ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 651 ชดใช้ ตอนที่ 652 อุ่นใจ
ตอนที่ 651 ชดใช้ / ตอนที่ 652 อุ่นใจ
ตอนที่ 651 ชดใช้
พูดประโยคนั้นแล้ว ซ่งอิงก็คลี่ยิ้มกว้างก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อีกอย่าง ท่านคิดว่าไม่เห็นจะเป็นอะไร แต่จะอย่างไรก็ต้องถามไถ่ความคิดเห็นของทุกคนบ้างกระมัง”
ซ่งเหล่าเกินถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง
“ข้าเป็นคนยื่นคำขาด! ไม่ว่าใครก็โต้แย้งไม่ได้ มิเช่นนั้นก็ไสหัวออกไปจากตระกูลซ่งของข้าเสีย!” ซ่งเหล่าเกินกล่าวอย่างดุดัน “ก่อนหน้านี้ที่ให้เจ้าแยกออกไปตอนนั้น จริงๆ แล้วเป็นเพราะข้าไม่เข้าใจสิ่งซับซ้อนยากจะเข้าใจได้เหล่านี้ แต่เจ้าวางใจได้ จะไม่มีการทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ผลักไสเจ้าออกไป!”
ซ่งเหล่าเกินไม่รู้สึกกระดากอายเช่นกัน
“ไหนๆ เจ้าก็เอ่ยถึงตอนแรกแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจ ขอพูดกับเจ้าตามตรงเลยแล้วกัน ข้าก็แค่ชาวชนบทต่ำต้อยคนหนึ่งจะไปรู้อะไรเล่า ตอนนั้นเจ้ากลับมาพร้อมบาดแผลเต็มตัว คนของตระกูลนั้นทิ้งคำพูดไว้ไม่กี่ประโยค กล่าวว่าหากเราเอาเรื่องนี้ไปพูดสู่ภายนอก ก็เลิกคิดไปเลยว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มิหนำซ้ำยังพูดอีกว่าตอนนี้รักษาชีวิตไว้ได้ก็เป็นเรื่องมงคลใหญ่หลวงแล้ว ระหว่างเรื่องเศร้ากับเรื่องมงคลต้องเลือกให้ดีๆ ด้วยล่ะ!
หากเจ้าเป็นข้า เจ้าจะทำอย่างไร ได้ยินถ้อยคำนี้ไม่ตกใจจนลนลานแย่หรือ ในครอบครัวมีเด็กเล็กตั้งมากมายขนาดนี้ จะอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้อยู่ดีๆ ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วยได้ จึงทำได้เพียงให้พวกเจ้าแยกครอบครัวออกไป! ซึ่งนี่ก็เพราะความหวังดีต่อทั้งตระกูล!” ผู้เฒ่าซ่งโมโหอย่างยิ่ง
“เพียงแต่ว่า จริงอยู่ที่ข้ามีความเห็นแก่ตัว ขอโทษเจ้าด้วย และก็ขอบใจที่เจ้าไม่รังเกียจกัน คอยดูแลอย่างดีในสองปีมานี้ ตอนนี้ข้าก็มิใช่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด หากยังมัวกลัวนู่นกลัวนี่ เช่นนั้นจะไปต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน” ผู้เฒ่าซ่งกล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าเย็นชา
คำพูดนี้ ไม่เพียงแต่พูดให้ซ่งอิงฟัง ยิ่งไปกว่านั้นคือพูดให้คนอื่นในตระกูลซ่งฟังด้วย
การบาดหมางกับจวนโหว เห็นได้ว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่จะอันตรายถึงแก่ชีวิต อย่างมากก็ถูกกดขี่ข่มเหง ชีวิตคนทั้งครอบครัวดำเนินไปอย่างยากลำบากก็เท่านั้นเอง
