ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 931 เหมือนนาง ตอนที่ 932 เครื่องมือสังหารอันยิ่งใหญ่
- Home
- ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล
- ตอนที่ 931 เหมือนนาง ตอนที่ 932 เครื่องมือสังหารอันยิ่งใหญ่
ตอนที่ 931 เหมือนนาง / ตอนที่ 932 เครื่องมือสังหารอันยิ่งใหญ่
ตอนที่ 931 เหมือนนาง
ในตอนนี้คนอื่นๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
พวกเขากล้าต่อว่าเทพธิดาน้อยที่ขึ้นมาจากโลกด้านล่าง แต่กลับไม่กล้าล่วงเกินท่านเทพชางเวย
อย่างไรเสียชางเวยเสินจวินผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา ความสามาถแข็งแกร่งไม่ว่า ซ้ำยังกดอัดทางช้างเผือกเอาไว้ หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา เกรงว่าน้ำทางด้านแม่น้ำทางช้างเผือกจะล้นทะลัก ถึงตอนนั้นดินแดนที่เทพอยู่อาศัยก็จะถูกน้ำท่วมหมด
หากแค่น้ำท่วมก็ไม่เป็นไร เพียงแต่น้ำที่ทางช้างเผือกไม่ใช่น้ำธรรมดาเหมือนโลกเบื้องล่าง น้ำเพียงไม่กี่ถังไม่กี่กระบวยนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากน้ำท่วมหนักซัดโหมเข้ามา ค่ายกลของดินแดนเทพจะต้านไว้ไม่ไหว ของล้ำค่าอย่างพืชที่เพาะปลูกอยู่ในนั้นก็จะถูกท่วมทั้งหมด
ต่อให้เป็นเทพเซียน ก็แบ่งออกเป็นห้าธาตุ
เทพเซียนธาตุไฟในระดับสวรรค์มีไม่น้อยเช่นกัน แต่ไม่อาจจัดการน้ำในทางช้างเผือกแห่งนี้ไหวจริงๆ
น้ำนี้แน่นอนว่าก็ไม่ใช่ต้องพึ่งพาการจัดการของเทพเซียนชางเวยท่านผู้นี้ไปเสียทั้งหมด
เพียงแต่ว่า ร่างที่เขาปลีกออกมาถูกกดอยู่ในนั้น หากสลายหายไปก็เป็นการยากที่จะเลี่ยงปัญหา คิดจะหาอีกตนมาแทนที่ก็ไม่เรื่องง่ายดายเลยจริงๆ
ในขณะนี้ทุกคนต่างจ้องมองไปยังเทพฟ่านโยว
เขาสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทว่าสำหรับเขาเรื่องนี้ไม่สำคัญแต่อย่างใด ที่เขาสนใจคือผู้หญิงคนนี้
สรุปแล้วเป็นอย่างไรมาอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้ฉื่อเหยียนสงบลงได้!
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าอดีตศิษย์น้องผู้นี้ของเจ้าสมองไม่สมประกอบ ไฉนได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอันน้อยนิดนี้ก็งุนงงจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว” ซ่งอิงกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถาม
“อย่าหัวเราะเยาะเขา เขาเกิดมาก็เป็นเช่นนี้ อีกทั้งการมีชีวิตอยู่สำหรับเขาก็ไม่ง่ายเช่นกัน” ชางเวยเผยสีหน้าจริงจังกล่าว
ครั้นเขาพูดออกไปเช่นนี้ ซ่งอิงถึงกับนิ่งงัน จากนั้นอดหัวเราะฮ่าๆ ออกมาดังลั่นไม่ได้
ฟ่านโยวมองทั้งสองคนอย่างเย็นชาแวบสายตาหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ซ่งอิงเลิกคิ้ว “ขี้ขลาดเป็นบ้า เก่งนักก็มาสู้กันสิ!”
