใด “แม่ช่วยเจ้าทำงานแล้วยังจะเอาเงินเจ้าได้อย่างไรกัน!”
“ท่านแม่ ข้ายึดเวลาท่านตลอดทั้งวัน ให้คนอื่นเห็นเข้าก็จะพานกันพูดไปเรื่อยเปื่อยอีกน่ะสิ หากข้าให้เงินค่าแรงแก่ท่านก็จะแตกต่างไป…อีกอย่าง ทำงานเหน็ดเหนื่อย ข้าไม่ให้เงินท่านจะได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ เพียงแต่บ๊ะจ่างนี่ยังไม่ได้ตั้งราคา ข้าก็เลยยังให้ท่านมากมายไม่ได้ วันละหนึ่งร้อยอีแปะ ท่านก็รับเอาไว้เถิด หากขายดี ข้าจะให้ท่านเพิ่มโดยยึดตามปริมาณเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าว
ในใจหร่วนซื่อรู้สึกไม่ดีอยู่พักหนึ่ง
แต่ก็รู้เช่นกันว่าจริงอย่างที่บุตรสาวนางพูด
นางไม่ใช่คนของตระกูลซ่งแล้ว…
“หนึ่งร้อยอีแปะมากเกินไป เงินนั่นเจ้าเอาเก็บไว้ใช้จ่ายเถิด ให้แค่ยี่สิบสามสิบอีแปะก็พอแล้ว พ่อเจ้าทำงานรับเหมาวันๆ หนึ่ง ก็ได้แค่หกสิบเจ็ดสิบอีแปะเองด้วยซ้ำ!” หร่วนซื่อกลอกตามองบนใส่นาง
“ท่านแม่ ท่านต้องคิดเล็กคิดน้อยกับข้าเพียงนี้เลยหรือ ส่วนที่เหลือ ก็ถือว่าเป็นเงินใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดแล้วกัน!” ซ่งอิงเกาะหร่วนซื่อออดอ้อน
“ลูกสาวมีน้ำใจ เจ้าก็รับไว้เถอะ นางให้ เจ้าก็เก็บหอมรอมริบเอาไว้ ภายภาคหน้าหากมีความจำเป็นค่อยใช้ก็สิ้นเรื่อง” ซ่งจินซานกลับไม่ว่ากล่าวอะไร
เขาก็มีแค่บุตรชายหนึ่งบุตรีหนึ่ง เงินที่เก็บออม ก็ล้วนเพื่อลูกๆ ทั้งนั้น
ซ่งอิงหยิบเงินออกมาอีกห้าตำลึงเงิน “ท่านพ่อ ไว้ท่านมีเวลาช่วยข้าหาต้นผลไม้อย่างต้นท้อ ต้นไน่จื่อ หน่อยนะเจ้าคะ ลานหลังบ้านข้ามีพื้นที่ประมาณหนึ่งหมู่เห็นจะได้ ปลูกอะไรทิ้งไว้เสียหน่อย ภายภาคหน้าทั้งนำไปขายได้ทั้ งเอาไว้กินก็ได้”
ต้นไน่จื่อก็คือต้นแอปเปิ้ลดีๆ นี่เอง ทว่ารสชาติไม่ค่อยเหมือนกับภพชาติก่อน รสชาติจะละมุนกว่าหน่อย ในบรรดาผลไม้ ที่ล้ำค่าสุดก็คือสาลี่กับไน่จื่อ ราคาของไน่จื่อจึงแพงกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ กว่าหน่อย
“ไม่ต้องใช้เงินมากเพียงนี้หรอก” ซ่งจินซานขมวดคิ้ว
“หากเหลือ ครั้งหน้ายังขาดเหลืออะไรอีก ข้าจะให้ท่านพ่อช่วยซื้อ นี่ข้าเพิ่งย้ายบ้านใหม่ ยังต้องเพิ่มเติมอีกหลายสิ่งหลายอย่างเชียวละ!” ซ่งอิงกล่าวตรงไปตรงมา
