ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 655 ได้รับบาดเจ็บ ตอนที่ 656 อับอายจนโกรธเกรี้ยว
ตอนที่ 655 ได้รับบาดเจ็บ / ตอนที่ 656 อับอายจนโกรธเกรี้ยว
ตอนที่ 655 ได้รับบาดเจ็บ
ขณะนี้ซ่งอิงงุนงงไปหมด นอกจากเจ้าดวงกลมขนาดใหญ่นั่น ต้นไม้ก็เปลี่ยนไปเป็นพุ่มหนาและใหญ่โตขึ้นมาก
เมื่อก่อนนางรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างมิติเล็ก แต่ตอนนี้ใหญ่โตเกินไปจนนางไม่รู้จะจัดการอย่างไร
นางตัวคนเดียวจะเพาะปลูกก็คงไม่ไหว
เงยหน้ามองสิ่งกลมๆ นั่น ซ่งอิงขบคิด หรือไม่…เลี้ยงสัตว์ไว้ในนี้สักหน่อย
เหล่าปีศาจที่ตอนนี้เปลี่ยนร่างแล้วก็ปล่อยไว้เช่นนั้น นางกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อพวกเขามากเกินไป อีกทั้งพวกเขาคุ้นชินกับการอยู่โลกภายนอกแล้ว หากเข้ามาอยู่ในช่องว่างระหว่างมิติแล้วรู้สึกอึดอัดเกินไปจะทำอย่างไร
ซ่งอิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นไปยังหมู่บ้านไร่สวนที่นางซื้อเอาไว้
มีปีศาจเพิ่มขึ้นมาอีกแล้วจำนวนหนึ่ง
ซ่งอิงไม่กล้าผลีผลามทดลอง จึงส่งเข้าไปเพียงพวกไก่ เป็ด ห่านและลูกหมาป่าชุดหนึ่ง
ในช่องว่างระหว่างมิติมีธัญพืชนานาชนิดเก็บไว้อยู่ นางแยกพื้นที่เป็นสัดส่วนแล้วให้พวกมันดำรงชีวิตเอง
แต่พื้นที่ที่กว้างใหญ่ขนาดนี้จะปลูกอย่างไรดีเล่า!
ซ่งอิงถอนหายใจเฮือกใหญ่สองสามครั้ง
ในบ้านมีเมล็ดพันธุ์อยู่ไม่น้อย แต่ครั้นซ่งอิงคิดขึ้นได้ว่าตัวเองต้องไถพรวนอยู่คนเดียวก็รู้สึกเหนื่อยใจแล้ว นางนั่งยองอยู่ในช่องว่างระหว่างมิติเนิ่นนานพอตัว แต่แล้วก็นึกได้ว่าตัวเองพอมีทักษะความสามารถอยู่บ้างเช่นกัน
นางขับเคลื่อนพละกำลังในร่างกาย ยกมือขึ้นแล้วแบออก ‘ฟึ่บ’ พื้นดินหนึ่งผืนใหญ่ปรากฏหลุมเล็กๆ เต็มไปหมด เมื่อตวัดมืออีกครั้ง เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็ลอยขึ้นมา จากนั้นตกลงไปในแต่ละหลุม…
แสงสีทองมุ่งไปทางด้านบ่อน้ำทะเลสาบก่อนจะระเบิดออก จากนั้นหยาดฝนก็โปรยปรายลงมา
เมื่อนางเก็บมือ เอ่อ…หลุมดังกล่าวก็ถูกดินกลบเป็นที่เรียบร้อย…
น่างุนงงเหลือเกิน
น่าตระหนกตกใจไม่น้อยด้วย
ซ่งอิงรู้สึกสงสัยกับชีวิตตนขึ้นมาเล็กน้อย นางเป็นตัวอะไรกันแน่ เมื่อก่อนนางควบคุมปีศาจได้ก็ว่าแปลกแล้ว ตอนนี้ยังควบคุมวัตถุได้ด้วยหรือ
เพียงแต่ว่าหลังจากออกมาจากช่องว่างระหว่างมิติ ซ่งอิงทดลองดูอีกครั้ง แต่กลับเหมือนว่าพละกำลังของตัวเองถูกกดเอาไว้ หลังจากพยายามขยับถ้วยน้ำใบหนึ่งก็ถึงขั้นรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก
สู้ตอนที่อยู่ในช่องว่างระหว่างมิตินั่นที่ทำได้สบายๆ ตามอำเภอใจไม่ได้
นี่มันพิสดารจริงๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พื้นที่มากมายขนาดนี้ เพาะปลูกได้ก็ถือเป็นเรื่องดี ซ่งอิงยอมรับในพลังอันแข็งแกร่งนี้ หลังตื่นตระหนกไปครู่หนึ่งก็พาฮั่วหลินไปบนเขาเพื่อขุดเอากล้าต้นไม้
ในช่องว่างระหว่างมิติของนางมีทุกสิ่งอย่าง!
