ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 7 แสงทองที่สำคัญยิ่ง ตอนที่ 8 เรื่องการแต่งงาน
ตอนที่ 7 แสงทองที่สำคัญยิ่ง
ซ่งอิงแอบคิดว่าช่องว่างระหว่างมิตินี้มีความเกี่ยวข้องกับนาง ก็เหมือนความตระหนักได้ที่รับรู้เกี่ยวกับขวดหยกใบนี้
ดังนั้นภายในใจจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกสิ่งอย่างในช่องว่างระหว่างมิตินี้ล้วนไม่เป็นอันตรายต่อนาง ส่วนน้ำทะเลสาบนี้เป็นของดีที่ดูเหมือนจะ…
ซ่งอิงขมวดคิ้ว น้ำทะเลสาบนี้ดูเหมือนจะนำมาใช้รดน้ำได้?
ครั้นสัมผัสได้ถึงประโยชน์ใช้งานของสิ่งนี้แล้ว ซ่งอิงพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก
นางหันกลับไปมองของอีกอย่างในช่องว่างระหว่างมิติ นั่นคือต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นหนึ่งซึ่งเหมือนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาไปแล้ว
บนต้นปราศจากใบไม้ มีเพียงผลไม้หนึ่งผล ผลนั้นปรากฏแสงทองระยิบระยับ เสมือนกำลังดึงดูดซ่งอิงให้เดินเข้าไปเด็ดมันมากิน
ซ่งอิงก็ลงมือเด็ดมันด้วยเช่นกัน กระทั่งเข้าปากไปแล้ว ซ่งอิงถึงได้สติขึ้นมา นางหงุดหงิดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าตนเองจะอดทนต่อการหลอกล่อไม่ได้ถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกผลไม้ลูกหนึ่งครอบครับงำความนึกคิดจิตใจเอาได้
ตอนนี้กินก็กินเข้าไปแล้ว…
ผลไม้ละลายทันทีที่เข้าปาก พละกำลังบางอย่างแผ่ซ่านภายในเรือนกาย
หลังเวลาผ่านไปชั่วครู่ ซ่งอิงคิดว่าทั่วทั้งร่างตนเองเต็มไปด้วยพละกำลัง สมองปลอดโปร่ง อีกอย่างก็คือ…
ซ่งอิงยกมือขึ้นมา ค้นพบว่าใจกลางมือฝ่ามือขวาของตนปรากฏแสงสีทองสว่างวูบวาบ จากนั้นพลันเลือนหายไปในชั่วพริบตา นางสะบัดมือ กลับไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ เสียแล้ว ทว่าจิตใจสำนึกบอกกล่าวนางว่า…แสงสีทองนี้สำคัญยิ่ง
ซ่งอิงไม่กล้าคิดมากมายเกินไปเช่นกัน ในช่องว่างระหว่างมิตินี้มีเพียงต้นไม้ และขวดหยกที่กำลังรินน้ำไหลลงมากลายเป็นทะเลสาบ ส่วนด้านนอกนั่น จะให้หร่วนซื่อค้นพบว่านางหายตัวไปมิได้เชียว
ในสมองซ่งอิงครุ่นคิดอยู่ว่าควรออกไปอย่างไร ครั้นความคิดนี้บังเกิดขึ้นก็กลับมาปรากฎตัวในห้องอีกครั้ง
ทันใดนั้นนางจึงพอประมาณการณ์ได้
ทะลุมิติข้ามภพมา แม้ว่าใบหน้านี้ถูกทำลายเสียโฉมแล้ว อยู่ในหมู่บ้านนี้ ก็กลายเป็นสตรีวัยผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้ออกเรือน แต่บัดนี้มีช่องว่างระหว่างมิติเป็นสิ่งตอบแทน ในใจซ่งอิงจึงรู้สึกวางใจขึ้นมากจริงๆ
นางกับขวดหยก ‘มีจิตเชื่อมต่อกัน’ แม้ว่าใจความหลักๆ ยังไม่รู้ว่าน้ำทะเลสาบรดพืชผลแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่มั่นใจได้ว่า จะมีแต่คุณไร้โทษอย่างแน่นอน!
บิดามารดายังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงดี พี่ชายรักและเอ็นดู ตามจริงเป็นหญิงสาวในครอบครัวชาวบ้านก็ไม่เลวเช่นกัน
ซ่งอิงรู้สึกอิ่มเอมจิตใจ
หลังเวลาผ่านพ้นไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ซ่งจินซานและซ่งสวินเดินตามๆ กันกลับมา
แต่เดิมซ่งอิงรู้สึกร่างกายเบาหวิวอ่อนแรง ทว่าหลังกินผลไม้นั่น ทั่วทั้งเรือนร่างรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา และมีพละกำลังแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงลงมาจากเตียงได้พักใหญ่แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่หร่วนซื่อถนอมนางเสียเหลือเกิน จะอย่างไรก็ไม่ยอมให้นางช่วยทำกับข้าว
ซ่งอิงรู้เช่นกันว่าจะรีบร้อนไม่ได้ จึงทำอย่างที่หร่วนซื่อบอกกล่าว คือการนั่งคอยอย่างว่าง่าย
ซ่งจินซานเป็นบุรุษวัยกลางคนอายุสามสิบสี่ย่างสามสิบห้าปี หน้าตาซื่อตรง โครงร่างใหญ่ มองดูค่อนข้างกำยำล่ำสัน ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้แยกครอบครัว เขาและอาสามรับหน้าที่หลักในบ้านอย่างงานประเภทใช้กำลังทำไร่ทำนา ดังนั้นจึงมีพละกำลังมากพอตัว
ตอนนี้แยกครอบครัวแล้ว ซ่งจินซานหางานรับเหมาที่ใช้แรงกำลัง เพียงแต่หลายวันนี้ทำการไถพรวนปลูกพืชถึงได้กลับมาบ้าน
เสื้อผ้าเขาเก่าจนเกิดคราบเหลือง ทันทีที่ดวงตามองเห็นนางกลับแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนอย่างยิ่ง “สาวน้อยสีหน้าดีขึ้นมากแล้วนี่ ช่วงบ่ายที่ล้มคะมำไปทำแม่เจ้าตกใจแทบแย่ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บหัวอยู่หรือไม่”
ซ่งอิงรีบส่ายหน้าทันที “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
ทว่าคำพูดนี้ คนทั้งสามในครอบครัวล้วนไม่เชื่อ
“ท่านพ่อ เมื่อครู่ข้าออกไปข้างนอกมา หาเด็กๆ พวกที่รังแกน้องสาวแล้วถามไถ่ดู เรื่องราววันนี้ปรากฏว่ามีคงสั่งให้ทำจริงๆ ขอรับ” ซ่งสวินดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่งค่อยเอ่ยปากบอกกล่าว
พอคำพูดนี้กล่าวออกมา ซ่งจินซานที่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่งหยกๆ ดีดตัวลุกขึ้นยืนทันใด จ้องมองด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว “เป็นใครกัน!?”
โดยปกติแล้วซ่งจินซานกระทำเรื่องใดๆ ก็ตามมักนุ่มนวลใจเย็น และไม่ค่อยช่างพูดเท่าใดนัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีอารมณ์เกรี้ยวกราด
“ไอ้เด็กหนุ่มครอบครัวหลี่ผู้นั้นขอรับ” ซ่งสวินเอ่ยปากกล่าว
ซ่งจินซานขมวดคิ้ว
ไอ้เด็กหนุ่มของครอบครัวหลี่ เช่นนั้นก็คือหลี่จิ้นเป่าน่ะหรือ?!
