ข้าแค่อยาก "กิน" อย่างเงียบๆ - บทที่ 11 ผสมผสาน
ถึงแม้ว่าเสือเงินคำรณจะเป็นเพียงสัตว์ปีศาจระดับหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว สัตว์ปีศาจจะแข็งแกร่งกว่ามากนัก นี่จึงทำให้ผู้ที่ต้องต่อสู้กับสัตว์ปีศาจจะต้องใช้ยุทธวิธีต่างๆเพื่อเอาชนะ
อย่างไรก็ตาม เจียงหยวนเองเคยเป็นถึงยอดยุทธมาก่อนในตอนอายุสิบสามปี เขาย่อมคุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจเหล่านี้
เพื่อให้ทะลวงขั้นไปได้ถึงขั้นนั้น เจียงหยวนได้เข้ามาในหุบเขาหมาป่าสวรรค์นี่อยู่บ่อยครั้ง และต่อสู้กับสัตว์ปีศาจอย่างหนักเพื่อกระตุ้นจุดตันเถียนภายในร่าง และหาโอกาสทะลวงขั้น
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขา มีชีพจรผู้ฝึกยุทธที่คนทั่วไปไม่มี
จะบอกว่าเขาเป็นเพียงเมฆหมอกในหมู่คนสิบล้านคนก็ไม่ผิดนัก ต่อให้ชีวิตของเขาจะหาไม่ แต่ด้วยชีพจรนี้จะทำให้เขายังคงมีชีวิตฟื้นคืนกลับมาได้
“โฮกกก”
หลังจากจับจ้องเจียงหยวนที่อยู่ตรงหน้ามันแล้ว พยัคฆ์เงินคำรณก็ได้ฝนกรงเล็บที่มีขนาดเทียบเท่ากับหัวของมนุษย์กับพื้น พร้อมกับดวงตาที่ดูหยอกเย้าราวกับมนุษย์คนหนึ่ง
เจียงหยวนได้ยืนนิ่งพร้อมกับเปล่งคลื่นพลังออกมา พร้อมกับที่มีดาบโปร่งแสงปรากฎขึ้นตรงหน้าของเจียงหยวนโดยที่ปลายดาบได้ชี้ขึ้นฟ้าไป และเป็นตอนนี้ที่คลื่นพลังบนร่างของเจียงหยวนได้เพิ่มขึ้นถึงขีดสุด
นี่คือพลังที่มีเพียงผู้ฝึกยุทธเท่านั้นที่ใช้ได้ ปลดปล่อยคลื่นพลังภายใน
ด้วยคลื่นพลังรูปดาบและชีพจรวิชายุทธระดับสวรรค์ แม้แกนกลางของคลื่นพลังนี้จะเป็นเพียงลูกกลมๆเล็กๆ แต่อาณุภาพของมันไม่ได้ต่างไปจากกระบี่จริงๆแต่อย่างใด
“โฮกกกกก”
เมื่อสัมผัสได้ว่าเจียงหยวนคิดจะเล่นกับมัน นี่ทำให้พยัคฆ์เงินคำรณคำรามลั่นก่อนจะเคลื่อนที่จนเหลือเพียงแค่เงาร่าง มันทะยานขึ้นไปบนฟ้าพร้อมขนของมันที่ตั้งต้องลม ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ทำให้ขนสีเงินของมันเป็นประกายจนน่าจับตามอง
“จงมาเป็นอาหารของข้าซะ เจ้าเสือน้อยยยย”
เจียงหยวนหัวเราะร่าก่อนจะยิงคลื่นพลังดาบของตนออกไป
พยัคฆ์เงินคำรณที่อยู่กลางอากาศ ในตอนนี้มันสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจนทำให้ร่างกายของมันสั่นเทิ้มและดวงตาแสดงถึงความหวาดกลัว แต่นี่เองก็ยังถือว่ามันรู้สึกตัวช้าเกินไป
*ฝุ่บ*
บังเกิดแสงสีทองได้พาดผ่านท้องฟ้า
พร้อมรูลึกที่บังเกิดขึ้นมาบนหว่างคิ้วของพยัคฆ์เงินคำรณ
ดวงตาของพยัคฆ์เงินคำรณไม่หลงเหลือสัญญาณแห่งชีวิตเฉกเช่นก่อนหน้า กลับกัน ประกายในดวงตาของมันค่อยๆมัวหมองขึ้นเรื่อยๆ
*ผลั๊ก*
ร่างของพยัคฆ์เงินคำรณได้ล่วงหล่นจนกระแทกกับพื้นดิน
“เป็นเจ้าเองนะที่คิดเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่”
“แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งปรากฎตัวอยู่ที่นี่ มันก็หมายความว่าพวกมันกำลังป้องกันของดีๆอยู่เป็นแน่”
หลังจากยืนยันได้ว่าพยัคฆ์เงินคำรณตัวนี้มาจากทิศทางใด เจียงหยวนก็ได้เก็บคลื่นพลังกระบี่ของตน ก่อนจะที่จับหางที่มีขนาดเท่าแขนคนของพยัคฆ์เงินคำรณพาดบ่า
จางหยวนได้หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับจะจับจ้องให้ทะลุดงป่าหนาที่มีผู้คนเดินผ่านเพียงน้อยนิด จนเขาได้เห็นถ้ำที่มีสีดำสนิทในโพรงปรากฎขึ้นในครรลองสายตา
เจียงหยวนที่เห็นก็ได้ตบไปที่ก้นของพยัคห์เงินคำรณในขณะที่หัวของมันถูกลากไปกับพื้นและพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง นั่นคือบ้านของเจ้าสินะ น้องชาย
แน่นอนว่าน้องเสือของจางหยวนไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
เจียงหยวนยังไม่ได้เดินตรงเข้าไปในถ้ำ แต่เขาส่งจิตวิญญาณของเขาเข้าไปสำรวจภายในถ้ำก่อน
เมื่อเขาไม่พบคลื่นพลังใดๆภายในถ้ำ เจียงหยวนก็ได้ปล่อยมือออกจากหางของซากร่างพยัคฆ์คำรณและตรงเข้าถ้ำไป
-เหม็นชะมัด-
นี่คือสิ่งแรกที่พุ่งขึ้นมาในความคิดของเจียงหยวนหลังจากเข้าถ้ำไปแล้ว
ถ้ำนี้มืดอย่างมาก แม้ว่าพยัคฆ์คำรณจะเก็บอาหารของมันไว้ภายในเพียงน้อยนิด แต่กลิ่นเหม็นเน่าก็ตลบอบอวลอยู่ภายใน
-เคล็ดวิชาลับเพลิงศักดิ์สิทธิ์-
นี่เป็นทักษะยุทธที่ผู้คนทั่วทั้งแคว้นใช้กันอย่างแพร่หลาย มันเป็นการบังคับให้ไฟศักดิ์สิทธิ์ลุกเผาไหม้อยู่ที่ปลายนิ้ว เพื่อที่จะให้แสงสว่างโดยรอบ
แน่นอนว่า สิ่งแรกที่เจียงหยวนเห็นก็คือกองกระดูกและซากเนื้อเน่าภายในถ้ำ พร้อมกับกระดูกกะโหลกของมนุษย์ที่อยู่ตรงเท้าของเจียงหยวน
เจียงหยวนในตอนนี้จับจ้องไปที่ซากหัวกระโหลกที่แห้งกรังพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ “เสียใจด้วยนะ น้องชาย”
ด้วยแสงในมือ เจียงหยวนได้สำรวจถ้ำต่อไปอีกสักพัก พร้อมกับย่ำกระดูกจนแตกเข้าไปด้านใน