นางต้องการปลูกต้นไม้รวมไปถึงขุดลำธารเอาไว้ในนั้นให้มากหน่อย จากนั้น…ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าพละกำลังแข็งแกร่งขึ้นอีกนิด นางอาจขุดหุบเขาสักลูกออกมาแล้วย้ายเข้าไปด้วยการโบกมือครั้งเดียว!
แค่คิดก็ตั้งตาคอยแล้ว!
ทางด้านซ่งอิงยุ่งตัวเป็นเกลียว
ทางด้านเมืองหลวงนั่น เหยียนผิงโหวกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ระยะนี้ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นอะไรไป เดิมทีไคหยางกงที่มีหวังจะได้สมานฉันท์กัน ตอนนี้กลับเสมือนหมาบ้าตัวหนึ่ง มักจะเล่นงานเขาตอนประชุมในท้องพระโรงอยู่เสมอ!
สองสามวันก่อนทูลกับฮ่องเต้ว่าเขาไม่เอาจริงเอาจังกับการทำงานก็ว่าแย่แล้ว วันนี้ไม่นึกว่ายังต่อว่าเขาว่าไม่หัดขัดเกลาคุณธรรมในใจเสียบ้าง
“ท่านโหว วันนี้…ยามที่ไปจวนเฉิง เจอองค์หญิงหลิงอวี๋ นาง…” โหวฮูหยินหลานซื่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวออกมา “จู่ๆ องค์หญิงก็เอ่ยถึงอาอิงขึ้นมา ท่าทีค่อนข้างแปลกๆ พูดจาประชดประชัน”
“พูดอะไรแล้วหรือ” องค์หญิงหลิงอวี๋เป็นภรรยาของเซว์กั๋วกง และตอนนี้เขาล้วนให้ความสนใจในทุกเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเซว์กั๋วกง
“นางบอกว่าข้า…เห็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยาเป็นลูกแท้ๆ ไปเสียได้ แค่เลี้ยงดูลูกที่เกิดจากอนุภรรยาคนหนึ่งก็ต้องทำเสียเหมือนตัวเองเป็นผู้ให้กำเนิด จากนั้นก็เอ่ยถึงซ่งอิงโดยกล่าวว่านางน่าสงสาร อะไรทำนองนี้…” หลานซื่อค่อนข้างอึดอัดใจเช่นกัน
เดิมทีระยะนี้สองตระกูลมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว
ทั้งสองตระกูลคุยกันไว้ว่าจะยกบุตรสาวคนหนึ่งของตระกูลไคหยางกงให้ลูกชายของน้องสาวสามีนาง
นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างดีทีเดียว แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จู่ๆ จึงได้แตกคอขึ้นมาเสียดื้อๆ
ไม่เพียงแต่ไม่พูดถึงเรื่องงานแต่ง มิหนำซ้ำยังมองนางอย่างดูถูกดูแคลนไปเสียทุกอย่าง
คนเขาเป็นถึงองค์หญิง ต่อให้นางไม่พอใจสักเพียงใดก็มีบางถ้อยคำที่ไม่กล้าพูดออกไป
“เซว์กั๋วกงระยะยี้แปลกๆ ไปเช่นกัน” เหยียนผิงโหวขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ครั้นสิ้นเสียงพูด ด้านนอกมีคนมารายงาน “แย่แล้วขอรับ ท่านโหว! ซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บขอรับ!”
