ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 689 คุณชายพูดมาก ตอนที่ 690 สามีภรรยารักใคร่กันดี
ตอนที่ 689 คุณชายพูดมาก / ตอนที่ 690 สามีภรรยารักใคร่กันดี
ตอนที่ 689 คุณชายพูดมาก
ซ่งเหล่าเกินถอนหายใจ “ตามใจเจ้า”
“จะเล่นก็เล่นได้ เพียงแต่ว่า…ลูกต๋าบ้านข้าต้องอ่านตำรา ไม่มีเวลาว่างมากนัก เกรงว่าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ไม่นานหรอก หากเจ้าเบื่อหน่าย…ไปหาเด็กคนอื่นในหมู่บ้านเล่นด้วยกันจะดีกว่า” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กล่าว
“ลูกอู่บ้านข้าก็เช่นกัน ยุ่งมากเชียวละ” เจียวซื่อกล่าวทันที
ซ่งถังหังหน้าแดงในชั่วพริบตา
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาถูกปฏิเสธซึ่งๆ หน้า แล้วจะไม่อับอายได้อย่างไรเล่า“เป็นข้าเองที่ทำไม่ถูก ลืมไปว่าน้องชายทั้งสองยังต้องเรียนหนังสือ ทว่า…ข้าอยู่เมืองหลวงก็มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงคอยชี้นำเช่นกัน ดังนั้นก็พอคุยแลกเปลี่ยนกับน้องชายทั้งสองด้วยได้ หากบรรดาน้องชายมีอะไรไม่เข้าใจ ข้าก็จะพยายามสุดความสามารถเพื่อชี้แนะ” ซ่งถังหังกล่าวอีกครั้ง
พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หากพวกเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ยังคงปฏิเสธก็จะดูเกินไปหน่อย
พวกนางจึงส่งเสียงหัวเราะเจื่อน “จะลำบากเจ้าได้อย่างไรเล่า หากเจ้าเบื่อหน่าย จะเล่นกับพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราวก็ไม่เป็นอันใด ทว่าในส่วนเรื่องของการชี้แนะพวกเขาอย่าลำบากเลยจะดีกว่า…”
ไม่ใช่นางเป็นคนใจแคบ แต่นางไม่กล้ายกลูกชายของตนให้คุณชายน้อยลักษณะเช่นคนผู้นี้
แม้กล่าวได้ว่าซ่งถังหังมองดูไม่ได้มีข้อเสียอะไรใหญ่โต แต่ดูแล้วเป็นคนที่เจ้าเล่ห์อยู่บ้าง
รูปลักษณ์เขาไม่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากพอ อุปนิสัยก็ไม่ชวนให้สบายใจมากพอเช่นกัน ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีเป็นส่วนใหญ่
ผิดกับซ่งซินหัวผู้นี้ แม้ว่ามีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ก็ดีที่เป็นคนตรงไปตรงมา รอยยิ้มสดใส อีกทั้งสุขภาพร่างกายก็แข็งแรงดี ไม่ใช่เดินไปสองเก้าก็ส่งเสียงไอไม่รู้กี่ครั้ง ยิ่งชวนให้ผู้คนรู้สึกสบายใจไม่น้อย
เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ซ่งถังหังก็ไม่ตอแยอีกต่อไปเช่นกัน
กินข้าวเสร็จเรียบร้อย ท้องนภายังไม่มืดมิด ซ่งถังหังจึงเดินไปหาซ่งต๋าและซ่งอู่ทันที
ซ่งต๋าและซ่งอู่กำลังใช้มีดดาบไม้ท้อฝึกฝนกระบวนท่าที่อาจารย์ศิลปะการต่อสู้สอนไว้ มองดูเก้ๆ กังๆ อย่างยิ่ง ทั้งสองคนฟาดฟันกันไปมา ดูมีความสัมพันธ์ดีงามเป็นพิเศษ
