ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 99 มีรายได้ไปด้วยกัน ตอนที่ 100 เด็กป่าที่ไม่มีคนต้องการ
- Home
- ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล
- ตอนที่ 99 มีรายได้ไปด้วยกัน ตอนที่ 100 เด็กป่าที่ไม่มีคนต้องการ
ตอนที่ 99 มีรายได้ไปด้วยกัน
หลายวันนี้แม้ทำเงินได้จำนวนไม่น้อย แต่อย่างไรเสียก็ยังต้องซื้อวัตถุดิบ ดังนั้นทุกวันเงินที่เหลือก็ไม่ได้มากมายแต่อย่างใด
ตอนนี้มีเงินห้าสิบตำลึงเงินนี้ หลังซ่งอิงกลับไป ก็รีบไปหาหัวหน้าหมู่บ้านทันที ให้เขาช่วยทำเรื่องโอนโฉนดบ้านให้
หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านซิ่งฮวาก็มีอายุประมาณหนึ่งแล้ว ว่ากันว่าถือเป็นชายชราที่มากความสามารถคนหนึ่ง จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้จักตัวหนังสือทั้งยังเป็นผู้มีความชอบธรรมและมีมรรยาท เดิมทีซ่งอิงมีความทรงจำเกี่ยวกับหัวหน้าหมู่บ้านเพียงน้อยนิด ตอนนี้จึงถือว่าเป็นการเจอหน้าครั้งแรก
หัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้ค่อนข้างผอม แต่กลับดูมีสง่าราศีอยู่เล็กน้อย อายุหกเจ็ดสิบปี ในตระกูลเขาก็ถือเป็นครอบครัวใหญ่โตของหมู่บ้านซิ่งฮวา อีกทั้งเป็นครอบครัวที่มีความเข้มงวด บุตรชายคนหนึ่งได้รับการเลี้ยงดูอย่างผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลในภายภาคหน้า หลานชายทั้งสามคนต่างก็กำลังร่ำเรียนตำรา ในหมู่บ้าน ไม่มีคนกล้าเคลือบแคลงใจต่ออุปนิสัยใจคอของหัวหน้าหมู่บ้าน
“ไม่ทันไรก็จะโอนโฉนดแล้วหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านซ่งตระหนกตกใจเช่นกัน จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ได้ยินปู่เจ้าเอ่ยว่า ชีวิตเจ้าดำเนินไปอย่างสุขสบายดีทีเดียว บ๊ะจ่างขายดิบขายดี เห็นทีว่าที่พูดๆ กันจะเป็นความจริงสินะ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม”
หัวหน้าหมู่บ้านซ่งพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซ่งอิงคลี่ยิ้มเล็กน้อย
หัวหน้าหมู่บ้านก็ถือเป็นคนวงศ์ตระกูลจวนโหว เพียงแต่ลำดับญาติห่างไกลยิ่งกว่า ดังนั้นจึงพอรับรู้ฐานะตัวตนบิดามารดาแท้ๆ ของซ่งอิงอยู่บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนแรกยามที่จวนโหวมารับตัวนางไป ก็ต้องบอกกล่าวให้หัวหน้าหมู่บ้านรับรู้เอาไว้ด้วยเช่นกัน
ส่วนวงศ์ตระกูลซ่งซื่ออื่นๆ ในหมู่บ้านซิ่งฮวา ความสัมพันธ์กับจวนโหวห่างไกลยิ่งกว่าจนไม่รู้จะเรียกว่าห่างไกลได้เท่าใด แม้รู้ว่ามีความสัมพันธ์ทางญาติกับโหวเหยีย แต่คิดเพียงว่าซ่งอิงเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลข้างใดข้างหนึ่งก็เท่านั้น ไม่กล้าคิดสูงกว่านี้