ครั้นถ้อยคำนี้หลุดออกมา ทั่วทั้งเรือนก็เต็มไปด้วยความโกลาหล สองสามีภรรยารีบร้อนออกไป เห็นเพียงบุตรชายเหมือนทะเลาะวิวาทกับคนอื่นมาแล้ว บาดเจ็บไปทั้งตัว น่าสงสารอย่างยิ่ง
ตอนที่ 656 อับอายจนโกรธเกรี้ยว
ขณะเหยียนผิงโหวมองบุตรชายคนโต ความเดือดดาลพลันปะทุขึ้นมาในใจ
เขามีทายาทไม่น้อยทีเดียว ปัจจุบันบุตรชายบุตรสาวที่อยู่ภายใต้นามฮูหยินมีอย่างละสองคน
แต่ในความเป็นจริง บุตรชายคนรองยังเล็ก มิหนำซ้ำร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ก็แค่เด็กขี้โรคคนหนึ่ง มีแค่บุตรชายคนโตผู้นี้ที่ทั้งตระกูลรักและเอ็นดูอย่างยิ่ง คอยเฝ้าดูเขาราวกับไข่มุกก็ไม่ปาน ปัจจุบันเติบใหญ่ขนาดนี้แล้ว ไม่นึกเลยว่าออกจากบ้านทีก็ยังปล่อยให้ถูกคนซ้อมได้อีกหรือ!
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!” เหยียนผิงโหวจ้องเด็กรับใช้หนุ่มตาเขม็งขณะเอ่ยถาม
ข้ารับใช้เด็กหนุ่มตัวสั่นเทา “ท่านโหว…คุณชายใหญ่เดิมทีกินดื่มสุราอยู่ที่ที่พักหมิงหลี่ บรรดาคุณชายพูดคุยกันสนุกสนานดี แต่อาจเพราะดื่มมากไป เซว์ซื่อจื่อพูดจาเหน็บแนมซื่อจื่อพวกเราสามสี่ประโยค จากนั้นก็มีปากเสียงกันขึ้นมา แล้วต่อจากนั้นก็…”
“พวกเขาคุยอะไรกัน ไฉนถึงขั้นทะเลาะวิวาทขึ้นมาได้” เหยียนผิงโหวยิงฟังยิ่งโมโห
“ก็ไม่มีอันใดขอรับ…แค่ซื่อจื่อพวกเราพูดคุยสัพเพเหระ พูดไปถึงบรรพบุรุษ ซื่อจื่อกล่าวว่าท่านปู่ของท่านโหวกล้าหาญดุดัน อาศัยพลังความสามารถก็คว้าบรรดาศักดิ์สูงส่งมาได้ แล้วยังพูดไปถึงตอนรุ่นบรรพบุรุษนั่นมีความสัมพันธ์อันดีกับไคหยางกง ตอนนั้นได้ยินว่าไคหยางกงมีสุราชั้นดีหรือสตรีงามล้วนแบ่งปันให้ท่านโหวอาวุโสของพวกเราทั้งนั้น…ยามที่เอ่ยถึงตรงนี้ เซว์ซื่อจื่อจึงเอ่ยถามว่า ในเมื่ออดีตสองตระกูลมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเช่นนี้ เช่นนั้นตอนนี้หากเขาหมายตาสิ่งใดของซื่อจื่อพวกเราเข้าแล้วจะเป็นอย่างไร…
ตอนนั้นซื่อจื่อยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นทันใดว่า ย่อมเป็นเช่นเดียวกับรุ่นบรรพบุรุษ จากนั้นเซว์ซื่อจื่อก็ชี้หน้าซื่อจื่อพวกเราแล้วกล่าวว่า ถูกใจเข็มขัดบนตัวซื่อจื่อพวกเรา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ปลดเข็มขัดเอามาเสียสิ…”
เหยียนผิงโหวได้ยินดังกล่าว หน้าตาถมึงทึงขึ้นทันที
เข็มขัดไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือคำพูดนี้ก็คือการดูถูกคนอื่นเขาอยู่
ในสถานที่สาธารณะมีผู้คนมากมาย การปลดเข็มขัดออก หมายความว่าจะให้กลับไปพร้อมอาภรณ์ที่ไม่เป็นระเบียบหรือ
หากบุตรชายเขาถอดเข็มขัดออก คนรอบข้างมีแต่จะคิดว่าบุตรชายเขาเกรงกลัวเซว์กั๋วกง ดังนั้นจึงได้ตอบตกลงแม้กระทั่งคำขอที่เกินไปขนาดนี้ หากไม่ปลด ก็จะเป็นการกล่าวว่าบรรพบุรุษตระกูลเซว์มีของดีๆ ยังเต็มใจแบ่งให้ตระกูลเขาเลย บัดนี้ทายาทรุ่นหลังไม่รู้สำนึกบุญคุณ พวกเขาต้องการแค่เข็มขัดเส้นเดียวยังสละให้ไม่ได้…
บุตรชายเขาผู้นี้ไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องของบรรพบุรุษเลย
แน่นอนว่าซื่อจื่อเซว์ผู้นั้นหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผลเช่นกัน มองไม่ออกหรือว่าบุตรชายเขามีเจตนาดี ตอนนี้ไม่นึกเลยว่าศักดิ์ศรีของตระกูลเขาจะถูกย่ำยีอย่างโหดร้ายเช่นนี้!
