คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 123 หัวขโมยแอบเข้าคฤหาสน์
“จริงๆ เลย คนพวกนี้รีบร้อนทำไม” จินเฟยเหยายิ้ม ยกชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง พบว่ารสชาติไม่ถูกต้อง เปิดฝาถ้วยชาออกดู คิดไม่ถึงว่าด้านในไม่มีแม้แต่ใบชาลอยอยู่
พานอี้อันไปดูคำสั่งเสียของบรรพชนผู้ล่วงลับอย่างร้อนใจ แม้แต่ใบชาก็ลืมใส่ เพียงเทน้ำใส่ลงไปเท่านั้น จินเฟยเหยาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
รออยู่ในบ้านเนิ่นนาน จึงเห็นพานอี้อันและพานจั๋วหวาพยุงพานอี้เดินออกมาจากสวนหลังบ้าน ทั้งสามคนดวงตาแดงก่ำ ท่าทางจะพบบรรพชนผู้ล่วงลับแล้ว ร่ำไห้โอบกอดกันและกันบรรยายความเศร้ารันทด
“เป็นอย่างไร? เล่าเรื่องทั้งหมดเสร็จแล้วสินะ” เห็นทั้งสามคนกลับมา จินเฟยเหยาก็วางถ้วยชาที่ไร้ชาลง เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มปริ่ม
พานอี้นั่งลงที่ตำแหน่งด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองพานจั๋วหวาแวบหนึ่งจึงทอดถอนใจ “สหายเซียนท่านนี้ เรื่องของเจ้าบรรพชนผู้ล่วงลับบอกแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ศิลาน้ำแข็งไม่ได้อยู่ในมือของพวกเราแล้ว”
“อะไรนะ!” จินเฟยเหยาตะโกนขึ้นอย่างไม่พอใจ หรือว่าไม่อยากมอบสิ่งของให้ข้า
“บรรพชนผู้ล่วงลับเกรงว่าศิลาน้ำแข็งจะถูกคนช่วงชิงไป ดังนั้นจึงใช้หินผลึกเทียนจี๋ห่อหุ้มไว้ให้พวกเราเก็บรักษามาตลอด ถึงแม้หินผลึกเทียนจี๋ก็เป็นสิ่งล้ำค่า แต่ไม่อาจเปรียบกับสิ่งของชั้นยอดสำหรับหลอมสร้างอาวุธเช่นศิลาน้ำแข็งได้ ดังนั้นหกร้อยปีมานี้ล้วนไม่มีเรื่องราวใด พวกเราก็กะว่าหลังจากมีคนเจี๋ยตัน ก็จะใช้หินผลึกเทียนจี๋หลอมสร้างอาวุธ” พานอี้ก้มหน้าอธิบาย
“จากนั้นเล่า ตอนนี้ศิลาน้ำแข็งไปไหนแล้ว?” เรื่องในอดีตเหล่านี้จินเฟยเหยาไม่คิดรับฟัง นางเพียงอยากรู้ว่าสิ่งของของตนเองไปไหน
“นำไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวของอี้อัน”
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้น มองพานอี้อันอย่างไม่อยากจะเชื่อ “พวกเจ้ามือเติบยิ่งนัก ให้ศิลาน้ำแข็งเป็นสินเดิมเจ้าสาว”
“พวกเราไม่รู้ว่าเป็นศิลาน้ำแข็ง นึกว่าเป็นหินผลึกเทียนจี๋มาตลอด ดังนั้นจึงนำมาเป็นสินเดิมเจ้าสาว อีกทั้งตอนนี้ส่งไปที่หัวหน้าตระกูลนานแล้ว นำกลับมาไม่ได้ พวกเรามิสู้เปลี่ยนเป็นสิ่งของอื่น?” พานอี้มองจินเฟยเหยา เขารู้จากปากบรรพชนผู้ล่วงลับว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของสาวน้อยผู้นี้คือขั้นสร้างฐานช่วงต้น เพียงแต่ใช้เวทมนตร์สะกดพลังการบำเพ็ญเพียรเอาไว้
ในเมื่อเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐาน เช่นนั้นก็ไล่ไปไม่ได้ง่ายๆ อีกทั้งจากปากบรรพชนผู้ล่วงลับก็สอบถามที่มาของสตรีผู้นี้ไม่ได้ ดังนั้นหารือกันดีๆ เป็นดีที่สุด
จินเฟยเหยาฟังคำพูดของเขาก็ไม่ได้เอ่ยวาจา หลังจากก้มหน้าลงครุ่นคิด พลันถามพานอี้อันว่า “เจ้าชอบคนที่เจ้าจะแต่งงานด้วยหรือไม่?”
