ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 927 เข้าร่วมงานเลี้ยง ตอนที่ 928 ออกมาภายนอก
ตอนที่ 927 เข้าร่วมงานเลี้ยง / ตอนที่ 928 ออกมาภายนอก
ตอนที่ 927 เข้าร่วมงานเลี้ยง
อันที่จริงซ่งอิงนึกไม่ออกว่าอาจารย์ของเทพชีมู่เป็นใครมาจากไหน เพียงแต่ตอนนี้ได้ยินว่าคนผู้นี้เอาของล้ำค่าออกมาชิ้นหนึ่งก็ถึงกับต้องการเชิญไปร่วมงานเลี้ยง แสดงถึงว่าอีกฝ่ายว่างงานเกินไปหน่อยจริงๆ อย่างแน่นอน
“ภาพม้วนกลุ่มดวงดาวที่ว่านั่นคืออันใดหรือ” ซ่งอิงเอ่ยถาม
หรือว่าเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม
ชางเวยรู้สึกพูดยากเล็กน้อย จึงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “นั่นคือรูปวาดหนึ่ง ถือเป็นดินแดนแห่งความเพ้อฝัน ผู้ที่เข้าไปในเขตแดนนั้นจะได้ชมดวงดาวงดงาม”
“หากไม่ฝัน ก็จะชมดวงดาวไม่ได้ใช่หรือไม่” ซ่งอิงงงวย “เป็นเทพเซียน การชมดาว…ยากเย็นขนาดนั้นเชียวหรือ”
“…” ชางเวยยิ้มอย่างจำใจ “ความประหลาดของภาพม้วนนี้อยู่ที่ภาพม้วนนี้นำดวงดาวเข้าสู่ภาพวาด ดวงดาวนี้แตกต่างกับภายนอก หากว่างๆ ไม่มีอะไรทำ อยู่ในสถานที่เทวสถิตก็เข้าไปชมภาพได้ ของสิ่งนี้ก็ถือเป็นกิจกรรมทางด้านการชมสิ่งสวยๆ งามๆ นั่นเอง”
ซ่งอิงเบิกตาโต
หากเป็นมนุษย์ ซื้อภาพม้วนที่วาดลักษณะเช่นดวงดาวสักภาพ นางก็พอเข้าใจได้
แต่เทพเซียน เพียงยกมือก็เปลี่ยนมาซึ่งทิวทัศน์อันงดงามได้อย่างไม่เป็นปัญหา ภาพวาดม้วนนี้มีสิ่งเดียวที่แตกต่าง ซึ่งก็น่าจะเป็นทิวทัศน์ความงามและได้อยู่ตรงนั้นยาวนานหน่อย นอกจากนี้ล้วนไม่ได้มีค่ามีความหมายอันใด
“เข้าใจได้ อายุยืนยาวว่างๆ ไม่มีเรื่องอะไรทำ จะอย่างไรก็ต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาสักหน่อย มิเช่นนั้นก็คงไม่ถึงขั้นต้องเชิญทุกคนไปชมภาพวาดม้วนเก่าๆ ถึงเพียงนี้” ซ่งอิงถอนหายใจ
“เจ้าอยากไปหรือไม่” ชางเวยกล่าวอีกครั้ง
“ไปสิ เจอะเจอผู้อื่นหน่อย น่าสนุกดี” ซ่งอิงยกยิ้มมุมปาก “ฟ่านโยวล่ะ เขายังเอาแต่อดอู้อยู่ในสถานที่เทวสถิตไม่ยอมออกมาเลยหรือ”
“เขาใบหน้าเสียโฉม ไม่ออกมาข้างนอกง่ายๆ ทว่าหากข้าผู้เป็นศิษย์พี่เชิญชวน คิดว่าเขาจะออกมารับอากาศสักหน่อยเป็นแน่” ชางเวยกล่าวอีกครั้ง
ซ่งอิงยิ้มเยาะ “เพียงแค่ทำลายใบหน้านั้นของเขายังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับเขา ท่านเรียกเขาออกมา ข้าก็อยากจะรู้ว่าสหายเก่ามาเยือนทั้งที เขายังจดจำกันได้หรือไม่”