“น้องชายทั้งสองคงเหน็ดเหนื่อยน่าดู…ข้าได้ยินมาว่าปกติแต่ละวันพวกเจ้าล้วนอาศัยอยู่กับพี่สาวร่วมตระกูล เช่นนั้น…นี่คือสิ่งที่พี่สาวร่วมตระกูลให้พวกเจ้าฝึกฝนใช่หรือไม่” ซ่งถังหังกล่าว
เด็กน้อยในชนบท จะอย่างไรก็ไม่ถึงขั้นอยากฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ด้วยตัวเองหรอกกระมัง
ต้องเป็นซ่งอิงอยู่เมืองหลวงได้พบเห็นอะไรต่อมิอะไร จึงเอาแนวทางดังกล่าวมาสั่งสอนเด็กๆ ในตระกูลซ่งเป็นแน่ ดังนั้นก็แค่ลอกเลียนแบบมาบ้างเท่านั้นเอง
ซ่งต๋าเหลืออดกับการที่ซ่งถังหังทำให้เสียเวลา “เจ้ามีอะไรจะถามใช่หรือไม่ ข้ามักรู้สึกว่าเจ้าแปลกๆ ทุกครั้งที่เอ่ยปากเป็นต้องเอ่ยถึงพี่สาวคนรองของข้าอยู่เรื่อย เจ้าหมายความว่าอันใดหรือ”
“ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าปัจจุบันพี่สาวร่วมตระกูลเป็นอย่างไรบ้าง คิดว่าพวกเจ้าก็ย่อมรู้เช่นกันว่าความจริงนางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้า…” ซ่งถังหังกล่าวในทันที
“พี่สาวคนรองของข้าสบายดีมาก เจ้าวางใจเถอะ!” ซ่งต๋ากลอกตามองบนอย่างอดไม่ได้
“จริงสิ สองวันนี้ข้าพบว่าชาวบ้านของหมู่บ้านเราดูเหมือนต่างก็ตื่นนอนพร้อมๆ กัน แล้วยังมีคนจำนวนมากวิ่งรอบหมู่บ้าน เพื่ออะไรหรือ” ซ่งถังหังกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“อ้อ เมื่อก่อนพี่สาวคนรองข้าเลี้ยงไก่ที่เก่งกาจตัวหนึ่งไว้ มันส่งเสียงขันดังเป็นพิเศษ ส่งผลให้ไก่และหมาในหมู่บ้านพากันส่งเสียงขึ้นมาตามๆ กัน ทุกคนนอนไม่หลับจึงตื่นนอน แม้ว่าตอนนี้ไก่ตัวที่กล่าวถึงนั่นไม่อยู่แล้ว แต่ก็เคยชินกันเสียแล้ว” ซ่งต๋ากล่าวตามตรง
“เช่นนี้เองหรือ ข้ายังนึกว่าในหมู่บ้านนี้มีอาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ที่เก่งกาจสอนทุกคนต่อสู้เสียอีก!” ซ่งถังหังยิ้มเล็กน้อย
ซ่งต๋าชักมือที่ออกกระบวนท่าหดกลับแล้วมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “ลุงๆ ในหมู่บ้านล้วนดำรงชีวิตโดยอาศัยการทำนา จะเรียนศิลปะการต่อสู้ไปทำไม เจ้าคนผู้นี้ช่างเข้าใจพูดจริงๆ”
“ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ต่างกับที่อื่นๆ เหมือนจะเข้าใจระเบียบปฏิบัติมากกว่า ไม่ค่อยเหมือนคนธรรมดาทั่วไปก็เท่านั้นเอง…” ซ่งถังหังกล่าว
คำพูดนี้ไม่ใช่คำโกหกแต่อย่างใด
ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้พร้อมมารวมตัวกันอย่างง่ายดายกว่าที่อื่นๆ
บ้างก็เฝ้าภูเขา บ้างก็เฝ้าหมู่บ้าน มองดูขึงขัง บรรดาชาวบ้านมีแนวคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียว แต่งกายค่อนข้างสะอาดเรียบร้อย
