ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 711 แยกคู่รักให้พลัดพรากจากกัน ตอนที่ 712 มิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน
- Home
- ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล
- ตอนที่ 711 แยกคู่รักให้พลัดพรากจากกัน ตอนที่ 712 มิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน
ตอนที่ 711 แยกคู่รักให้พลัดพรากจากกัน / ตอนที่ 712 มิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน
ตอนที่ 711 แยกคู่รักให้พลัดพรากจากกัน
ฮั่วเจ้ายวนมิใช่ว่าไม่ได้ฟังคำพูดของฮั่วซื่อเซี่ยงเลยเสียทีเดียว แต่เมื่อฟังมาถึงท้ายสุด เขาก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก
เมื่อก่อนเขาเคยจับโจรข่มขืนสตรีสามสี่คน โจรเหล่านั้นล้วนกระทำเรื่องอย่างการบุกเข้าห้องสตรีกลางดึกทำนองนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่าดูถูกเหยียดหยามยิ่งนัก หากจำเป็นต้องใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ในการแสวงหาสตรีสักคน เช่นนั้นทั่วหล้าจะมีกฎหมายไว้ทำไม
เพียงแต่ว่าเมื่อนึกถึงซ่งอิง ฮั่วเจ้ายวนก็กลัดกลุ้มอยู่บ้างเหมือนกัน
คนอื่นแต่งภรรยา ดูเหมือนไม่เห็นจะยากเย็นเพียงนี้เลย
มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ ตลอดค่ำคืนนี้ ซ่งอิงจึงพักผ่อนอย่างสบายไม่น้อย
และยามที่ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง ทางด้านฮั่วเจ้ายวนก็มาถึงสถานที่กังขังตัวปีศาจจิ้งจอกแล้ว เดิมทีเป็นห้องเก็บฟืนในจวน ก่อนจะถูกปรับปรุงให้เป็นห้องขัง ปีศาจจิ้งจอกที่ตอนนี้ถูกขังอยู่ในกรงเหล็กก็ได้สติขึ้นมามาก และไม่ได้อ่อนแอเท่าเมื่อวานแล้ว
ฮั่วเจ้ายวนเดิมทีกังวลใจว่าหลังปีศาจตนนี้ฟื้นก็จะแหกกรงได้ แต่ตอนนี้เห็นทีว่าเขาวิตกกังวลมากเกินไปหน่อย
เมื่อฮั่วเจ้ายวนมาเยือน ปีศาจตนนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที มองดูหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นระริก
“ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วย…” ปีศาจจิ้งจอกหมอบลงกับพื้น เอ่ยอย่างระมัดระวัง
ปากพ่นภาษาคนออกมา มันเป็นปีศาจจริงๆ ด้วย
“เจ้าอยู่อาศัยในตระกูลหลิวด้วยมีความปรารถนาอันใด” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวเสียงเย็นชา
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยมีความหวังดีกับหลิวเซิงจากใจจริงนะเจ้าคะ…” ปีศาจจิ้งจอกเผยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจอันเนื่องจากรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม “ใต้เท้า หลิวเซิงเป็นผู้มีพรสวรรค์ความสามารถ ข้าน้อยเลื่อมใสในตัวเขามาเนิ่นนาน จึงเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์คอยเคียงข้างกายเขา ใช้เวลาแต่ละวันกับเขาไปกับการแต่งกลอนวาดภาพ สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันดี ทำไมท่านต้องทำให้คู่รักพลัดพรากจากกันด้วยเจ้าคะ!”