“บ้านของเจ้าหลังนี้วัดขนาดเอาไว้แต่เนิ่นๆ ก่อนแล้ว มีบางขั้นตอนลดทอนลงไปได้ ตามระเบียบปฏิบัติของที่ทำการอำเภอ ราคาเรือนของเจ้าน่าจะอยู่ที่ยี่สิบสามตำลึงเงิน บวกกับเงินค่าดำเนินการ น่าจะต้องเตรียมประมาณยี่สิบห้าตำลึงเงินก็เพียงพอแล้วละ” หัวหน้าหมู่บ้านซ่งกล่าว
ซ่งอิงได้ยินเช่นนั้น ยื่นเงินส่งให้ทันที
เรื่องประเภทนี้ โดยทั่วไปล้วนฝากหัวหน้าหมู่บ้านไปจัดการให้ได้
แน่นอนว่า หากไม่วางใจจะตามไปด้วยก็ได้เช่นกัน แต่หัวหน้าหมู่บ้านซ่งเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
หลังซ่งอิงนำเงินให้ หัวหน้าหมู่บ้านซ่งก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมา กรอกข้อมูลที่ตั้งและจำนวนพื้นที่ของบ้านนางให้ละเอียด ตลอดจนข้อมูลหัวหน้าครัวเรือน จากนั้นให้นางประทับตรานิ้วมือ แล้วกล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะนำไปจัดการที่อำเภอ คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณเจ็ดแปดวัน เจ้าก็คอยอยู่ที่บ้านอย่างวางใจก็พอ”
“ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ทราบว่าในหมู่บ้านพอจะมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ขายบ้างหรือไม่เจ้าคะ ทางที่ดีที่สุดคืออยู่ใกล้กับที่ดินหนึ่งหมู่ผืนนั้นของข้าสักหน่อย ข้าจะได้สะดวกในการดูแลเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าว
“เจ้าต้องการซื้อกี่หมู่หรือ” หัวหน้าหมู่บ้านซ่งมองนาง
ซ่งอิงครุ่นคิด
บ๊ะจ่างขายได้หกวัน หักลบเงินที่ต้องเอาไว้ใช้ซื้อวัตถุดิบรวมไปถึงเงินค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ ในมือนางจะเหลือเงินก้อนที่พอใช้ได้ประมาณแปดสิบหกตำลึงเงิน รวมกับเงินที่เหลือจากการซื้อบ้านอีกยี่สิบห้าตำลึงเงิน…
บ๊ะจ่างชั้นยอดทำเงินได้อย่างดีเยี่ยมเสียเหลือเกิน ส่งผลให้ทุกวันนางจะได้กำไรอยู่ที่สิบห้าตำลึงเงินโดยประมาณ ซึ่งหมายความว่า จากราคาที่ดินในตอนนี้ นางซื้อที่ดินวันละหนึ่งหมู่ได้สบายๆ
เพียงแต่ว่า เงินทุนที่ขายบ๊ะจ่างเป็นเงินที่นางได้มาจากทางด้านเจียงจื่อชางผู้นั้น ซึ่งก็ได้ตกลงเอาไว้แล้วว่า ส่วนหนึ่งเป็นเงินทุนที่พี่ชายนางร่วมลงทุน
จะแบ่งส่วนแบ่งให้ซ่งสวินมากเกินไป เกรงว่าเขาก็คงไม่เอา แต่หากน้อยเกินไป นางเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน
เมื่อมีรายได้แล้วก็ต้องได้รับด้วยกันจึงจะถูก…
ดังนั้น…
แบ่งเป็นหกกับสี่ส่วนก็ค่อนข้างเหมาะสมดีทีเดียว
ให้ซ่งสวินสี่สวน ก็ถือว่าเป็นส่วนที่ตอบแทนคุณบิดามารดาด้วย
ซ่งสวินรู้ความ ดังนั้นนางยินดีที่จะเป็นผู้ช่วยเหลือเกื้อกูลพี่ชาย!
“ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้าน ตอนนี้ราคาของที่ดินอุดมสมบูรณ์และที่ดินแห้งแล้ง…”
“ที่ดินหมู่บ้านซิ่งฮวาพวกเราราคาพอๆ กับทางตอนใต้ อย่างที่ดินอุดมสมบูรณ์ที่สุด หนึ่งหมู่ก็ราคาเพียงสิบหกตำลึงเงินเท่านั้น แต่ที่ดินเช่นนั้นมีจำนวนน้อย เจ้าอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้หรอก ที่ดินที่ซื้อได้ก็พอมีอยู่ไม่กี่บริเวณ ราคาที่ดินอุดมสมบูรณ์อยู่ที่ยี่สิบสามถึงยี่สิบห้าตำลึงเงิน ส่วนที่ดินแห้งแล้งก็จะราคาถูกกว่าหน่อย ซึ่งขึ้นอยู่กับทำเล คาดว่าประมาณ แปด เก้าตำลึงเงินต่อหนึ่งหมู่”
ตอนที่ 100 เด็กป่าที่ไม่มีคนต้องการ
ตามจริงซ่งอิงก็พอคาดการณ์ได้ในใจ เพียงแต่การซื้อขายต้องถามไถ่เป็นมรรยาท นี่คือหลักการที่ทำกันเป็นเนืองนิตย์นี่นะ
“เช่นนั้นท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านช่วยข้าดูๆ หน่อยนะเจ้าคะ ข้าอยากซื้อที่ดินอุดมสมบูรณ์สิบหมู่และที่ดินแห้งแล้งสิบหมู่ แต่ก็ไม่รีบร้อนซื้อในเร็วๆ นี้หรอกเจ้าค่ะ หากมีที่ดินดีๆ ท่านช่วยเอาเก็บไว้ให้ข้าทีนะเจ้าคะ รอข้าขายบ๊ะจ่างเรียบร้อยแล้วค่อยทำการซื้อขาย จะได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าว
เมื่อนางเอ่ยพูดจบ หัวหน้าหมู่บ้านซ่งตกตะลึงไปชั่วครู่
ตามจริงซ่งอิงก็ไม่อยากถลุงเงิน แต่จะให้เอาเงินเก็บไว้ทำอะไรล่ะ จึงต้องการซื้อที่ดินเอาไว้ให้สมกับเป็นสาวน้อยชาวชนบทสักหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีช่องว่างระหว่างมิติอีกด้วย การใช้งานของน้ำผ่านจิตนั้นก็คือสิ่งที่เอาไว้รดน้ำพืชผัก หากไม่ซื้อที่ดิน ช่องว่างระหว่างมิติก็เปล่าประโยชน์เช่นกัน
หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่มีทางนำเรื่องราวนี้ไปพูดเรื่อยเปื่อย และไม่ใช่คนที่ละโมบโลภมากในเงินของนาง ค่อนข้างดีจริงๆ
“เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถ เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินนั่นที่สหายสามีเจ้าส่งมาให้ก่อนหน้านี้ ข้าไตร่ตรองดูแล้ว ถึงอย่างไรคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ จะยกให้เจ้าเอาไว้ใช้เป็นการส่วนตัวก็ย่อมได้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่ต้องการ ตอนนี้ก็อาศัยเงินอันน้อยนิดที่หาได้จากน้ำพักน้ำแรงนี้ ช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ” หัวหน้าหมู่บ้านซ่งกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ได้ หากมีที่ดินดีๆ ข้าจะเก็บเอาไว้ให้เจ้าแน่นอน”
“ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ทราบว่าสหายของบุรุษครอบครัวข้าเป็นลักษณะเช่นไรหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงครุ่นคิดก่อนเอ่ยถาม
“อายุยี่สิบกว่าๆ ลักษณะกำยำล่ำสัน จริงสิ แซ่ฮั่วเช่นกัน มองดูแล้วไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปเลยจริงๆ ดูดุดันทั้งยังชวนให้ยำเกรงเล็กน้อยอีกด้วย มองดูค่อนข้างคล้ายทหารที่อยู่ประจำจวนของตระกูลผู้บรรดาศักดิ์ แม้รูปลักษณ์ไม่ค่อยใจดีมีเมตตา แต่คนเขามีระบบระเบียบมาก ที่ผ่านมายามที่ฮั่วหรงให้คนนำเงินมาส่งให้ ส่วนใหญ่ก็เป็นการช่วยเหลือจากเขาทั้งนั้น เดิมคิดว่าจะรั้งเขาให้อยู่กินข้าวด้วยกันสักมื้อ แต่เขาเอ่ยว่ามีภาระงานสำคัญต้องทำจึงกลับไปแล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด เอ่ยบอกกล่าวความจริงอย่างตรงไปตรงมา
ซ่งอิงได้ยินดังกล่าว ขมวดคิ้วแน่น
ทหารประจำจวน?