ซ่งอิงครุ่นคิดบ้างเช่นกัน โดยขุดคุ้ยหลี่จิ้นเป่าคนผู้นี้ออกมาจากความทรงจำอันมากมาย
ตอนที่ 8 เรื่องการแต่งงาน
ก่อนไปจวนโหว เจ้าของร่างมีวัยสิบห้าปีแล้ว
แม้ว่าตอนแรกมองดูไม่ค่อยเหมือนคุณหนูแห่งตระกูลผู้สูงศักดิ์ ทว่าพื้นเพนางดี เครื่องหน้างดงามอย่างแท้จริง แม้ในครอบครัวไม่ค่อยให้นางทำงาน แต่นางกลับยังคงขยันหมั่นเพียร ดังนั้นเป็นที่กล่าวถึงในหมู่บ้านแง่ดีงามทีเดียว
บรรดาชาวบ้านต่างรับรู้แต่แรกๆ เช่นกันว่าเจ้าของร่างไม่ใช่บุตรสาวโดยสายเลือดของครอบครัวนี้ ทว่าใจความหลักส่วนที่ว่ามากจากแห่งหนใด ทุกคนล้วนไม่ทราบแน่ชัด เพียงแต่แอบได้ยินบรรดาลูกสะใภ้ทางด้านครอบครัวซ่งนี้พูดข้อมูลแพร่งพรายออกมาว่ามาจากคนใหญ่คนโต
อันเนื่องจากความสัมพันธ์ระดับนี้ คนจำนวนไม่น้อยจึงหมายปองเจ้าของร่าง
ยามที่เจ้าของร่างวัยสิบสองปี ก็มีผู้คนมาถึงบ้านเพื่อดูตัว ซึ่งครอบครัวหลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
อีกทั้งยามที่หลี่จิ้นเป่าและซ่งสวินเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกัน เจ้าของร่างก็ไปส่งอาหารให้ถึงชั้นเรียน จึงคุ้นเคยกับหลี่จิ้นเป่ามากพอตัว และมีความสัมพันธ์ที่นับว่าไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยท่ามกลางเพศตรงข้าม เจ้าของร่างก็เคยพูดคุยกับเขามากที่สุด แน่นอนว่าบุรุษและสตรีมีความแตกต่างกัน การเคยพูดคุยหลายประโยคก็มิได้หมายความว่าเจ้าของร่างจะเข้าใจในตัวเขาอย่างดี
หนึ่งเดือนก่อนที่เจ้าของร่างจะจากหมู่บ้านซิ่งฮวาไป จริงอยู่ที่สองครอบครัวเคยพูดคุยเรื่องงานแต่งเอาไว้
ตอนนั้นครอบครัวหลี่มาพูดคุยเพื่อขอให้เห็นดีเห็นงามด้วย ซึ่งหร่วนซื่อและซ่งจินซานลังเลใจอยู่เล็กน้อย
คิดว่าเจ้าของร่างยังเยาว์วัย อยากให้รออีกสองปี แต่ครอบครัวหลี่ดื้อดึงอย่างยิ่ง แสดงออกเป็นนัยว่าไว้อีกหนึ่งอีกปีจะหมั้นหมาย เมื่อถึงวัยสิบแปดปีค่อยเข้าสู่ครอบครัวก็ย่อมได้ ตอนนั้นสองสามีภรรยาคิดว่าหลี่จิ้นเป่าก็เป็นเด็กที่ไม่เลวคนหนึ่ง ทั้งยังรู้หัวนอนปลายเท้า จึงกล่าวว่าขอไตร่ตรองดูหน่อย
ทั้งสองครอบครัวไปมาหาสู่กันหลายครั้ง ท้ายที่สุดครอบครัวซ่งจึงเอ่ยว่า ให้ทั้งสองคนศึกษาดูใจกันไปอีกหน่อย หากมีใจปรารถนาซึ่งกันและกัน เช่นนั้นเมื่อถึงวัยสิบหกปีค่อยให้ทั้งสองคนหมั้นหมายกัน
ใครจะรู้ว่าจวนโหวจะเข้ามาเตะตัดหน้า เพิ่งตกลงเรื่องนี้ไว้ดิบดี ก็นำตัวคนเขาพาไปเสียแล้ว
ครอบครัวหลี่คิดว่าเจ้าของร่างจะได้สลัดคราบกลายเป็นคุณหนูใหญ่แล้ว ดีอกดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ พาหลี่จิ้นเป่ามาถึงบ้าน กล่าวว่าจิ้นเป่าจะคอยนางอยู่ที่บ้าน ไว้นางเข้าสู่ตระกูลผู้สูงศักดิ์แล้ว ก็บอกกล่าวกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดนางไว้เสียหน่อย…
เจ้าของร่างไม่ใช่คนโง่เขลา ซ่งจินซานและหร่วนซื่อเองยิ่งรู้ดีแก่ใจ พวกเขาไม่ใช่บิดามารดาผู้ให้กำเนิด บัดนี้คำพูดที่เคยเอ่ยไว้ยึดมาเป็นจริงเป็นจังได้ที่ไหนกัน