เขาสงสัยว่าคนเหล่านี้ถูกคนของตระกูลเซว์กั๋วกงเลี้ยงดูไว้
แต่ก็รู้สึกอีกว่าหมู่บ้านใหญ่โตขนาดนี้ และผู้คนตั้งมากมายขนาดนี้ เซว์กั๋วกงจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า
ตอนที่ 690 สามีภรรยาที่รักใคร่กันดี
ซ่งต๋าพบว่าคำพูดของซ่งถังหังประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
“เมื่อก่อนหมู่บ้านพวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านอื่นหรอก เพียงแต่ชีวิตในสองปีมานี้สุขสบายขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านคอยดูแลสั่งสอนอย่างเข้มงวด เด็กที่ได้เล่าเรียนหนังสือเช่นข้านับวันยิ่งมากขึ้น พี่สาวคนรองของข้ากล่าวไว้ว่าเรียนหนังสือให้มากๆ จะช่วยให้มีความสามารถ ดังนั้นคนของหมู่บ้านพวกเราย่อมมีเหตุมีผลมากกว่าชาวบ้านที่อื่นหน่อยเป็นธรรมดา” ซ่งต๋าไม่ได้คิดอะไรมากมาย จึงบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“แน่นอนว่านี่ก็ถือเป็นน้ำพักน้ำแรงของพี่สาวคนรองข้าเช่นกัน” ซ่งต๋ากล่าวเสริมอีกประโยค
“ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้หรือ” ซ่งถังหังตกตะลึง
เอ่ยถึงซ่งอิง ซ่งต๋ากล่าวชมเชยได้อย่างเต็มปากไม่มีที่สิ้นสุด
ในตอนนี้เขาจึงเล่าอย่างภูมิอกภูมิใจ “เจ้าเป็นคนจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ ย่อมไม่รู้ว่าการที่ชาวบ้านยากจนอยากจะเรียนหนังสือนั้นเป็นเรื่องยากเย็นเพียงใด เดิมทีคนของหมู่บ้านพวกเรายากจนเช่นกัน แต่สองปีมานี้ทุกคนล้วนเอาเมล็ดซิ่งจากต้นซิ่งบนเขาเอามาขาย จึงช่วยเพิ่มรายรับหลายตำลึงเงิน เจ้ามองเห็นแตงเหล่านั้นที่ปลูกเอาไว้ในลานบ้านทุกคนหรือไม่ ของสิ่งนั้นก็เอามาทำเป็นผงได้เช่นกัน ขายได้ราคาไม่เลวเลย…”
“สิ่งเหล่านี้พี่สาวคนรองของข้าเป็นเสนอความคิดให้ทั้งหมด นอกจากนั้น สามีของพี่สาวคนรองข้าก็ยังใจบุญกับหมู่บ้านเราอย่างยิ่ง ทุกปีเป็นต้องบริจาคเงินก้อนโตมาให้หมู่บ้าน ปัจจุบันในหมู่บ้านมีที่ดินทำเลดีหนึ่งผืนใหญ่เอาไว้ใช้สำหรับให้พวกเราเล่าเรียนหนังสือ…”
“ตราบใดที่เรียนหนังสือที่โรงเรียนของหมู่บ้าน ให้สินน้ำใจแก่อาจารย์สักหน่อย จะมากจะน้อยล้วนไม่สำคัญ ขอเพียงเด็กยอมเล่าเรียนก็จะได้รับส่วนลดกันบ้างทั้งนั้น พี่สาวคนรองข้ายังเสนอแนะกับทางโรงเรียนว่าเด็กสามคนที่มีผลคะแนนการสอบเรียนดีที่สุดในทุกปีก็ควรจะมีรางวัลให้อีกด้วย…”
“โดยสรุป หากไม่มีพี่สาวคนรองของข้า หมู่บ้านเราจะมีบรรยากาศเช่นทุกวันนี้ได้เสียที่ไหนกัน” ซ่งต๋ากล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งถังหังได้ยินดังกล่าวถึงกับอึ้งทึ่ง