อย่าว่าแต่ทหารประจำจวนเลย ต่อให้เป็นองครักษ์ข้างกายของบรรดาใต้เท้าในเมืองหลวงเหล่านั้น เดือนหนึ่งก็ได้เบี้ยไม่มากสักเท่าใด
หนึ่งร้อยตำลึงเงิน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เชียวนะ
แน่นอนละ เงินนี้หากให้ญาติ ต่อให้มากกว่านี้ก็ไม่ถือว่ามากมาย ต่อให้น้อยกว่านี้ก็ไม่น่าเกลียด แต่กลับเป็นการให้มาใช้ทำเรื่องคุณงามความดี สนับสนุนการก่อสร้างสิ่งต่างๆ ในหมู่บ้านซิ่งฮวา นี่แหละทำให้นางสงสัยเล็กน้อย
ทว่าความเคลือบแคลงใจเหล่านี้ ซ่งอิงไม่ได้เอ่ยพูดอะไรมากมาย
นำบ๊ะจ่างทองคำชั้นยอดสิบชิ้นที่นำติดมือมาและบ๊ะจ่างธรรมดาอีกสามสิบชิ้นมอบไว้ให้ จากนั้นซ่งอิงก็กลับบ้านตนเอง
เพียงแต่ เพิ่งมองเห็นบริเวณที่ตั้งบ้านนาง นางก็แอบเห็นเงาดำคนหนึ่งคล้ายพุ่งตัวไปยังห้องครัวของนาง
ซ่งอิงขมวดคิ้ว เร่งฝีก้าวมุ่งไปทางบ้านตนเอง
หลี่หลิวซื่อตระหนกตกใจ เข้าไปในห้องครัว ค้นพบว่าถ่านไฟในห้องครัวดับแล้ว ซึ้งนึ่งขนาดใหญ่ที่วางอยู่เมื่อเช้า ภายในส่งกลิ่นหอมกรุ่นฟุ้งกระจาย ข้างๆ มีหม้อน้ำพะโล้อยู่ด้วยอีกหนึ่งหม้อ
นางรีบเปิดซึ้งนึ่งออกดู
ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรมาเยือน คิดเพียงว่ากลิ่นเนื้อหมูช่างหอมหวน เม็ดเกาลัดก็หอมเช่นกัน น่าจะเป็นของที่ผ่านการลวกน้ำพะโล้ มองซ้ายมองขวา ก็มองเห็นเครื่องปรุงจำนวนไม่น้อยบนเตา เยอะแยะผสมปนเปกันไปหมด แยกแยะไม่ค่อยออก ด้วยความจนปัญญา หยิบขวดน้ำเต้าที่นำติดมือมาด้วยขึ้นมาช้อนตักน้ำพะโล้เอาไว้แล้วเตรียมเดินจากไป
ยังไม่ทันออกพ้นห้องครัว เบื้องหน้ามีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ “เจ้าทำอะไรน่ะ!”
ภูตโสมจ้องสตรีที่ดูหน้าตาดุดันตรงหน้าผู้นี้ ความโกรธพลุ่งพล่าน
เขาไม่ชอบมาห้องครัวเป็นที่สุด ในห้องครัวมีไฟ เขาจึงรู้สึกกลัว
ยามที่เขากำลังกินสารอาหารในดินอยู่ที่ลานหลังบ้าน ได้ยินเสียงฝีเท้า ยังนึกว่ามารดาเขามาแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นป้าแก่ๆ ที่เขาไม่รู้จักคนหนึ่ง
“เจ้าก็คือ…ลูกชายที่ซ่งอิงเก็บเอามาเลี้ยงสินะ” หลี่หลิวซื่อตกอกตกใจ จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ได้ดังเดิม
“ใช่ ข้าเอง เจ้าเป็นใคร เป็น…แม่ครัวที่ท่านแม่ข้าเก็บเอามาหรือ” ภูตโสมนึกถึงคนในภัตตาคารเย่ว์เฟิง จึงเอ่ยปากถาม
หลิวซื่อรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องราวบางอย่าง
“แม่ครัวอะไรกัน ว่ากันตามอายุ เจ้าต้องเรียกข้าว่ายายด้วยซ้ำ!” หลี่หลิวซื่อสบถฮึ “ไอ้เด็กน้อย ต่อให้แม่เจ้าอยู่ตรงนี้ ก็ต้องเรียกข้าอย่างนอบน้อมว่าอาสะใภ้สาม เจ้าเป็นเด็กที่แม่เจ้าเก็บมาเลี้ยง ดังนั้นเชื่อฟังคำพูดข้าเสีย หากเจ้ากล้านำเรื่องราวในวันนี้บอกกล่าวออกไป ข้าก็จะให้แม่เจ้าจับเจ้าโยนออกไปเสียเลย ถึงเวลาก็จะไม่มีคนต้องการเด็กป่าอย่างเจ้าแล้ว!”