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวโดยอ้อมไป ณ ตรงนั้นว่า คำพูดที่รับปากไว้ก่อนหน้าเกรงว่าจะทำเช่นนั้นมิได้แล้ว เรื่องการแต่งงานของเจ้าของร่างทำได้เพียงปล่อยให้บิดามารดาผู้ให้กำเนิดตัดสินใจ
ครอบครัวหลี่จะยินยอมได้หรือ
จึงกล่าวว่าเจ้าของร่างได้ดิบได้ดีเป็นหงส์แล้ว ก็พลิกหน้าทำเป็นไม่รู้จักกัน
คนที่จวนโหวส่งมาแข็งแกร่งมากพอ นี่ถึงสร้างความเกรงกลัวจนครอบครัวหลี่ยอมจากไป
เวลาสองปี ไม่รู้เช่นกันว่าหลี่จิ้นเป่าคิดอย่างไรถึงได้ไม่ยอมหมั้นหมาย เจ้าของร่างได้ฟังคำพูดจากบิดามารดาบ้างแล้วเช่นกัน โดยกล่าวว่าจากนั้นต่อมาหลี่จิ้นเป่าก็ค่อนข้างตาสูงแต่มือไม่ถึง[1] กล่าวว่ามิใช่ไม่มีผู้ใดหมายปอง แต่เขามักไม่ชอบที่อีกฝ่ายหน้าตาไม่ดี หรือไม่ก็ฐานะไม่คู่ควรพอ…
วันนั้นที่เจ้าของร่างกลับมา หลี่จิ้นเป่าบุกเข้ามาถึงบ้านซ่ง
ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา
แต่พอเขามองเห็นเจ้าของร่างมีใบหน้าเช่นนี้ ตระหนกตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าของร่างสร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ตระกูลผู้สูงศักดิ์เข้าแล้ว และถูกทอดทิ้งอย่างสิ้นเชิง สีหน้านั้นก็พลันขมึงทึงในชั่วพริบตา
ไม่แม้แต่พูดจาใดๆ เดินเผ่นแน่บออกไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งเดือนนี้ ได้ยินว่าเพิ่งเจรจาหมั้นหมาย อีกฝ่ายคือแม่นางหมู่บ้านใกล้เคียง ดูเหมือนค่อนข้างมากความสามารถเช่นกัน
ว่ากันตามหลัก ปัญหาขี้ปะติ๋วนี้ก็น่าจะมลายหายไปแล้วถึงจะถูก ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้กลับลอบกระทำเรื่องเลวทราม ให้เด็กๆ เหล่านั้นมาหาเรื่องนาง
“ไยตอนแรกถึงมองไม่ออกเลยว่าหลี่จิ้นเป่าเป็นคนประเภทนี้!?” หร่วนซื่อถือชามข้าวเข้าบ้าน ถลึงตาเขม็งพลางกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
ซ่งสวินถอนหายใจ มองซ่งอิงปราดหนึ่ง “เมื่อก่อนข้าและเขาก็ไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าใดนัก แม้คิดว่าคนผู้นี้นิสัยดูจอมปลอมอยู่เล็กน้อย แต่คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ กลับคิดไม่ถึงเลยว่า…น้องพี่ เป็นข้าเองที่ผิดต่อเจ้า”
หากมิใช่เพราะเขาและหลี่จิ้นเป่าเคยเรียนด้วยกัน น้องสาวก็คงไม่ได้เข้าใกล้หลี่จิ้นเป่า หากมิใช่เพราะเขาไม่ทำความรู้จักตัวตนของหลี่จิ้นเป่าให้ชัดเจน ตอนแรกก็คงไม่เจรจาเรื่องการแต่งงานกับครอบครัวหลี่
“ท่านพี่ ท่านพูดอะไร? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับท่านล่ะเจ้าคะ!” ซ่งอิงรีบปลอบโยนทันที “ท่านพ่อท่านแม่ ท่านพี่ พวกท่านก็อย่าได้โกรธเกรี้ยวไปเลย หลี่จิ้นเป่าก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นแก่ตัว แม้ข้าเผชิญเรื่องราวแย่ๆ ที่จวนโหว แต่หากไม่ไปจวนโหว ตอนนี้อาจแต่งกับหลี่จิ้นเป่าไปแล้ว ซึ่งชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่ต่างจากดับสูญแล้ว ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้กลายเป็นเรื่องดีเสียอีกเจ้าค่ะ”
[1] ตาสูงแต่มือไม่ถึง (眼高手低) สำนวนจีน หมายถึง วาดหวังไว้สูง แต่ไร้ความสามารถกระทำให้เป็นผลสำเร็จ