“เหตุผลที่ทุกคนเห็นความสำคัญของการเรียนหนังสือเช่นนี้ แน่นอนว่ายังเป็นเพราะ…” ซ่งต๋าคลี่ยิ้ม “เมื่อก่อนน่ะ มีคนจิตใจต่ำช้าผู้หนึ่ง เพื่อทำให้พี่สาวคนรองข้าแต่งงานใหม่กับเขา เขาจึงกระทำความผิดร้ายแรงอย่างการลักพาตัวเด็ก สุดท้ายถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ในวันที่เสียชีวิต มีคนของหมู่บ้านเราไปดูการพิจารณาโทษด้วย หลังจากกลับมา เพื่อไม่ให้เด็กๆ รุ่นหลังในครอบครัวเจริญรอยตามหลี่จิ้นเป่า พวกผู้ใหญ่จึงเข้มงวดขึ้นมาก”
“แต่งงานใหม่หรือ เช่นนั้นคนผู้นี้ก็เหลวไหลเกินไปแล้ว พี่สาวร่วมตระกูลมีสามีแล้วแท้ๆ…”
“เจ้าไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้คนที่พี่สาวรองของข้าแต่งงานด้วยคือคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว ภายหลังต่อมาจู่ๆ พี่เขยก็ปรากฏตัวขึ้นมา พี่สาวคนรองข้าค่อนข้างใจกว้าง คิดว่าคนผู้นี้ไหนๆ ก็มีชีวิตอยู่ จะจับกดกลับเข้าไปในโลงศพก็คงไม่ได้กระมัง ถึงอย่างไรฮั่วหรงพี่เขยก็ถือว่าเป็นคนดีและอุปนิสัยก็ดีเยี่ยมเช่นกัน นี่สามีภรรยาจึงได้มีความรักใคร่กันดี” ซ่งต๋ากล่าวขึ้นอีกครั้ง
ที่กล่าวว่าเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันดี นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าพี่เขยมักส่งสิ่งของมาให้พี่สาวคนรองบ่อยครั้ง
หากพี่เขยไม่ชอบพี่สาวคนรองของเขาแล้วจะเอาอกเอาใจเช่นนี้ทำไมเล่า
“เช่นนั้น…” ซ่งถังหังใจเต้นระรัว ยิ่งได้ฟังยิ่งประหลาดใจ “เช่นนั้น…พี่สาวร่วมตระกูลไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนอื่นบ้างเลยหรือ อย่างเช่น…อย่างเช่นพวกคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์อะไรทำนองนี้”
เขายังนึกว่าซ่งอิงอยู่อาศัยในเรือนหลังโตและซื้อหมู่บ้านสวนกว้างใหญ่ได้ หลักๆ เป็นเพราะเกาะคุณชายรองของตระกูลเซ่ว์กั๋วกงได้อยู่หมัดแล้วเสียอีก…
“มีสิ” ซ่งต๋ามองออกแล้วเช่นกันในตอนนี้
คนผู้นี้พูดมาตั้งมากมายขนาดนี้ ความจริงก็เพราะอยากเอ่ยถามเรื่องนี้กระมัง
“เพียงแต่ว่าไม่ใช่เช่นที่เจ้าคิดหรอก พี่สาวคนรองข้าเป็นคนมีคุณธรรม ไม่ทำตัวประจบสอพลอเพื่อให้เป็นที่โปรดปรานของคนอื่นอย่างแน่นอน สองปีมานี้ช่วงเวลาที่ข้าได้คลุกคลีกับนางยังมากกว่าที่ข้าพูดคุยกับท่านแม่ข้าอีก ดังนั้นข้าเข้าใจเรื่องของนางอย่างดีเลยละ!”
“พี่สาวคนรองข้าคบหาสมาคมกับคนนอกน้อยครั้งมาก นางเป็นคนที่ค่อนข้างเหนื่อยหน่าย ไม่ชอบพูดคุยกับผู้คนมากมายเลยสักนิด เมื่อก่อนมีคุณชายจากตระกูลร่ำรวยคนหนึ่งเคยมาพักที่บ้านมารดาข้าระยะหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน”