ข้าแค่อยาก "กิน" อย่างเงียบๆ - บทที่ 39 พุ่งทะยาน
“ยอดยุทธสี่ดาวงั้นรึ”
เมื่อคนของตระกูลเจียงได้ยินต่างก็มีท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะเจียงเหวิ่นเป็นเพียงคนเดียวในตระกูลที่อยู่ในระดับจอมยุทธ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังเป็นเพียงจอมยุทธระดับหนึ่งดาว แต่อีกฝ่ายกลับอยู่ในระดับสี่ดาว
“เหอะ ก็แค่หมาแก่ล่ะนะ”
เจียงหยวนเผยรอยยิ้มเย็นออกมา เขามั่นใจว่าสามารถโค่นล้มจอมยุทธสี่ดาวคนนี้ลงได้
หม่าเหยาหัวเราะออกมาในทันทีเมื่อได้ยิน “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่มั่นใจดีจริงๆ”
“มั่นใจรึไม่หาใช่เรื่องของเจ้า”
เจียงหยวนพูดพลางนำยาเทพโลหิตที่ได้จากหม่าเหยาออกมา
“มะไม่ดีแล้ว ตะตระกูลหม่า ตระกูลหม่านำคนกลุ่มใหญ่ตรงมาที่นี่”
เป็นตอนนี้ที่ยามเฝ้าประตูวิ่งเข้ามาข้างในอย่างเร่งรีบ
“หยวนเอ๋อร์ เรื่องนี้เป็นเรื่องของตระกูลเจียง มันไม่เกี่ยวกับเจ้าที่ออกไปแล้วนะ”
เจียงเหวิ่นขมวดคิ้วก่อนจะพูดแนะนำลูกชายของตัวเองที่อยู่ด้านหลัง
“ไม่ต้องกังวล ท่านพ่อ ปล่อยบรรพบุรุษตระกูลหม่าให้ข้าจัดการเอง”
เจียงเหวิ่นที่ได้ยินก็พยักในทันที ด้วยใบหน้าที่สุดแสนมั่นใจของลูกชายตนเองนี้ แม้เขาจะไม่รู้ว่าลูกชายของตนคิดที่จะทำอะไรก็ตาม แต่มันทำให้เขาอดที่จะไว้วางใจไม่ได้เช่นกัน
“ออกไปกัน พวกเราไปเผชิญหน้ากับผู้สืบทอดตระกูลหม่าด้วยกัน”
เจียงเหวิ่นได้เดินนำพาฝูงชนออกไป พร้อมๆกับที่เจียงหยวนได้หิ้วหม่าเหยาเดินตาม
….
ที่หน้าประตูทางเข้าตระกูลเจียง
ชายแก่ในชุดสีดำและผมที่หงอกเลาได้ยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าตระกูลเจียง เขามองไปที่หลิวเฟิงที่ยืนอยู่หน้าตระกูลเจียงแล้วหัวเราะออกมา “หลิวเฟิงรึ กลุ่มหัวเสือของเจ้าก็อยากจะมีส่วนร่วมในเรื่องด้วยอย่างนั้นเรอะ”
ถึงแม้หลิวเฟิงจะเป็นเพียงแค่นักรบเก้าดาว แต่ด้วยการที่เขาใช้ชีวิตใต้คมหอกคมดาบมานาน จึงไม่กลัวกับเพียงแค่แรงกดดันของผู้ที่มีระดับบ่มเพาะสูงกว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคิดจะยื่นมือเข้ายุ่งแล้วยังไง ในวันนี้ กลุ่มหัวเสือของข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ชายแก่ชุดดำได้สบถออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนที่เข้าหาหลิวเฟิง เขาลอยตัวเข้าหาหลิวเฟิงอย่างไร้ท่าร่าง จนไม่รู้ว่าเขาใช้ท่าเท้าใดในการเคลื่นไหว
“ไอ้หมาแก่ คู่ต่อสู้ของแกคือข้า”
ในตอนนี้เจียงหยวนได้ก้าวทะยานออกมาด้วยย่างก้าวดอกบัวคราม
ฝุ่บ
เจียงหยวนก้าวเดินบนอากาศ ทุกย่างก้าวของเขามีดอกบัวสีน้ำเงินครามลองรับฝ่าเท้าเอาไว้
“ท่าเท้าที่ดี”
หลิวเฟิงเอ่ยปากชมออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“เมื่อใดกันที่ตระกูลเจียงมีท่าเท้าที่ทรงพลังเช่นนี้”
“ไอ้หนู เจ้าเป็นใคร”
บรรพบุรุษตระกูลหม่าคนนี้มีอายุยืนนานจนมีข่าวว่าตกตายไปตั้งแต่เจียงหยวนยังไม่เกิดด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่เขาจะไม่รู้ข่าวคราวภายในเมืองเทียนหยางในช่วงหลายปีมานี้สักเท่าไหร่
“เจียงหยวน”
เจียงหยวนที่ยืนเหยียบดอกบัวสีน้ำเงินครามบนอากาศได้ยืนนิ่งแล้วพูดตอบ
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่ช่างโอหังยิ่งนัก ให้ข้าแสดงให้เจ้าดูว่าตัวตนของจอมยุทธระดับสี่ดาวเป็นเช่นใด”
หลังจากหัวเราะออกมาอย่างดังที่สุดในชีวิต คลื่นพลังของบรรพบุรุษตระกูลหม่าก็ท่วมท้นไปทั่วร่างกาย
หลังจากที่คลื่นพลังท่วมท้นออกมาแล้ว เป็นตอนนี้ที่สีคลื่นพลังของเขาได้ค่อยเปลี่ยนไปกลายเป็นสีน้ำเงิน และในที่สุด ร่างของเขาก็กลายเป็นม้าป่าสีน้ำเงิน
เงาร่างของม้าป่าที่เห็นไม่หยุดนิ่งเลยแม้แต่น้อย มันคอยขยับไปมาบ้างกระทืบเท้าของตนจนบังเกิดคลื่นพลังสีน้ำเงินปรากฎที่ฝ่าเท้าของมัน สร้างคลื่นกระแทกที่รุนแรงและน่าหวาดหวั่นไปทั่วท้องฟ้า
“คลื่นพลังก่อร่างเป็นสิ่งของได้สมจริงขนาดนี้ สมกับเป็นจอมยุทธระดับสี่ดาวจริงๆ”
เจียงเหวิ่นพูดออกมาเบาๆในขณะที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า
“ม้าป่ารึ ดี ข้าจะทำให้มันเชื่องเอง”
เมื่อพูดจบ เจียงหยวนได้พุ่งตรงไปหาม้าป่าสีน้ำเงินตรงหน้า
ด้วยการก้าวเดินไม่กี่ก้าว
ด้วยก้าวย่างดอกบัวคราม เจียงหยวนก้าวเดินตรงไปหาม้าป่าสีน้ำเงินบนฟ้า และก้าวลงไปขึ้นคร่อมมันที่กลางหลังโดยตรง
“ฮ่าฮ่าฮ่า บรรพบุรุษตระกูลหม่า เจ้าที่เป็นม้าป่าพยศอยู่ในตระกูลกลับมีท่าทางเชื่องๆกับคนนอกตระกูลเช่นนี้เนี่ยนะ”
เมื่อเห็นฉากที่ดูไม่น่าเชื่อบนฟากฟ้า หลิวเฟิงก็ได้หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น