ข้าแค่อยาก "กิน" อย่างเงียบๆ - บทที่ 22 กลุ่มหัวเสือ
ตลอดทาง เจียงหยวนได้อยู่ในชุดคลุมสีดำ และในตอนนี้ เขาเปิดประตูไม้ที่มีสภาพซอมซ่อบานหนึ่งเข้าไป
สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมเหล่าคนจรที่ใหญ่ที่สุดแห่งเมืองเทียนหยาง และมันถูกเรียกว่ากลุ่มหัวเสือ
“เจ้ามาทำอะไร”
ชายตัวใหญ่ที่ยืนตระหง่านอย่ที่หน้าประตูถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
เจียงหยวนได้กดเสียงต่ำก่อนจะใช้พลังภายในเป็นเส้นเสียงของตนเองให้ฟังดูราวกับคนแก่พูดออกมา “ข้าอยากจะให้เจ้าทำบางสิ่งให้กับข้า”
“แกคิดว่าพวกเราจะช่วยทุกคนที่เข้ามาที่นี่รึไง”
ชายร่างกำยำได้พูดออกมาก่อนจะปลดปล่อยพลังภายในออกจากภายในร่าง หลังจากนั้นเขาได้ยืนตัวตรงและส่งหมัดที่เต็มไปด้วยคลื่นพลังสีแดงออกมา
“น่ารำคาญ”
เจียงหยวนไม่ได้ทำเพียงพูดออกมาเฉยๆ เขากระตุ้นพลังภายในของเขาในขณะที่เดินตรงไปข้างหน้า จนในตอนนี้เท้าของเขาได้ถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นพลังสีแดงเข้ม
นี่ทำให้ทุกย่างก้าวที่เขาก้าวเดินบังเกิดคลื่นความร้อนในบรรยากาศโดยรอบ พร้อมกับสายลมที่ร้อนแรงพัดออกไปจากร่างกายของเขาในตอนที่เขาหลบหมัดนี้
หลังจากหลบหมัดได้แล้ว เขาก็ตบไปที่ชายคนนี้จนกระเด็นกระดอนออกไป
เจียงหยวนได้ปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนอยู่ที่ตัวแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ “เงียบสักที”
เมื่อเห็นฉากนี้ ชายที่มีรอยแผลเป็นอยู่บนหน้าราวกับถูกมีดเฉือนและนั่งอยู่ข้างหน้าเขาได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะยืนขึ้นแล้วพูดออกมา “ผู้เฒ่ามาด้วยเหตุอันใด ข้าขออภัยแทนเพื่อนของข้าด้วยก็แล้วกัน”
“ตระกูลหม่า”
“ตระกูลหม่ารึ ตอนนี้เมืองของเราไม่มีตระกูลหลี่แล้ว ตระกูลหม่าจึงกลายเป็นตระกูลใหญ่อันดับสองของเมืองเทียนหยาง พวกเราไม่กล้าที่จะขายข้อมูลอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกหนา”
ชายหน้าบากได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยในทันทีเมื่อได้ยิน
เจียงหยวนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาทำเพียงแค่หยิบถุงเก็บของออกมาแล้วโยนออกไป ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เขร่งขรึมและแฮบพล่า “สองหมื่นเหรียญทอง”
“สองหมื่นเหรียญทองรึ ตกลง ท่านอยากจะรู้สิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณนาย ผู้นำตระกูล หรือเรื่องของผู้อาวุโสสูงสุด หรืออดีตผู้นำตระกูลที่ถูกกดดันให้สละตำแหน่งล่ะ”
ชายหน้าบากได้พูดออกมาด้วยเสียงหัวเราะร่วน
เจียงหยวนส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดต่อ “ไม่ใช่เรื่องพวกนั้น ข้าต้องการให้เจ้าจับตาดูนายน้อยใหญ่แห่งตระกูลหม่า”
“นายน้อยใหญ่แห่งตระกูลหม่า หม่าเหยาน่ะรึ เขาเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งในเมืองเทียนหยางไม่ใช่เหรอ”