พานอี้อันสีหน้าซีดขาวทันที เอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ข้าไม่ชอบชายชราอย่างเขา”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าแต่งงานเลย เอาสินเดิมเจ้าสาวกลับมา” ได้รับคำตอบของนาง จินเฟยเหยาก็พูดออกมาโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
“หา!” ทั้งสามคนมองนางในเวลาเดียวกัน พานอี้อันดวงตาเป็นประกาย เงยหน้าขึ้นอย่างมีความหวัง พานอี้กลับมีปฏิกิริยาเร็วกว่า ประโยคเดียวก็กดความหวังของพานอี้อันลงไป
“สหายเซียนท่านนี้ การแต่งงานยกเลิกไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?”
“เอ่อ…” พานอี้ลังเลอยู่บ้าง นี่เป็นเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัว ไม่เหมาะจะบอกกล่าวแก่คนนอก ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงศิลาน้ำแข็ง จะไม่พูดก็ไม่เหมาะ เขาครุ่นคิด ได้แต่เล่าตั้งแต่ต้น
ฟังอยู่นาน จินเฟยเหยาจึงเข้าใจ ที่แท้คนที่พานอี้อันต้องแต่งงานด้วยคือตระกูลอู่ ตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนใหญ่อีกตระกูลหนึ่ง ส่วนพานฮุ่นจื่อ พานจั๋วเยวี่ย ฮูหยินของพวกเขาคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลอู่ ดังนั้นเพียงเลี้ยงอนุภรรยานอกบ้าน ไม่กล้าพากลับบ้าน
พานอี้อันถูกหัวหน้าตระกูลในตอนนี้บังคับให้แต่งงานเป็นอนุภรรยาของผู้อาวุโสท่านหนึ่งของตระกูลอู่ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นขั้นสร้างฐาน ก็ไม่มีสาวน้อยคนใดคิดจะแต่งงานกับชายชรา และหินผลึกเทียนจี๋เป็นสิ่งเดียวที่มีค่าภายในบ้านจึงถูกบังคับเก็บไปเป็นสินเดิมเจ้าสาว ตอนนี้วางอยู่ในคฤหาสน์หลัก เป็นไปได้ว่าถูกหัวหน้าตระกูลใช้เป็นของส่วนตัว ใครเคยได้ยินเหตุผลที่ว่ารับอนุภรรยายังต้องเก็บสินเดิมเจ้าสาวอีก
“ที่จริงพวกเขาเพียงแค่คิดจะนำหินผลึกเทียนจี๋ไปอย่างสง่าผ่าเผย ดังนั้นจึงหาข้ออ้างให้เจ้าแต่งงานไป อนุภรรยาไหนเลยต้องมีสินเดิมเจ้าสาว อย่าพูดให้ขายหน้าเลย” จินเฟยเหยาฟังไปฟังมา รู้สึกว่าที่นี่ต้องมีปัญหาแน่ จึงพูดออกมา
ทั้งสามคนตะลึงงัน พวกเขาไม่ได้คิดถึงด้านนี้ นึกว่าหัวหน้าตระกูลเห็นพวกเขาเกะกะลูกตามาตลอด ดังนั้นจึงให้อี้อันแต่งงานเป็นอนุภรรยาของชายชรา ตอนนี้ได้ยินคำพูดของจินเฟยเหยา ยิ่งรู้สึกว่าเหตุผลนี้เป็นไปได้
เนื่องจากเขาเคยพูดหลายครั้งว่าจะซื้อหินผลึกก้อนนี้ไป ทุกครั้งพานอี้ล้วนใช้เหตุผลว่าเป็นสิ่งของตกทอดของบรรพชนผู้ล่วงลับเพื่อขับไล่เขา คาดว่าครั้งนี้คงใช้การแต่งงานเป็นข้ออ้างนำหินผลึกเทียนจี๋ก้อนนี้ไป