นางไม่กลัวฟ่านโยวหรอก
ตอนนี้ที่ยังไว้ชีวิตเขาไม่ใช่เพราะนางใจดีมีเมตตา แต่เพราะยังมีเรื่องที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย จึงจำเป็นต้องสงบเสงี่ยมเอาไว้ก่อน จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น
ทันใดนั้นเอง หลังจากฟ่านโยวไป มือและเท้าก็เย็นเยือก ในหัวพลันผุดภาพสีหน้าอารมณ์สุดท้ายของจู๋อิ๋งในตอนนั้น
เป็นความรังเกียจ ดูถูก เย้ยหยัน ตลอดจนเมินเฉย ราวกับเห็นบางสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอย่างไรอย่างนั้น
และบัดนี้ ไม่นึกเลยว่าสายตาเช่นนั้นกำลังปรากฏอีกครั้งในตัวมนุษย์หญิงที่กลายเป็นเทพธิดาผู้นี้
ใช่นางหรือไม่
เป็นไปไม่ได้
ตอนนั้นจิตวิญญาณจู๋อิ๋งกระจัดกระจายไปแล้ว เขาเห็นกับตาตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเรื่องหลอกลวง
หลายปีมานี้ เขาเองก็ไม่ได้รับความทุกข์ทรมานเลย เมื่อนึกถึงจู๋อิ๋ง นึกถึงสีหน้าสุดท้ายของนาง ในใจเขาก็ใช่ว่าจะไม่นึกย้อนเสียใจภายหลัง แต่อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้เสียใจในสิ่งที่ตนทำไปเสียทั้งหมดนั้น แต่เสียดายที่ไม่ได้ทำให้ผลลัพธ์ทั้งหมดที่ตนต้องการให้สำเร็จลุล่วง
“เหตุใดท่านเทพจึงยอมอ่อนข้อต่อท่านชางเวยเช่นนี้ ถึงแม้เทพชางเวยแข็งแกร่งไม่น้อย แต่ท่านเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมิใช่หรือ พวกท่านทั้งสองเรียนวิชากับท่านผูอิ่งเทียนจุนในเวลาเดียวกัน ไฉนแค่เขาบอกว่าไล่ท่านออก ท่านก็ถูก…” เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ส่งเสียงฮึดฮัด พูดไปถึงครึ่งหนึ่งพลันรู้สึกว่าตนเองล่วงเกินไปหน่อยแล้ว จึงเปลี่ยนคำพูดกล่าวใหม่อีกครั้งในทันที “ท่านเทพขอรับ ไม่เช่นนั้นให้ข้าสั่งสอนแม่นางผู้นั้นเสียหน่อยดีหรือไม่”
“นางเหมือนนางผู้นั้นอย่างยิ่ง” เทพฟ่านโยวพูดออกมาหนึ่งประโยคอย่างไม่มีเกริ่นนำ
เด็กรับใช้ผงะ ไม่ค่อยข้าใจนัก
ฟ่านโยวยิ้มเยาะตัวเอง
เรื่องเมื่อปีนั้น ถึงแม้เขาผิดในทุกๆ ทาง แต่เขาทำเพื่ออันใดเล่า ก็ไม่ใช่เพื่อจู๋อิ๋งหรือ หากนางยอมหันมามองเขาเสียบ้าง เขาก็คงไม่ใช้วิธีนั้นแน่นอน!
สหายคนสนิทที่มีความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างดีไปเสียทุกอย่าง ได้ดื่มสุราพูดคุยกัน ได้เหาะเหินไปทั่วท้องฟ้าด้วยกันอะไรนั่น แต่ไม่มีโอกาสได้ก้าวหน้าแม้แต่นิดเดียว!