แต่ชีวิตที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอะไรก็จะก้าวผ่านไปได้ทั้งนั้น
“ข้าเองก็ไม่กลัวที่จะบอกเจ้าเช่นกันว่า หากเจ้าบอกข้าตรงๆ ให้เข้าใจว่า การบาดหมางกับคนครอบครัวนั้นครั้งนี้อาจถึงตาย เช่นนั้นข้าก็จะให้ลุงใหญ่ อาสามและอาสี่เจ้าไสหัวไปไกลๆ เหลือทายาทเอาไว้มากหน่อย ไม่แน่ว่าอีกหลายสิบปีจะประสบความสำเร็จมีหน้ามีตาขึ้นมาแล้วยื่นมือมาแก้แค้นแทนเราได้” ผู้เฒ่าซ่งกล่าวขึ้นอีกครั้ง
หากอันตรายขนาดนั้นจริง เขาผู้เฒ่าคนนี้ก็จะไม่ไปไหนเช่นกัน จะอยู่กับบุตรชายคนรองที่นี่ ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ให้
มิเช่นนั้นถ้าต้องติดค้างคนเขาอยู่เรื่อยก็ไม่ใช่เรื่องเช่นกัน
“พอเถิดเจ้าค่ะ ข้าพูดแค่นั้นเอง ไฉนท่านจึงนิสัยใจร้อนเพียงนี้เจ้าคะ” ซ่งอิงถอนหายใจ
นางก็แค่พูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น ด้านผู้เฒ่าซ่งก็โวยวายไม่หยุดเสียแล้ว
“เอ้อร์ยา…” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ชั่งใจชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยปาก “ก่อนหน้านี้ที่แยกครอบครัวไปครานั้น จริงๆ แล้วข้าก็มีส่วนเกี่ยวด้วย ข้ายุยงต้องการให้พวกเจ้าแยกครอบครัวออกไป แต่ตอนนั้นเป็นเพราะตกใจกลัวจริงๆ และที่สำคัญก็เพราะคำนึงถึงเด็กๆ…”
“ใช่ๆ ข้าก็เช่นเดียวกัน หากในบ้านไม่มีเด็กสักคน มีหรือจะคิดมากขนาดนั้น ลำบากลำบนมาทั้งชีวิตก็เพื่อพวกเขาลูกๆ หลานๆ กลุ่มนี้ทั้งนั้นมิใช่หรือ” เจียวซื่อรีบกล่าวขึ้นมาบ้าง
เหยาซื่อสะใภ้เล็กก้มมองลูกคังตัวจ้ำม่ำที่อยู่ในอ้อมแขน
หลานสาวก็เป็นญาติเช่นกัน ไม่ห่วงใยนั่นคงเป็นไปมิได้ อย่างไรเสียพวกนางก็เป็นคน มีอารมณ์ความรู้สึกและความห่วงใย โดยเฉพาะเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่และเจียวซื่อ แต่งเข้ามาค่อนข้างนานแล้ว แทบจะเรียกได้ว่ามองดูซ่งอิงเติบใหญ่มา หากพวกเขาไม่มีลูก เช่นนั้นจะทุ่มเทให้เท่าไรล้วนไม่เป็นปัญหา
แต่หลังจากเป็นพ่อแม่คนก็เริ่มมีความเห็นแก่ตัวขึ้นมา
“ท่านแม่ ท่านหมายความว่าอันใดขอรับ มิใช่คิดจะทอดทิ้งพี่สาวคนรองของข้ากระมัง” ซ่งต๋าขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พอใจเล็กน้อย
“มิใช่ แม่ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ก็แค่อยากอธิบายให้กระจ่างเท่านั้นเอง…” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ข้ารู้สึกว่าท่านพ่อพูดถูก เจ้าเด็กสาวตัวคนเดียวจะเที่ยวไปไหนมาไหนมิได้ ถ่อไปถึงถิ่นคนอื่นเขาแล้วถูกคนเขารังแกเราก็ไม่อาจรู้ อยู่บ้านตามที่บอกจะดีกว่า หากมีคนมาหาเรื่องถึงที่จริง ครอบครัวเราคนตั้งมากมายขนาดนี้ก็จะจัดการขับไล่พวกเขาออกไปเสียเลย!”