“เจ้าเคยทำร้ายคนหรือไม่ มีพวกเดียวกันที่สมรู้ร่วมคิดหรือไม่ ทั่วหล้านี้มีปีศาจเช่นเจ้ามากน้อยเพียงใด” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวอีกครั้งในทันที
ครั้นปีศาจจิ้งจอกได้ยินถ้อยคำนี้ก็ตระหนกตกใจกลัวจนตัวสั่นเทา
“ข้าน้อยไม่เคยทำร้ายผู้คนจริงๆ นะเจ้าคะ และไม่มีพรรคพวกด้วย ข้ามีคนเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก ต่อมานายของข้าแก่เฒ่าแล้ว จึงนำข้าปล่อยกลับสู่ป่า ข้าน้อยเล่าเรียนหนังสือด้วยตนเองตั้งแต่ยังเด็ก เคยอ่านเจอว่ามีปีศาจจิ้งจอกจำนวนไม่น้อยที่มีความรักกับปัญญาชน จึงเกิดความรู้สึกอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง ทั้งยังได้ยินมาว่าบนโลกนี้ยังมีจิ้งจอกตัวใหญ่เก้าหางอีกด้วย ข้าเลยยิ่งรู้สึกชื่นชม ด้วยเหตุนี้จึงพยายามบำเพ็ญเพียรเจ้าค่ะ…”
ตอนที่บำเพ็ญเพียรนางจับทางไม่ถูกเช่นกันว่าควรทำอย่างไร รู้เพียงแค่ต้องดูดซับแสงจันทร์ทรงกลดเป็นเวลานาน
อยู่ตามเขามาเป็นเวลาหลายร้อยปี ทำให้มีหางผุดเพิ่มออกมาได้หนึ่งหาง นางปลื้มอกปลื้มใจยิ่ง รู้สึกว่าภายภาคหน้ามีความเป็นไปได้ว่าตนอาจเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่กล่าวขานกันในตำนาน
ภายหลังต่อมานางเข้าสู่ทางโลก อยากหาปัญญาชนสักคนมาสร้างบทรักซาบซึ้งกินใจ แต่ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น ระยะนี้นางบำเพ็ญเพียรก้าวหน้ารวดเร็วมาก จึงปรากฏหางที่สามงอกออกมาเสียดื้อๆ
“วันนั้นข้าน้อยมีหางเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งหาง ด้วยความตื่นเต้นมากจึงเปลี่ยนเป็นร่างเดิมเพื่อมองดูหาง ใครจะคิดว่ากลับถูกหลิวเซิงมองเห็นเข้า ทั้งที่เขาเคยกล่าวว่าเขาชื่นชอบข้าด้วยใจจริง จะไม่รังแกข้าเป็นแน่ ใครจะรู้ว่า…ไม่ทันไรก็วางยาข้าจนทำให้ข้าหมดสติไป…”
เมื่อกล่าวมาถึงส่วนนี้ ปีศาจจิ้งจอกเผยสีหน้าเศร้าเสียใจ มิหนำซ้ำยังปรากฏหยาดน้ำตาไหลรินลงมาบนใบหน้าอีกด้วย “แท้จริงแล้วก็เป็นอย่างที่ในตำรากล่าวไว้ บุรุษใต้หล้าส่วนใหญ่ไม่รู้จักอุทิศตนเพื่อหญิงผู้เป็นที่รัก…”
ฮั่วเจ้ายวนเบิกตาโตชั่ววูบ
ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ช่างเอะอะโวยวายมากไปหน่อยแล้วจริงๆ
“เจ้าสังเกตว่าข้า…มีอะไรที่แตกต่างหรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนครุ่นคิด จากนั้นตัดสินใจเอ่ยปากถาม
ปีศาจจิ้งจอกถูๆ จมูก “ใต้เท้ามีความเป็นวีรบุรุษผู้เชี่ยวชาญการสู้รบ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นขุนนางน้ำดี…”
ฮั่วเจ้ายวนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ที่แท้ซ่งอิงหลอกเขาเล่นจริงๆ ด้วย เขาก็ช่างไร้เดียงสา จึงหลงเชื่อคำพูดเหลวไหลที่นางแต่งขึ้นมาเสียได้!
“เพียงแต่ว่า…” ปีศาจจิ้งจอกยกเท้าหน้าขึ้นมาปาดน้ำตา “ใต้เท้ามีแสงระยิบระยับสีทองเต็มตัว มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้มีภูมิหลังไม่ธรรมดา ข้าเคยได้ยินว่ามีเพียงเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิดเท่านั้นจึงจะมีแสงทองสว่างจ้าเช่นนี้…”
“…” ฮั่วเจ้ายวนเบิกตาโตแล้วกล่าวเสียงเย็นชาขึ้นเล็กน้อยในทันที “เจ้าลองพูดอีกครั้งสิ”
ปีศาจจิ้งจอกตระหนกตกใจ เอ่ยพูดอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม “ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ เห็นท่านพริบตาแรกก็รู้ว่าท่านเป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิดผู้เปี่ยมไปด้วยบุญกุศล จิตใจดีงามและมีความเมตตา จะต้องไม่ถือโทษเอาความกับสัตว์ป่าตัวน้อยๆ อย่างข้าเป็นแน่…”
ตอนที่ 712 มิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน
ปีศาจจิ้งจอกพูดจบ ตัวสั่นเทาหนักยิ่งกว่าเดิม
มันไม่รู้เช่นกันว่าตนเป็นอะไรไป รู้สึกเพียงแค่เมื่อใต้เท้าผู้นี้โมโห ในใจมันก็หวาดกลัวยิ่ง!