เขาไม่ดีตรงไหนหรือ
ตอนนั้นเขาคิดแต่เพียงว่า หากโลกปีศาจอันตรธานไป นางผู้นี้ในฐานะจักรพรรดิปีศาจน่าจะเป็นเช่นไร
เขายังคิดอีกว่า หากนางไม่มีร่างที่บรรลุการฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ทั้งยังถูกเขาผนึกความทรงจำเอาไว้ก็จะเริ่มต้นใหม่กับเขาได้หรือไม่
ตอนที่ 932 เครื่องมือสังหารอันยิ่งใหญ่
ฟ่านโยวหัวเราะเย็นชา
เป็นหนึ่งเรื่องที่เขาคิดผิดไป
ที่ผ่านมาเขาไม่คิดเลยว่าความหัวรั้นของนางจะล้ำลึกเช่นนี้ ในช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย ไม่นึกเลยว่านางจะยังไม่ยอมปล่อยมือ แต่ยินยอมให้ตนเองกลายเป็นอากาศธาตุ และถึงขั้นทำให้โลกปีศาจแม้ต้องตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่ก็ต้องตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างโลกเทพกับโลกมนุษย์ให้จงได้
หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาก็จะประสบความสำเร็จได้ จู๋อิ๋งเองก็จะไม่ต้องตาย
“ตอนนั้นเจ้าบอกว่าชางเวยเป็นคนเงียบๆ ชวนอึดอัดแต่ไว้ใจได้ เหอะ บัดนี้ผ่านไปหลายปีเพียงนี้แล้ว คนที่เจ้าบอกว่าไว้ใจได้ผู้นั้น ตอนนี้หาสิ่งอื่นมาแทนเสียแล้วมิใช่หรือ แค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง มีหรือจะกล้าเทียบกับเจ้า…” กลับมาถึงแดนสถิตของเทพ ฟ่านโยวหัวเราะเยาะขึ้นมากะทันหัน แววตาเปลี่ยนไปจนเย็นชาขึ้นมาก
และในขณะเดียวกัน ซ่งอิงกำลังดื่มกินอย่างมีความสุข
จะว่าไปอาหารเครื่องดื่มของโลกเทพนี้ไม่เลวเลยจริงๆ กลืนลงไปถึงกับให้ความรู้สึกอุ่นทั้งตัว เหมือนกับทั้งร่างกายจะลอยขึ้นมา
หลังจากเทพฟ่านโยวไป อันที่จริงทุกคนก็ถอนหายใจโล่งอกเช่นกัน
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองล้วนอยู่ที่นี่ มิหนำซ้ำยังไม่ถูกกัน พวกเขาจะเป็นฝ่ายวางตัวลำบาก ตอนนี้ไปแล้วหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องคิดว่าจะเลือกอยู่ข้างใคร ทำให้สบายใจขึ้นมากเช่นกัน
“ชางเวย เจ้าดูม้วนภาพกลุ่มดวงดาวที่ข้านี่สิ เป็นอย่างไร” เทพชีมู่โยนสิ่งของให้ชางเวย
ชางเวยรู้ว่าซ่งอิงสนใจก็ไม่ปฏิเสธ เขาวางไว้ตรงหน้าของซ่งอิง
เทพชีมู่ก็ไม่โกรธ หลังจากผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ชางเวยผู้นี้ก็มีสิ่งเดียวนี้ที่ชื่นชอบ ฉะนั้นจะทะนุถนอมเอาใจหน่อยก็เป็นปกติ