ตอนที่ 652 อุ่นใจ
“ปัจจุบันพวกลูกต๋าก็โตแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเด็กเล็กแล้ว ข้าสั่งสอนเด็กไม่ค่อยเป็น แต่มักรู้สึกว่าทำตัวเช่นเมื่อก่อนไม่ดีเลย เด็กๆ จะเลียนแบบตาม ภายภาคหน้าก็จะเป็นคนหนึ่งที่ไร้น้ำจิตน้ำใจ เราล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้อยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าอะไรล้วนไม่ต้องเกรงกลัวทั้งนั้น” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กล่าวเสริมอีกประโยค
เมื่อพูดจบ นางถึงขั้นแอบรู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย
ตอนนั้นยามที่แยกครอบครัว พอนางกลับบ้านมารดา ก็ถูกบิดาอบรมอย่างดุดันหนึ่งชุดใหญ่
บิดากล่าวว่านางเป็นคนแล้งน้ำใจ มองดูหลานสาวคนโตได้รับความไม่เป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เดิมทีในใจหลานสาวก็ทั้งกลัวและโดดเดี่ยว ยามที่ควรยื่นมือไปปลอบขวัญให้ดีๆ นางไม่เพียงไม่เข้าไปปลอบใจ มิหนำซ้ำยังเหยียบย่ำสร้างความเจ็บปวดอีก ช่างเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่ควรกระทำเลยเห็นๆ!
ตอนนั้นนางพยายามสรรหาเหตุผลมาโต้แย้งเพื่อปกป้องตัวเอง รู้สึกว่าตนไม่ได้ทำผิดอะไร
แต่ตามจริงก็ไม่กล้ากลับไปบ้านมารดาอีกนานพอตัว เพราะเนื่องจากรู้สึกว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว
เจียวซื่อตรงกันข้ามกับเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ ตอนนั้นหลังจากครอบครัวบุตรคนรองแยกออกไป ทางด้านครอบครัวมารดานางรู้สึกว่านางทำถูก นอกจากนั้นยังพูดจาต่อว่าครอบครัวบุตรคนรองเสียๆ หายๆ ไม่น้อย ทว่าเจียวซื่อก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
เพราะตัวนางเองรู้ดีว่า ทางด้านครอบครัวมารดาไม่ใช่คนดีอะไร
เรื่องที่พวกเขารู้สึกว่านางทำถูก นั่นย่อมเป็นการทำผิดแล้วอย่างแน่นอน หากนางมีความคิดเดียวกับคนครอบครัวมารดา เช่นนั้นก็แสดงว่านางไม่ต่างอะไรกับคนของทางด้านครอบครัวมารดาที่ชวนให้ผู้คนรังเกียจทั้งนั้น…
เจียวซื่อคิดได้ในใจแต่แรก เพียงแต่ว่าบางถ้อยคำไม่อาจป่าวประกาศออกมาได้ โดยเฉพาะเมื่อมองดูลูกๆ เหล่านั้น ก็ทำได้เพียงอดกลั้นและทำตัวใจร้าย
ส่วนเหยาซื่อสะใภ้เล็ก…
นางไม่มีส่วนร่วมอะไรทั้งนั้น นางเชื่อฟังซ่งหม่านซานแต่เพียงผู้เดียว
ตอนแรกซ่งหม่านซานไม่เอาไหน ไม่ใส่ใจเรื่องในบ้านเสียด้วยซ้ำไป
“พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูก ข้าพูดไม่เก่งและพบเห็นอะไรมาน้อยนิด แต่ข้าก็รู้ว่าเหล่าซาน เหล่าซื่อ เหล่าอู่แล้วยังมีซานยาอีกคนล้วนชื่นชอบนางทั้งนั้น” เจียวซื่อเอ่ยอย่างอึดอัดเล็กน้อย
หากให้ซ่งอิงเผชิญหน้าอีกฝ่ายตัวคนเดียวอีก เด็กๆ ในครอบครัวต้องพากันโกรธเคืองถ้วนหน้า