และด้วยความที่เรื่องนี้ไม่อาจทำให้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตได้ มิเช่นนั้นคนเขายังจะนึกว่าตระกูลเขาอยากประจบสอพลอ นี่เป็นอะไรที่น่าอับอายจนชวนโมโหยิ่งนัก!
เหยียนผิงโหวคิดดังนี้ ก็รู้สึกหงุดหงิดไปหมด
ดีที่ล้วนเป็นการบาดเจ็บภายนอก อาการไม่รุนแรง
“ตอนนี้เจ้าเติบใหญ่แล้ว ไฉนยังบุ่มบ่ามเช่นเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาอยู่อีก! ช่วยใช้สมองกับทุกเรื่องราวให้มากหน่อยเถิด สองสามวันก่อนข้าเพิ่งพูดกับเจ้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของเซว์กั๋วกง วันนี้เจ้าก็ขัดแย้งกับเซว์เส้าชุนขึ้นมาอีก นี่ก็ว่าแย่แล้ว มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่าคนเขามีความนึกคิดอันใด เจ้าก็เป็นฝ่ายประจบสอพลอเสียก่อนแล้ว ช่างโง่เขลาจริงๆ!” เหยียนผิงโหวกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซื่อจื่อตระกูลเขาทะเลาะวิวาทกับเซว์เส้าชุนผู้นั้น นึกถึงตอนนั้น เดิมทีสองตระกูลคบหากันดีๆ แต่เพราะเด็กไม่รู้ความ เอะอะต้องการจะขี่ม้าแข่งกัน จึงได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น!
เขาไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องในตอนนั้น อย่างไรเสียตอนนั้นบุตรชายเขาผู้นี้ก็ยังเด็ก ไม่รู้ความอยู่บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กน้อยสิบกว่าขวบแล้ว ไม่นึกว่ายังจะไร้เดียงสาเช่นนี้!
หลังได้ยินคำพูดของบิดา ในใจซ่งถางปิ่งรู้สึกย่ำแย่ “ท่านพ่อ สองปีมานี้ไปมาหาสู่กับตระกูลเขาไม่น้อย ก่อนหน้านี้มิใช่ลักษณะนี้ ตอนนั้นต่างฝ่ายต่างพูดล้อเล่นก็ไม่เห็นจะมีอะไร ใครจะรู้ว่าตอนนี้จู่ๆ ก็บ้าขึ้นมาเสียแล้ว”
พูดจบ ซ่งถางปิ่งก็กัดฟันแน่นและลูบหน้าท้อง
“ตอนนี้เจ้าเป็นคนที่อายุสามสิบกว่าแล้ว สนามขุนนางเป็นเช่นไรเจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้ดีกับเจ้า พรุ่งนี้ข่มขู่เจ้า ไม่แยแสเจ้าก็เป็นเรื่องธรรมดา เดิมทีเจ้าก็สมควรเก็บอาการหน่อย ไฉนเพราะคนอื่นยกยอเจ้าเล็กน้อยก็ต้องกำเริบเสิบสานขึ้นมาแล้วด้วยเล่า”