ฟ่านโยวผู้นั้นใบหน้าเสียโฉมด้วยฝีมือนาง
ลอบทำร้ายนางลับหลัง นางมีหรือจะนั่งรอความตาย เพียงแต่ตอนนั้นพลังแทบทั้งหมดล้วนใช้ไปกับการทำการใหญ่ ดังนั้นก็ทำได้เพียงใช้ไฟวิญญาณที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรเล่นงานใบหน้าของเขา
ของสิ่งนั้นนอกจากนาง ไม่ว่าใครก็เอาออกไม่ได้
นางรู้สึกว่าไฟวิญญาณนี้ติดกับใบหน้า ต้องงดงามอย่างยิ่งเป็นแน่ นานๆ ทีความร้อนของไฟที่ติดบนใบหน้าเขาจะสร้างความเจ็บปวดเกินบรรยาย แผลเป็นจากไฟเผาไหม้ก็จะหมุนเวียนเป็นวัฏจักร เมื่อหายดีแล้วก็จะกลับมาเป็นอีก พอเป็นอีกก็หายดีได้อีก
หลายปีขนาดนี้แล้วยังไม่ฆ่าตัวตายเพื่อปลดปล่อย เห็นได้ว่าสภาพจิตใจฟ่านโยวแข็งเกร่งอย่างยิ่งจริงๆ
ชางเวยคล้ายจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวอีกครั้ง “ตอนนั้นหลังจากเขาทำเรื่องประเภทนั้นก็หลบหลีกหนีหน้าไป หลังจากข้ากลับชาติไปเกิดจึงมีความทรงจำเกี่ยวกับเขาไม่เยอะ ก็เลยไม่เคยจ้องเอาเรื่องเขามาก่อน รู้เพียงแค่เขาอยู่ในโลกเทพแห่งนี้เพื่อค้นหายาเซียนทั่วหนแห่ง แม้ว่าไม่ขจัดแผลเป็นไม่ได้ แต่ก็ทุเลาความเจ็บปวดได้เกินกว่าครึ่ง”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซ่งอิงพลันเข้าใจได้ในทันที
…
กระทั่งมาถึงงานเลี้ยงชมภาพวาดวันนี้ ชางเวยก็พา ‘ภรรยาผู้บอบบาง’ ร่วมงานเลี้ยงด้วย
ซ่งอิงมองดูเหมือนแมลงตัวน้อยที่น่าสงสาร สวมอาภรณ์เซียนสีขาวที่ทอแสงสว่างวูบวาบ มองดูอ่อนโยนและบอบบาง เมื่อเข้าสู่สถานที่ดังกล่าวก็มีสายตาจำนวนมากมองมา
เทพเซียนที่มาวันนี้ มีจำนวนไม่น้อยล้วนอยากเห็นรูปลักษณ์ของซ่งอิง จึงได้รีบปรี่เข้ามาหา
หลังจากมองเห็นในขณะนี้ ต่างก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย
เป็นอย่างเช่นคำกล่าวขานต่อๆ กันจริงๆ แม้ว่าหน้าตาดีทีเดียว แต่เมื่อเทียบกับเทพธิดาที่เลื่องชื่อลือนามในโลกเทพก็ยังถือว่าห่างชั้นกว่ามาก
ซ่งอิงรู้ว่าคนเหล่านี้รู้สึกว่านางไม่งดงาม ซึ่งนางก็ไม่ได้โกรธเคือง
สำหรับนางรูปลักษณ์ภายนอกไม่สำคัญ หากนางเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์อย่างตอนแรกๆ เกรงว่าเซียนเหล่านี้จะถึงกับเดินไม่ออกด้วยซ้ำ
นางผู้ซึ่งเปลี่ยนร่างจากพลังงานแห่งแสงจันทร์ จะอัปลักษณ์จริงๆ ได้อย่างไร เพียงแต่รูปลักษณ์นั้นออกจะโดดเด่นเกินไปหน่อย และดูเย็นชามากด้วยเช่นกัน ดังนั้นนางจึงละทิ้งรูปลักษณ์นั้น จากนั้นทุกๆ การเกิดใหม่ก็จะมีทั้งรูปลักษณ์งดงาม มีทั้งอัปลักษณ์ ไม่ตายตัว
ตอนที่ 928 ออกมาภายนอก
ซ่งอิงนั่งลงข้างกายชางเวยอย่างสง่าผ่าเผย
ว่ากันตามความเข้าใจที่นางมีต่อโลกเทพในปัจจุบัน ในโลกเทพมีเทพธิดาจำนวนมาก
ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กนับไม่ถ้วน แต่ที่เลื่องชื่อลือนามก็พอนับได้อยู่ อย่างเช่นเทพซึ่งได้รับการบูชาที่ดูแลเรื่องทางสวรรค์และโลก นอกจากนี้ยังมีเทพตามความเชื่ออีกสิบด้าน เพียงแต่ปัจจุบันเทพตามความเชื่อสิบด้านที่ว่านี้ล้วนไม่ใช่เทพรุ่นใหญ่ในยุคโบราณกาล
เทพรุ่นใหญ่จากยุคโบราณกาลในปัจจุบันเหลือเพียงสิบสองท่าน ซึ่งในนั้นกลับชาติเกิดใหม่หลายครั้ง พลังความสามารถก็ลดทอนลงไปไม่น้อย บางส่วนก็ไม่ติดอยู่ในอันดับแล้ว
ส่วนชางเวยแม้ว่าเคยกลับชาติเกิดใหม่แล้วครั้งหนึ่ง แต่ตัวเขามีความพิเศษเป็นทุนเดิม นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำเจิ้นซึ่งแบ่งแยกมาจากทางด้านแม่น้ำสวรรค์เป็นตัวช่วยอีกด้วย ดังนั้นขอเพียงค่อยๆ ฟื้นฟู เรื่องพลังความสามารถนี้ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นไม่มีน้อยลง
เทพเซียนรุ่นใหญ่ในยุคโบราณกาลที่เหลือ ฟ่านโยวเป็นเทพเซียนที่มีอำนาจที่สุด รองลงมายังมีอีกสองท่าน ซึ่งก็พอๆ กับฟ่านโยว ส่วนคนอื่นล้วนไม่มีความหมายอะไรแล้ว
แน่นอนว่าพวกชางเวยและฟ่านโยวซึ่งเป็นเทพรุ่นใหญ่จากยุคโบราณกาลที่พลังความสามารถแข็งแกร่งเหล่านี้ ถึงแม้ตำแหน่งเทพสู้เทพตามความเชื่อไม่ได้ แต่ก็ถือว่าโดดเด่นเหนือผู้อื่น แม้แต่เทพเทพตามความเชื่อทั้งสิบก็ไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูด้วย
กล่าวโดยง่าย เทพเซียนคนอื่นล้วนเป็นพวกหลานๆ มีหลานที่ไหนจะต่อกรกับบรรพบุรุษอาวุโสกันเล่า
ถัดจากเทพเซียนยังมีจักรพรรดิเทพที่กำกับดูแลเซียนในแต่ละสายทาง เทพดวงดาวที่กำกับดูแลดวงดาวในโลก เทพสิ่งล้ำค่าที่กำกับดูแลกิจการภายในโลกเทพเซียน นอกจากนี้ยังมีเทพเซียนอื่นๆ อีกมากมาย…
มีการแบ่งประเภทที่ซับซ้อน แต่ก็มีลำดับชัดเจน
“ชางเวย นี่ก็คือภรรยาน้อยจากโลกมนุษย์ของเจ้าหรือ หน้าตาดูจิตใจดีงามทีเดียว ไม่ทราบว่าจะเรียกขานอย่างไรหรือ” เทพชีมู่ยิ้มกล่าว
ชางเวยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง ไม่แยแสเขาด้วยซ้ำไป
ทว่าเทพชีมู่ก็เคยชินแล้วเช่นกัน ก็นี่คือชางเวย หลังจากกลับชาติเกิดใหม่ก็ไม่รู้เป็นอันใดไป เห็นใครล้วนไม่ชอบพูดจาและเย็นชาอย่างยิ่ง
ที่เขาถาม ความจริงคือเทพธิดาน้อยผู้นี้ต่างหากล่ะ
ซ่งอิงเลิกคิ้ว ยิ้มตาหยี “ตอนที่ข้าอยู่โลกมนุษย์ นามว่าซ่งอิง”
“ซ่งอิงหรือ ชื่อนี้…” เทพชีมู่นึกถึงความทรงจำบางอย่างที่ไม่ค่อยงดงามนัก “ชางเวย มิใช่ว่าเจ้าถูกใจบุคลิกและชื่อของแม่นางจากโลกมนุษย์ผู้นี้แล้วกระมัง”
ตอนนั้นยามที่พวกเขารู้จักจักรพรรดิปีศาจ นึกว่านางเป็นมังกรที่ธรรมดาๆ ตนหนึ่ง และนามว่าอาอิงจริงๆ
ก็เลยเรียกขานเช่นนั้นไปหลายปี
บัดนี้มองดูแม่นางที่มาจากโลกมนุษย์ผู้นี้ แม้ว่าลักษณะเหมือนกับจู๋อิ๋งอยู่น้อยนิด แต่ยามที่ยิ้มขึ้นมากลับมีบุคลิกคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งจริงๆ
“เจ้ายุ่งวุ่นวายมากเกินไปหน่อยแล้ว” ชางเวยเอ่ยพูดอย่างไม่เผยสีหน้าอาการใด
เทพชีมู่หัวเราะเบาๆ ขณะเตรียมเอ่ยพูดก็เห็นเพียงฟ่านโยวมาเยือน
เขาเผยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยในทันที “ฟ่านโยว ไม่นึกเลยว่าวันนี้อุตส่าห์ออกมาด้วย!”
ไม่เพียงแต่เขา เทพเซียนทุกตนที่อยู่ ณ ตรงนี้ต่างก็อดเผยสีหน้าตื่นตะลึงขณะมองฟ่านโยวไม่ได้
เทพฟ่านโยวใส่หน้ากากบดบังครึ่งใบหน้า มองดูลึกลับขึ้นเล็กน้อย เขาเรือนร่างผอมสูง แววตาเย็นชาและเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่กลับมีเสน่ห์อย่างยิ่ง เขาเป็นถึงเทพรุ่นใหญ่ในยุคโบราณที่ไม่เคยกลับชาติเกิดใหม่ ใครบ้างไม่หลงใหล
เทพธิดาที่อยู่ ณ ตรงนั้นต่างก็อยู่ไม่สุขเล็กน้อยเสียแล้ว
ซ่งอิงหรี่ตา แสยะยิ้มมุมปาก
เด็กหนุ่มใหญ่ในตอนนั้นที่มองดูเจิดจรัสอย่างถึงที่สุด บัดนี้กลับมองดูเหมือนหนูในรูมืดๆ เริ่มไม่มีหน้าพบเจอผู้อื่นเสียแล้ว ดูท่ามุมมองโลกทัศน์ของเหล่าเทพเซียนในโลกเทพแห่งนี้จะมีปัญหา
ฟ่านโยวเดินมาเรื่อยจนถึงตรงหน้าชางเวย จากนั้นก็คารวะ “ยินดีกับศิษย์พี่ที่ได้หวนคืนสู่ตำแหน่งเดิม”
เขาน้ำเสียงเปลี่ยนไปไม่น้อย แหบพร่าขึ้นมาก แน่นอนว่าสำหรับคนอื่น นี่เป็นอะไรที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และแรงดึงดูด
“ฉื่อเหยียนอยู่หรือไม่” ชางเวยเอ่ยถามตรงๆ
ฟ่านโยวสีหน้าเปลี่ยนไป “ความทรงจำศิษย์พี่กลับมาแล้วหรือ ยินดีด้วยศิษย์พี่ เพียงแต่บัดนี้ศิษย์น้องใช้งานฉื่อเหยียนชินแล้ว หากศิษย์พี่อยากจะขี่มัน ไม่สู้ไปเลือกสัตว์ตัวอื่นในป่าจะดีกว่า”
พวกสัตว์ที่อยู่ในป่าล้วนเป็นปีศาจรุ่นหลังของโลกปีศาจ เพียงแต่ถูกควบคุมพลังความสามารถเอาไว้ บางส่วนจึงมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์