ครั้งนี้ลูกนางเป็นคนเลือก มิใช่นางเลือก
“ข้าว่าไปตามสามี แต่สามีเชื่อฟังเจ้า เจ้าก็อย่าสนใจข้าเลย ควรต้องทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้นเถิด” เหยาซื่อสะใภ้เล็กพูดขึ้นเบาๆ
ซ่งอิงเม้มปาก
“พวกท่านหัวรั้นจริงๆ เดิมทีก็เพราะหวังดีต่อพวกท่าน ก่อนหน้านี้มีความบาดหมางกับคุณชายผู้นั้น ตอนแรกไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับในหมู่บ้าน แต่ผลสุดท้ายเพราะข้า ชาวบ้านจึงเดือดร้อนไปด้วย ยากที่จะรับประกันได้ว่าตระกูลนั้นจะไม่ทำเช่นนี้บ้าง…” ซ่งอิงกล่าว
“เอ้อร์ยา! เจ้าผิดแล้วที่พูดเช่นนี้ เจ้าเห็นใครในหมู่บ้านตำหนิโทษเจ้าแล้วหรือ อีกทั้งมิใช่เจ้ากระทำเรื่องชั่วช้าเสียหน่อย เจ้าจะละอายใจอะไรเล่า” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กล่าวเสียงดังขึ้นมา
หลังได้ยินถ้อยคำที่บรรดาพี่น้องสะใภ้พูดออกมา ตอนนี้หร่วนซื่อถึงกับน้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย
ในใจนางซาบซึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมองเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ที่เมื่อก่อนไม่ถูกกัน นางผู้นั้นดูเป็นกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
“พี่สะใภ้ใหญ่…ถ้อยคำที่ท่านพูดนี้บาดใจข้าเข้าแล้วจริงๆ…” หากไม่ใช่เพราะไม่ถูกคอกันสักเท่าไร ตอนนี้หร่วนซื่อก็อยากจะดึงมือของเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่มาจับเอาไว้แทบแย่
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่พลันตื่นตกใจ “เจ้าร้องไห้อะไรอีก เดิมทีเราก็เป็นฝ่ายเต็มใจรับเลี้ยงเอ้อร์ยาไว้ แต่พอเจ้าร้องไห้เช่นนี้ก็เหมือนว่าพวกเราถูกบีบบังคับไร้ทางเลือกอย่างไรอย่างนั้น!”
“ก็…ก็…” หร่วนซื่อปาดน้ำตา “จริงๆ ก็ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง ข้าจะทำอย่างไรได้”
“ข้อเสียเดิมๆ ข้าว่านะ หากมีคนมาจริง พวกเราไม่ต้องถือมีดขู่คนเขาหรอก แค่ผลักเจ้าออกไป น้ำตาก็เจ้าก็ทำให้คนเหล่านั้นจมน้ำตายได้แล้ว!” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ยิ้มเยาะ
“ข้าคิดว่าก็คงได้ผลดีเชียวละ” เจียวซื่ออดหัวเราะไม่ได้
ครั้นถ้อยคำนี้หลุดออกมา เหยาซื่อสะใภ้เล็กก็ขำไปด้วย
หร่วนซื่ออึ้งเล็กน้อย ดวงตาสองข้ายังคงมีหยาดน้ำตาคลอ มองพวกนางพี่น้องสะใภ้อย่างไร้เดียงสา จากนั้นก็อยากหัวเราะและร้องไห้ขึ้นมาพร้อมกัน เป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก
บรรยากาศกลมเกลียวขึ้นไม่น้อยในชั่วพริบตา
ในใจซ่งอิงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์หลากหลาย และนางรู้ว่าใจของตัวเองในขณะนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น