ประการแรกสามารถได้ครอบครองหินผลึกเทียนจี๋ ประการที่สองสามารถตีสนิทกับตระกูลอู่ คิดได้เยี่ยม หน้าไม่อายจริงๆ จินเฟยเหยาส่งเสียงถุยคำหนึ่ง กล้าแย่งชิงสิ่งของกับข้า ไว้ชาติหน้าเถอะ
“ต่อให้พูดเช่นนี้ พวกเราก็จนหนทาง ตอนนี้หินผลึกเทียนจี๋อยู่ในมือของพวกเขาแล้ว อี้อันต้องแต่งไปก็เป็นเรื่องที่กำหนดแน่นอนแล้ว สหายเซียน เจ้าเปลี่ยนเป็นสิ่งของอื่นเถอะ” พานอี้ถอนใจยาว เขาก็ไม่อยากให้หลานสาวแต่งงานไป บุตรชายเสียชีวิตเร็ว มีหลานเพียงสองคนอยู่เป็นเพื่อนเขา
ตอนนี้ได้สิ่งของตกทอดของบรรพชนผู้ล่วงลับ ขอเพียงนำสิ่งของออกมา จั๋วหวาจึงสามารถฝึกบำเพ็ญอย่างวางใจได้ อาศัยคุณสมบัติของเขา ขอเพียงได้รับสิ่งสนับสนุนอย่างเพียงพอ ขั้นสร้างฐานถึงขั้นหลอมรวมล้วนไม่มีปัญหา ความหวังของสายตระกูลพวกเขาฝากไว้ที่ตัวจั๋วหวาทั้งหมด
เพียงแต่เสียดายอี้อัน ถ้าไม่แต่งงานไป ก็สามารถฝึกบำเพ็ญด้วยกันได้ หัวหน้าตระกูลเฮงซวยนั่นให้กำเนิดบุตรธิดาหลายสิบคน มีพลังวิญญาณเพียงไม่กี่คน สุดท้ายมีหลานชายเพียงคนเดียวยังเป็นคนสารเลว ไหนเลยจะเหมือนหลานสองคนของข้าที่ทุกคนล้วนมีคุณสมบัติดี เนื่องจากสาเหตุนี้ดังนั้นเขาจึงใช้สารพัดวิธีมาหักลดสิ่งของที่พวกเราได้รับการจัดสรร
“พวกเจ้าจะถอนใจทำไม หินผลึกเทียนจี๋ก้อนนั้นไม่ได้อยู่ภายในคฤหาสน์หลักของพวกเจ้าหรือ? ข้าจะไปขโมยมันออกมา จากนั้นพวกเจ้าก็อ้างว่าสินเดิมเจ้าสาวอันล้ำค่าถูกคนยักยอกเป็นของส่วนตัว อาละวาดไม่ยอมแต่ง จากนั้นต่อให้พวกเขาชดใช้ พวกเจ้าก็สามารถบอกได้ว่าได้รับความอับอาย เป็นตายอย่างไรก็ไม่แต่งงาน? เป็นอย่างไร ไม่แน่ว่ายังได้ผลึกเทียนจี๋ก้อนหนึ่ง” จินเฟยเหยามองพวกเขาสามคนทอดถอนใจ ได้แต่แค้นเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า[1]
คนผู้นี้อยู่ในตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนมานาน ไม่กล้ามีความคิดต่อต้านหัวหน้าตระกูล จินเฟยเหยาเข้าใจคนเหล่านี้มากเกินไป
“ขโมยออกมา? สหายเซียน คฤหาสน์หลักของตระกูลพานไม่ใช่บ้านหลังเล็กๆ แบบของพวกเรา คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมด้านในก็มีสามคน เจ้าขโมยสิ่งของจะหนีรอดได้อย่างไร” พานอี้ส่ายศีรษะคัดค้านอย่างหนักแน่น ถ้าขโมยไม่สำเร็จจะทำให้พวกเขาเดือดร้อน
จินเฟยเหยายิ้ม “กลัวอะไร ขอเพียงพวกเจ้าไม่พูด หาช่วงที่มีคนปะปนกันมากๆ ให้พานจั๋วหวาพาข้าเข้าไปก็พอ”