ฮั่วเจ้ายวนตกใจอย่างยิ่ง รู้สึกเพียงว่าเหลวไหลสิ้นดี
“เจ้าบอกว่าข้าเป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิดหรือ มีหลักฐานหรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วนิ่วหน้าขณะกล่าว
“เอ่อ…ข้าน้อยก็เพิ่งเคยเห็นลักษณะเช่นท่านครั้งแรก…ดังนั้นไม่ค่อยแน่ใจเช่นกันเจ้าค่ะ…” ปีศาจจิ้งจอกมีสีหน้าเศร้าสร้อย แต่แล้วก็คล้ายว่าคิดอะไรขึ้นมาได้กะทันหันจึงรีบกล่าวอีกครั้ง “ทว่า! เพียงแต่ในเมื่อท่านเป็นเซียนสวรรค์ เช่นนั้นย่อมมีส่วนที่แตกต่างเป็นแน่…อย่างเช่น ในตำรานิทานปรัมปราล้วนกล่าวไว้ว่ายามที่เซียนสวรรค์ลงมาจุติในครรภ์มนุษย์ จะเกิดความผิดแปลกทางธรรมชาติ ผู้เป็นมารดาจะฝันแปลกๆ หรือไม่ท่านกลับไป…ถามมารดาท่านดู”
“…” ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“ดูท่าเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ซื่อตรงนัก ประชาชนข้างนอกนี้ล้วนต้องการเผ่าปีศาจอย่างเจ้าตนนี้ ในเมื่อเจ้าเปล่าประโยชน์ เช่นนั้นรอถึงยามอู่วันนี้ก็จะจับเจ้าขึงไว้แล้วจุดไฟเผาเสียเลยแล้วกัน” ฮั่วเจ้ายวนขู่
ครั้นเอ่ยถ้อยคำนี้ ปีศาจจิ้งจอกตกใจกลัวจนขนพองเกือบร่วงหมดตัว
“ใต้เท้า! หาก หากท่านเป็นเซียนสวรรค์ เช่นนั้นต้องไม่กลัวบุคคลที่ชั่วช้าเหล่านั้นเป็นแน่ หรือไม่ หรือไม่ท่านไปมองดูตามสถานที่ที่มีไอชั่วร้ายหน่อย รับประกันได้ว่าภูตผีปีศาจเห็นท่านก็เป็นอันต้องหนีเตลิดกันทันทีเจ้าค่ะ” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวขึ้นอีกครั้ง
นางไม่รู้หรอกว่าเซียนสวรรค์โดยทั่วไปเป็นอะไร แต่นางรู้ว่าแสงทองแห่งบุญกุศลที่หนักหน่วงเพียงนี้ ใครบ้างเห็นแล้วไม่กลัว
อย่างไรก็ตาม สำหรับฮั่วเจ้ายวน ถ้อยคำนี้คือการพูดที่เท่ากับไม่ได้พูด
สถานที่มีไอชั่วร้ายหรือ
จะไปหาที่ไหน หรือว่าเพื่อพิสูจน์ตนเองว่าเป็นเซียนหรือไม่ เขาจึงต้องไปไล่หาวิญญาณร้ายทั่วสารทิศ
เห็นสีหน้าฮั่วเจ้ายวนยังคงไม่พอใจ ปีศาจจิ้งจอกถึงกับจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “ใต้เท้า ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ แม้ว่าข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ได้ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนทั่วไป ไม่มีทางควักหัวใจคนเอามากินได้ด้วยเช่นกัน นี่ล้วนเป็นคำเล่าลือภายนอกเท่านั้นเอง…”
“เจ้า…รู้จักซ่งอิงหรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยถามขึ้นมากะทันหัน
“ซ่งอิง? คือผู้ใดหรือเจ้าคะ ข้าน้อย…จำเป็นต้องรู้จักด้วยหรือเจ้าคะ” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวอย่างถ่อมตน
ฮั่วเจ้ายวนพรูลมหายใจออกมา
ปีศาจจิ้งจอกตนนี้รูปลักษณ์ดูชาญฉลาดมีไหวพริบ แต่ได้ยินถ้อยคำที่มันเอื้อนเอ่ยกลับรู้สึกว่าสมองของมันไม่ถึงขั้นเรียกได้ว่าฉลาดเฉลียว อีกทั้งดูเหมือนว่ามันจะกลัวมากจริงๆ ไม่รู้เช่นกันว่าด้วยเหตุอันใด…
ไม่ใช่พวกเผ่าพันธุ์เดียวกัน ย่อมจิตใจแตกต่างกันเป็นธรรมดา ปีศาจประเภทนี้ ว่ากันตามหลักไม่ว่าดีหรือชั่วล้วนควรที่จะสังหารทิ้งทั้งนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม…
หากที่ซ่งอิงพูดเป็นความจริงเล่า
หลังจากท้องนภาสว่างจ้า ฮั่วเจ้ายวนเชิญซ่งอิงมารับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
ซ่งอิงเห็นหน้าตาท่าทางเขาลักษณะอย่างไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไร นางจึงพลันรู้สึกดีใจขึ้นมา “เป็นอย่างไร จริงอย่างที่ข้าว่าใช่หรือไม่ ปีศาจตนนี้ก็บอกว่าท่านเป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิดใช่หรือไม่”
“ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาและไม่มีอะไรที่แตกต่างจากทั่วไปด้วย” ฮั่วเจ้ายวนยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่บ้าง
“ไม่เลย ใต้เท้าฮั่ว ท่านแตกต่างกับผู้อื่น มีหลายสิ่งอย่างที่แตกต่างเจ้าค่ะ” ซ่งอิงปั้นสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวต่อ “เซียนสวรรค์ลงมาจุติโลกมนุษย์จะอย่างไรก็คงมิใช่เพื่อมาเที่ยวเล่นกระมัง หากไม่ใช่เพราะโลกมนุษย์แห่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นและจำเป็นต้องให้บุคคลสำคัญระดับท่านจัดการ เช่นนั้นก็คงเป็นตัวท่านเองที่จำเป็นต้องฝ่าฟันอุปสรรคฝึกฝนสภาวะทางจิตใจเพื่อเลื่อนขั้นการบำเพ็ญเพียร”
“หากเป็นกรณีแรก ก็จำเป็นต้องให้ท่านช่วยชีวิตปวงประชาให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง แต่ตอนนี้เห็นทีว่าในโลกมนุษย์นี้ยังคงสงบร่มเย็น ราษฎรมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ดี จึงยังไม่ต้องถึงมือท่าน”
“ดังนั้น น่าจะเป็นอย่างหลัง” ซ่งอิงกล่าวอย่างจริงจัง
“แล้วอย่างไรล่ะ” ฮั่วเจ้ายวนวางตะเกียบลง
“ได้ยินว่าชีวิตนี้ของท่านล้มลุกคลุกคลานอย่างยิ่ง ชะตาชีวิตดูไม่ค่อยดีนักใช่หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งอิงให้ความรู้สึกอย่างผู้ที่รู้จักคิดลึกซึ้งและละเอียดรอบคอบเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย นางตบหน้าตักฉาดแล้วกล่าว “ก็นี่อย่างไรล่ะ! เซียนสวรรค์ลงมาจุตินี่! ย่อมต้องเผชิญชีวิตที่ทุกข์ยากลำบากเป็นธรรมดา! แม้ว่าท่านมีฐานะตัวตนสูงส่ง แต่ในจิตใจต้องไม่มีความสุขเป็นแน่! เพียงแต่ว่าก็ถูกแล้วที่ไม่มีความสุข เมื่อก่อนข้าเคยอ่านตำรามาไม่น้อย ในนั้นล้วนกล่าวว่า เมื่อใดที่ท่านรู้สึกว่าทุกข์แล้ว เหน็ดเหนื่อยแล้ว และปล่อยวางทางจิตใจได้ เช่นนั้นก็จะเหาะเหินได้เป็นแน่!”