“ม้วนภาพกลุ่มดวงดาวของข้ารวบรวมพลังแห่งดวงดาวเพื่อถ่ายทอดทิวทัศน์สวยงามได้ อย่ามองว่าเป็นเพียงภาพเล็กๆ หากไม่มีพลังเซียนที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็สั่งการมันไม่ได้ อีกอย่าง ยิ่งมีพลังเทพมากเท่าไร ทิวทัศน์ของดวงดาวก็จะยิ่งงดงามและกว้างใหญ่เท่านั้น เทพเซียนที่เพิ่งมายังโลกเทพ จากความสามารถของเจ้า มองดูจากภายนอกก็พอแล้ว หากต้องการจะเปิด…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด ครั้นซ่งอิงยกมือ ม้วนภาพวาดนี้ก็คลี่ออก
เทพชีมู่ผู้นั้นตะลึงงัน จากนั้นก็หัวเราะ “ดูท่า…ชางเวย เจ้าคงแอบส่งพลังเทพไปให้นางด้วยสินะ ถึงแม้เป็นเช่นนี้ เปิดมันออกได้ก็ไม่ถือว่าเกินไป”
ทิวทัศน์รอบตัวทุกคนเปลี่ยนไป
ราวกับอยู่ในความมืด และเต็มไปด้วยดวงดาวมากมายอยู่ใกล้ๆ
ทิวทัศน์นี้งดงามเกินจินตนาการ
น่าเสียดาย คนอื่นยังไม่ทันได้ชื่นชม ก็เห็นเพียงดวงดาวพลันเริ่มร่วงหล่น และทันใดนั้นลูกไฟก็พุ่งใส่พวกเขาทีละลูก
เป็นผลให้ทุกคนแตกตื่นจนลุกออกจากที่นั่งในทันที แม้แต่เทพชีมู่ก็ไม่เว้น
เสียงดัง ‘เปรี๊ยะ’ ม้วนภาพกลุ่มดวงดาวฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ
จากนั้นในชั่วพริบตา เหตุการณ์ก็กลับคืนสู่ปกติ เพียงแต่ทุกคนสีหน้าตื่นตระหนก มองดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย
“ไฉนจึงยืนขึ้นกันหมดแล้ว ก็แค่ภาพลวงตาเท่านั้น มีอันใดน่ากลัว” ซ่งอิงหัวเราะออกมา
“ม้วนภาพกลุ่มดวงดาวของข้า…” เทพชีมู่ตกตะลึง “เจ้า…เจ้า ไฉนเจ้าจึงทำให้ดินแดนแห่งภาพลวงตากลายเป็นเช่นนี้!”
“ข้าสอนนางเอง” ชางเวยกล่าวขึ้นมาทันที “นางเป็นเทพเซียนครั้งแรก ดังนั้นทำอะไรก็เลยไม่มีการกะหนักเบา เพียงแต่ว่าคุณภาพม้วนภาพกลุ่มดวงดาวของเทพชีมู่ก็คล้ายว่าไม่ค่อยดีนักกระมัง เซียนรุ่นเล็กที่เพิ่งขึ้นมายังถึงกับทำให้มันขาดเป็นเสี่ยงๆ ได้…”
“…” เทพชีมู่เบิกตาโตชั่ววูบ
ไม่ใช่เช่นนั้นแน่
เขาลองตรวจปรับปรุงภาพม้วนกลุ่มดวงดาวนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งเขาล้วนแต่เห็นเป็นภาพทิวทัศน์สวยงามเกินจินตนาการ ทำให้คนหลงใหลมันจนไม่อยากจะออกไปเลยด้วยซ้ำ!
จะมีดาวตกได้อย่างไร
หากดาวตกอยู่ไกลออกไป เป็นเหมือนฝนดาวตกก็ว่าไปอย่าง แต่ลูกไฟขนาดใหญ่นั่นพุ่งเข้ามาทั่วสารทิศถึงขั้นไม่มีที่ให้หลบ เขาถึงขั้นรู้สึกได้ถึงไอสังหารแล้วด้วยซ้ำ!
หากไม่ใช่เพราะม้วนภาพวาดกลุ่มดวงดาวขาดเป็นเสี่ยงๆ แล้ว เกรงว่าคงทำให้พวกเขาจิตกระเจิดกระเจิงได้เช่นกัน
เขาแอบรู้สึกเยี่ยงนี้ แต่ในความเป็นจริงก็ยากจะยอมรับได้ เซียนรุ่นเล็กผู้นี้ใช้งานม้วนภาพกลุ่มดวงดาวได้ดีกว่าเขาอีกหรือ
ทำให้ทิวทัศน์สวยงามกลายเป็นเครื่องมือสังหารอันยิ่งใหญ่ไม่ว่า มิหนำซ้ำทิวทัศน์สวยงามของเขานี้ยังต้านทานพลังงานสังหารนั่นไม่ได้ด้วยหรือ
จะเอาหน้าไปไว้ไหนเล่า