ในขณะที่พูด จินเฟยเหยาก็ใช้เวทควบคุมพลังวิญญาณ เลื่อนขึ้นเป็นขั้นฝึกปราณช่วงกลาง จากนั้นมองพานอี้อันที่อยู่ด้านตรงข้าม ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลง ไม่กี่อึดใจให้หลัง ใบหน้าของจินเฟยเหยาก็ใช้เวทแปลงโฉมเปลี่ยนเป็นใบหน้าของพานอี้อัน
จากนั้นลุกขึ้นเดินสองก้าวแล้วเอ่ยว่า “เป็นอย่างไร? แบบนี้เข้าตระกูลพานก็ไม่มีปัญหาแล้วสินะ”
เห็นทั้งสามคนมองนางปากอ้าตาค้าง จินเฟยเหยาก็เอ่ยอีกว่า “เข้าไปในตระกูลพานแล้ว เจ้านำข้าไปดูสตรีที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลักคนหนึ่งไกลๆ แล้วบอกสถานที่วางหินผลึกเทียนจี๋ให้ข้า ข้าจะเปลี่ยนสภาพเป็นนาง ขโมยหินผลึกเทียนจี๋ออกมา ทางที่ดีพวกเจ้าหาคนที่รังแกพวกเจ้าเป็นประจำสักคน ก็สามารถใส่ความพวกเขาได้แล้ว”
คนทั้งสามถูกแผนการต่ำช้าไร้ยางอายของจินเฟยเหยาทำให้ตกตะลึง เวทมนตร์ของคนผู้นี้เลวทรามจริงๆ ผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาใครจะคิดฝึกบำเพ็ญของแบบนี้ ถึงจะไร้ยางอายแต่แผนนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งสามคนหารือกันแล้วตัดสินใจทำตามนี้ญ็ญเซียน
ตอนค่ำเป็นงานเลี้ยงน้ำชาของคฤหาสน์หลัก จะมีสตรีของแต่ละสายตระกูลจำนวนมากไปเที่ยวเล่นที่คฤหาสน์หลัก ถึงตอนนั้นให้จินเฟยเหยาเปลี่ยนเป็นพานอี้อันปะปนเข้าไป ด้านในมีสตรีจำนวนมาก ต้องไม่ถูกพบเห็นแน่ บรรดาตาเฒ่าพลังการบำเพ็ญเพียรสูงคงไม่มาเล่นสนุกกับบรรดาสตรีที่เป็นผู้เยาว์
หลังจากหารือกัน จินเฟยเหยาไม่ได้กลับไป นางยังต้องจับตาคนตระกูลนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาได้มุกเก็บการรับรู้ และได้สมบัติด้านในไป จะละทิ้งทุกอย่างที่นี่แล้วจากไปหรือไม่
เพื่อแต่งกายให้เหมือนหน่อย พานอี้อันยังนำเสื้อผ้าของตนเองและเครื่องประดับที่ใช้ประจำให้จินเฟยเหยาผลัดเปลี่ยน ขอเพียงไม่เอ่ยวาจา ไม่พบผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมในระยะใกล้ ก็จะไม่มีคนพบว่าพานอี้อันเป็นตัวปลอม
ท้องฟ้ามืดแล้ว บนเกาะหลักฝั่งตรงข้ามจุดตะเกียงสว่างจ้า หลังจากพานอี้กำชับให้พานจั๋วหวาระมัดระวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนทั้งสองก็โดยสารเรือน้อยพายไปยังฝั่งตรงข้าม
บนท่าเรือของคฤหาสน์หลักในยามนี้มีเรือลากปลาทองและเรือตกแต่งอย่างงดงามต่างๆ เรือน้อยที่จินเฟยเหยานั่งโกโรโกโสอย่างยิ่ง สตรีมากมายล้วนมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณ สวมชุดสีสันสดใสหลากหลายรูปแบบ พบเห็นพวกเขาสองคน ก็เอ่ยเสียดสีเบาๆ
จินเฟยเหยาเอียงศีรษะเอ่ยกับพานจั๋วหวา “นิสัยของน้องสาวเจ้าเป็นอย่างไร? เจอสถานการณ์เช่นนี้จะมีโทสะหรือจะอดกลั้น?”