ชายหน้าบากค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ สำหรับเขาแล้ว ข้อมูลของหม่าเหยาคนนี้ไร้ค่าอย่างไม่น่าจะตีราคาได้
อย่างไรก็ตาม เจียงหยวนรู้ดีว่าหม่าเหยาผู้นี้หาใช่คนธรรมดาไม่
หม่าเหยา อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลหม่า และสามารถบอกได้ว่าเมื่อสองปีก่อน เขาเป็นอัจฉริยะอันดับสองของเมืองเทียนหยางก็ไม่ผิดนัก
เพราะว่าเขาถูกความสามารถของเจียงหยางทำลายความภาคภูมิในฐานะอันดับหนึ่งที่เคยได้รับมาอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงหลังจากที่เจียงหยวนถูกขโมยชีพจรยุทธ์ระดับเทพของเขาไปแล้ว ชื่อของหม่าเหยาจึงได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แถมในครั้งนี้ ชื่อเสียงของเขายังลือเลื่องเสียกว่าแต่ก่อนซะอีก
หนึ่งปีที่ผ่านมา นอกจากการบ่มเพาะแล้ว เจียงเหยาได้ใช้เวลาบางส่วนในการหาข่าวคราวของคนผู้นี้ และนี่ทำให้เขารู้ว่าหม่าเหยามีสายสัมพันธ์อันดีกับเจียงหมิง
ยังไงซะ ตระกูลเจียงก็ยังเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเทียนหยาง และด้วยบุญญาวาสนาที่สั่งสมมานับร้อยปี มันก็เพียงพอที่จะทำให้สมาชิกในตระกูลหาลูกน้องของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนในตระกูลก็ตาม
และในทุกๆครั้งที่เจียงหมิงกล่าวถึงหม่าเหยาต่อหน้าเขา ไม่เพียงท่าทางของเจียงหมิงจะไม่ได้มีท่าทางเดียดฉันท์อย่างที่ควรจะเป็นในฐานะตระกูลคู่แข่ง กลับกัน เขายังเคยได้ยินมาด้วยซ้ำว่าเจียงหมิงเคยไปดื่มสังสรรค์กับหม่าเหยาคนนี้บ่อยๆ
นี่จึงทำให้เขากล้าบอกได้ว่าหม่าเหยาจากตระกูลหม่าผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา
ไม่ว่าจะเป็นเจียงหวู่และผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเจียง มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ทั้งสองคนจะโค่นล้มพ่อของเขาได้ด้วยกำลังของตัวเอง และนี่ทำให้พวกนั้นเริ่มติดต่อกับคนนอกตระกูลขึ้นมา
และแน่นอนว่าผู้นำตระกูลหม่าย่อมไม่ออกมาเคลื่อนไหวเพียงเพราะต้องการผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากว่าเขาลงมือขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ตระกูลเจียงต้องสาหัสไม่น้อยเป็นแน่
หม่าเหยาแม้จะยังเด็ก แต่ก็ถือได้ว่ากระหายในความสำเร็จไม่น้อยกว่าใคร
และนี่เองทำให้การที่หม่าเหยาเข้าหาเจียงหมิงจนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เจียงหยวนพยักหน้ารับยืนยันคำพูดของตนต่อชายหน้าบาก ก่อนที่จะนำมือไปไพล่หลังแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “ใช่ เป็นเขานั่นแหล่ะ แค่บอกข้ามาว่าเขาพบปะกับใครบ้าง”
“ไม่ต้องห่วง พวกข้าจะรวบรวมข้อมูลมาให้ภายในคืนวันพรุ่งนี้”
“อืม”
เมื่อพูดจบ เจียงหยวนก็ได้เดินออกจากประตูไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
ราวกับว่าเขาปล่อยเรื่องนี้ให้กับกลุ่มหัวเสือเป็นคนจัดการไปเลย