ซ่งจินซานมองออกว่า ก่อนหน้านี้ที่บุตรสาวเขาตอบรับนำเงินเหล่านั้นติดตัวไปเป็นสินเดิมก็เพื่อความสบายใจของพวกเขา บัดนี้จึงต้องการนำมอบกลับคืนโดยผ่านทางใดทางหนึ่ง ก็เพราะอยากให้พวกเขาสบายใจ
“ก็ได้ ลานหลังบ้านของเจ้านั้นไม่เลวทีเดียว ไว้พ่อจะหาพวกต้นพุทรา ส้มโอให้เจ้าด้วย ก่อนหน้านี้เจ้านำไปแค่ลูกเจี๊ยบตัวเดียว เลี้ยงไปจะได้อะไร ไว้พ่อจับไก่ให้เจ้าอีกสักสามสี่ตัวแล้วกัน…จริงสิ ลานหลังบ้านหากกั้นบริเวณออกมาส่วนหนึ่ง ก็ยังพอเลี้ยงหมูสักตัวได้ด้วย…” ซ่งจินซานรีบช่วยซ่งอิงคิดเสร็จสรรพ
“ตอนนี้ยังไม่เลี้ยงหมูดีกว่าเจ้าค่ะ” ซ่งอิงบอกกล่าวทันควัน
หากเลี้ยงหมูไว้ลานหลังบ้าน ภูตโสมจะไม่ชอบใจแย่เลยหรือ
ในเมื่อภูตโสมใช้ชีวิตกับนาง ก็ไม่อาจทารุณเขาจนเกินไป
ยามนี้ ภูตโสมมองนางอย่างซาบซึ้งใจแวบหนึ่ง
เหล่าต้าก็รู้จักเห็นอกเห็นใจและมีเหตุผลใช้ได้นี่
“เช่นนั้นไว้คราวหน้าค่อยว่ากันอีกที” ซ่งจินซานเกรงว่านางตัวคนเดียวจะดูแลไม่ไหวเช่นกัน จึงยินยอมเห็นด้วย
…
บ๊ะจ่างที่ซ่งอิงนำมาคราวนี้ไม่มากมายแต่อย่างใด หลังพูดคุยกับหร่วนซื่อพักใหญ่ ก็กลับบ้านก่อนอาทิตย์อัสดง
หลังกลับไป รีบจัดแจงนำข้าวเหนียวที่เหลือทั้งหมดแช่เอาไว้โดยใช้น้ำเถ้าที่เผาจากซากพืช นอกจากนี้ยังเด็ดใบหลูเอามาไว้ ซึ่งก็เลือกเอาเฉพาะที่ผ่านการรดน้ำผ่านจิตแล้วเหล่านั้น
ริมหนองน้ำตื้นที่อยู่หลังบ้านก็มีหลูเหว่ย[3]จำนวนมาก ไม่ต้องเดินไปไหนไกล สะดวกสบายอย่างยิ่ง
วันรุ่งขึ้น นำข้าวเหนียวที่แช่ไว้เรียบร้อยเมื่อคืนกับพุทราน้ำผึ้งไปส่งให้บิดามารดา จากนั้นซ่งอิงถึงได้ออกเดินทางไปจับจ่ายซื้อของ
[1] ใบหลู (芦叶) คือใบจากพืชชนิดหนึ่งเรียกว่า หลูเหว่ย (芦苇) เป็นพืชในตระกูลกก จะมีความเรียวเล็กกว่าใบจ่าง นิยมใช้ทางตอนเหนือของประเทศจีน
[2] เทศกาลตวนอู่ (端午) หรือ เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติ เป็นการระลึกถึงวันที่ คุดก้วน หรือ ชฺวีหยวน (屈原) (340-278 ปีก่อนคริสต์ศักราช) กวีผู้รักชาติแห่งรัฐฉู่ ที่กระโดดน้ำเสียชีวิต เขานับเป็นอีกผู้หนึ่งที่เป็นกวีคนสำคัญของจีน
[3] หลูเหว่ย (芦苇) เป็นพืชในตระกูลกก จะมีความเรียวเล็กกว่าใบจ่าง นิยมใช้ทางตอนเหนือของประเทศจีน