“อดกลั้น…” พานจั๋วหวาเอ่ยตอบเสียงเบาอย่างไม่ยินยอม
ปกติสองพี่น้องพบเจอเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ที่ยิ่งกว่านี้ก็มี หลังจากอดกลั้นก็ช่างมัน ทว่าวันนี้อารมณ์ของพานจั๋วหวาไม่เหมือนเดิม เนื่องจากโอกาสของเขามาแล้ว ต่อไปจะเงยหน้าอ้าปากในตระกูล ให้คนที่มีสีหน้าเย็นชากับพวกเขาดู พวกเราพี่น้องไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะรังแกได้ตามใจชอบ ขอเพียงรังแกพวกเรา พวกเราก็จะรังแกกลับคืน
ในเมื่อปกติอดกลั้นมาตลอด จินเฟยเหยาจึงเริ่มเสแสร้ง นางก้มหน้าเดินติดตามพานจั๋วหวาไปโดยไม่เอ่ยสักคำ เห็นนางไม่สนใจทุกคนแบบนี้ เสียงแม่นางน้อยเหล่านั้นยิ่งดังขึ้น
“เจ้าดูท่าทางของนางสิ ราวกับมีใครติดค้างนางอย่างนั้นแหละ”
“นั่นสิ น้องอู่ ได้ยินว่านางต้องแต่งไปตระกูลเจ้า ทั้งยังเป็นผู้อาวุโสของเจ้าด้วย มีผู้อาวุโสแบบนี้ ต่อไปเจ้าจะอยู่อย่างไร”
“ฮึ ผู้อาวุโสอะไรกัน ก็แค่อนุภรรยาคนหนึ่งของท่านอาข้าเท่านั้น พบเห็นข้า นางยังต้องเรียกข้าว่าคุณหนูสามอย่างเคารพนบนอบ”
“หน้าตาอย่างนาง ไปก็มีฐานะเป็นแค่เตาหลอมมนุษย์”
“ฮ่าๆๆ…นั่นสิ”
“น้องสาวทุกท่าน เตาหลอมมนุษย์อะไรนั่น พวกเราจะพูดออกมาได้อย่างไร งานเลี้ยงน้ำชาเริ่มแล้ว พวกเราเข้าไปเถอะ”
เสียงสตรีที่เหมือนเป็ดกลุ่มนั้น ในที่สุดก็หายไปจากข้างหูจินเฟยเหยา นางโล่งอก ไม่ได้ถูกด่าทอจนเจ็บปวดนัก คนถูกด่าก็มิใช่นาง แค่รู้สึกว่าดังเอะอะจนน่ารำคาญ ถ้ามิใช่เพื่อปลอมตัวเป็นพานอี้อันมาขโมยของ นางคงหันหน้าไปชกสตรีพวกนี้ให้ตายไปนานแล้ว
แต่นางจดจำขั้นพลังการบำเพ็ญและรูปโฉมสตรีที่ปากร้ายที่สุดคนนั้นไว้ แล้วสอบถามศักดิ๋ฐานะและชื่อแซ่ของสตรีผู้นั้นกับพานจั๋วหวาที่มีโทสะจนกำหมัดแน่น คนที่รังแกสองพี่น้องตระกูลพานมีมากเกินไป สุ่มคว้ามาก็ได้เต็มกำมือ
…………………………………………
[1] แค้นเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า หมายถึง อยากให้เขาดีกว่านี้ รู้สึกผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ หรือไม่พอใจที่เขาไม่มีความก้าวหน้า