คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 13 การตัดสินใจของสยงเทียนคุน
แสงสีแดงกระพริบวาบ ในมือของฮูหยินสยงมีกระบี่โลหิตเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ตัวกระบี่เล่มนี้ปรากฏสีแดง สีแดงในตัวกระบี่แดงดุจโลหิตสด ราวกับมีพลังไหลเวียนอย่างช้าๆ
“คุนเอ๋อร์ เจ้ามานี่” ฮูหยินสยงสลายสีหน้ารักและเมตตาบนใบหน้า ตวาดเสียงเข้มงวด ร่างของสยงเทียนคุนสั่นสะท้าน กัดริมฝีปากอย่างดื้อรั้น “ท่านแม่ ถ้าท่านอยากฆ่านางก็ฆ่าข้าด้วย นางเป็นสหายเพียงคนเดียวของข้า ข้าจะไม่ให้ท่านฆ่านาง”
“พี่ชาย ท่านจะจริงใจต่อสหายเกินไปแล้ว” ขณะจินเฟยเหยากำลังจะซาบซึ้ง พลันนึกขึ้นได้ เพราะตนเองยุ่งเรื่องของคนอื่น จึงได้ก่อเรื่องนี้ขึ้น กล่าวไปกล่าวมา เพราะเจ้าหมอนี่ก่อเรื่องขึ้น ตนเองจึงได้รับหายนะที่คาดไม่ถึง
“ดี ดี ตลอดมาข้ารักเอ็นดูเจ้ามาก เจ้าถึงกับทำเรื่องอกตัญญูเช่นนี้ออกมาได้ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าสักหน่อย ไปลากศิษย์น้องของพวกเจ้าออกมา ข้าจะฆ่าสตรีผู้นี้ต่อหน้าเขา” ฮูหยินสยงเดือดดาลอย่างยิ่ง มีโทสะขึ้นมาจริงๆ แล้ว ศิษย์ทางด้านหลังรีบพุ่งเข้ามาคิดจะฉุดลากสยงเทียนคุนออกไป
กระบี่สีขาวในมือสยงเทียนคุนพลิกวูบ มาวางไว้บนคอของตนเอง “อย่าเข้ามานะ เข้ามาข้าจะเชือดคอเสีย”
เพื่อปกป้องสหายเพียงคนเดียวของตนเอง สยงเทียนคุนพร้อมจะเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ตอนนี้เขาเกลียดชังตนเองอย่างยิ่ง เหตุใดปกติจึงไม่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญ พอถึงตอนนี้ แม้กระทั่งความสามารถในการปกป้องสหายของตนเองก็ยังไม่มี
แลเห็นทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน จินเฟยเหยาก็มองไปยังกลางนภาอย่างร้อนใจ สีหน้าพลันเผยความยินดี ส่วนศิษย์คนหนึ่งด้านหลังฮูหยินสยงก็มองที่กลางนภา และมีสีหน้าเกรงขามในพริบตา รีบเอ่ยแจ้งว่า “อาจารย์อา ผู้ดูแลเมืองลั่วเซียนมา รีบหยุดมือเถอะ”
“แค่ผู้ดูแลกลุ่มหนึ่ง มีอะไรน่าหวาดกลัว ลากเขาออกมา” ยามนี้ฮูหยินสยงรับฟังที่ไหน นางสนใจแต่จะฆ่าจินเฟยเหยาให้ตาย จะสนผู้ดูแลเมืองลั่วเซียนไปทำไม ไม่ใช่ไม่เคยเห็นที่ประตูเมือง เด็กน้อยขั้นฝึกปราณกลุ่มหนึ่ง มีอะไรน่าหวาดกลัวกัน
ศิษย์ผู้นี้ร้อนใจแทบตายแล้ว อาจารย์อาผู้นี้อยู่ที่สำนักอวิ๋นซานมาตลอด ไม่เคยมาที่เมืองลั่วเซียน นึกว่าที่นี่นางมีอำนาจตัดสินใจได้ ถ้าต่อสู้ในเมืองลั่วเซียน แล้วถูกผู้ดูแลเมืองลั่วเซียนจับได้ สถานเบาต้องได้รับโทษหนัก สถานหนักต้องถูกฆ่าในที่เกิดเหตุ
ถึงพวกเขาสร้างสำนักสาขาที่นี่ ทว่าผู้ดูแลกลับไม่ไว้หน้าใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้อาจารย์อากำลังมีโทสะ หากล่วงเกินผู้ดูแลเมืองลั่วเซียน ถึงตอนนั้นหากถูกเมืองลั่วเซียนไล่ออกไป ตนเองมิต้องถูกถังจู่[1]ฆ่าหรอกหรือ
ศิษย์หลายคนพุ่งขึ้นไป ล้วนเป็นคนที่ฮูหยินสยงพาออกมาตามหาบุตรชาย ดังนั้นจึงพุ่งขึ้นไปฉุดดึงสยงเทียนคุนอย่างไม่กลัวเกรงอะไรทั้งสิ้น คิดจะลากเขาออกมา สยงเทียนคุนกลับไม่เกรงใจ ยกกระบี่ขึ้นแทงพวกเขา ศิษย์เหล่านั้นล้วนเกรงว่าจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ไม่กล้าลงมือรุนแรง เห็นสยงเทียนคุนใช้ทั้งมือและเท้า อัดพวกเขาจนระเนระนาดกลิ้งไปทั่วพื้น
“เปรี้ยง!”
ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ กลางอากาศ สายฟ้าสีทองสายหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า ระเบิดทุกคนที่กำลังต่อสู้พัวพันกันให้แยกออก
“ผู้อาวุโส ช่วยด้วย ข้ากำลังจะเข้าบ้าน กลับถูกคนโจมตีอย่างไม่มีสาเหตุ พวกเขาไม่สนใจกฎระเบียบของเมืองลั่วเซียน ปิดถนนฆ่าผู้บำเพ็ญเซียนในเมือง” จินเฟยเหยารีบชิงตะโกนเสียงดังใส่คนสองคนที่ลงมาจากฟ้าก่อน
จินเฟยเหยาเพิ่งหยิบแผนที่ก็สังเกตเห็นด้านข้างเขียนไว้แถวหนึ่งว่า ห้ามมิให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนใดต่อสู้ในเมือง ลงโทษอย่างรุนแรง คิดๆ ดูแล้วก็ถูก ผู้บำเพ็ญเซียนมากมายอยู่ในสถานที่เดียวกัน มีนิสัยแปลกประหลาดไม่น้อย ถ้าเหยียบเท้าหรือเดินชนกัน ต่อสู้และฆ่าคนในเมืองทั้งวัน แล้วจะจัดการเมืองลั่วเซียนอย่างไร คาดว่าต้องมีจำนวนผู้ดูแลมากมาย และพละกำลังคงไม่อ่อนด้อย
ดังนั้นหลังจากนางถูกรัดก็มองหามาตลอดว่าผู้ดูแลจะออกมาเมื่อใด หากที่นี้เกิดการต่อสู้ น่าจะไม่เหมือนสำนักเหิงเจินที่ถูกคนติดสินบนได้
เห็นจินเฟยเหยาตะโกนเสียงดังใส่ผู้ดูแลขั้นสร้างฐานสามคนที่ลงมาจากฟ้า ศิษย์สำนักอวิ๋นซานผู้นั้นก็เหงื่อตก ไม่สนใจฮูหยินสยงที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก้าวข้ามนางมาด้านหน้า ประสานมือคารวะทั้งสามคน “รบกวนใต้เท้าสามท่านแล้ว พวกเราเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นซาน มีสาขาอยู่ที่นี่ เพียงแค่เข้าใจผิดกับผู้บำเพ็ญเซียนน้อยท่านนี้เล็กน้อย ไม่ได้คิดจะฆ่านาง”
“สำนักอวิ๋นซานแล้วอย่างไร เจ้าเห็นพวกเราตาบอดหรือ มีคนเกือบตายนอนอยู่บนพื้นยังแค่เข้าใจผิดเล็กน้อย?” ทั้งสามคนหัวเราะอย่างเย็นชา คนหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียดสี
ผู้มาทั้งสามล้วนเป็นบุรุษทั้งหมดต่างสวมชุดของตนเองไม่มีเสื้อผ้าแบบเดียวกัน เพียงแต่บนเอวของแต่ละคนสวมเข็มขัดที่มีสัญลักษณ์ดอกไม้ห้ากลีบของเมืองลั่วเซียน สองท่านหนุ่มหน่อย อายุสามสิบกว่า คนที่เย้ยหยันพวกเขาก็คือบุรุษเสื้อสีดำตรงกลาง อีกคนที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเฉยชา ทั้งหมดต่างคร้านจะเลิกหนังตาขึ้นมองพวกเขา
ส่วนคนที่เมื่อครู่ใช้สายฟ้าสีทองโจมตีให้พวกเขาแตกกระจายคือชายชราที่เส้นผมและหนวดเคราหงอกขาวแบบวันเวลาไม่ปราณีใคร มือของเขาถือกระจก สลักลายดอกไม้ห้ากลีบ สายฟ้าสีทองยิงออกมาจากในกระจกนี่เอง
“นี่…” ขณะศิษย์ผู้นี้กำลังคิดจะเอ่ย ก็ถูกฮูหยินสยงขัดขวางไว้
“นี่คือเรื่องส่วนตัวของพวกเรา ขอให้ทุกท่านอำนวยความสะดวกด้วย อย่ายุ่งเรื่องของผู้อื่น” ฮูหยินสยงรู้ว่า อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสามคน หากลงมือขึ้นมาตนเองจะเสียเปรียบ น้ำเสียงจึงดีขึ้นหน่อย
สีหน้าของชายชราแข็งกระด้าง ยังคงไม่เคลื่อนไหว “ในเมื่อมาถึงเมืองลั่วเซียน ก็ต้องรักษากฎระเบียบของที่นี่ ข้าไม่สนใจว่าจะมีสาเหตุใด ขอเพียงนางเคยมอบค่าธรรมเนียมเข้าเมืองมาก็มิอาจฆ่านางในเมืองได้ หากเจ้าจู่โจมฆ่านางพวกเราก็ได้แต่ลงโทษเจ้าตามกฎระเบียบ ในเมื่อนางยังมีชีวิตอยู่พวกเจ้าก็ห้ามแตะต้องนางอีก”
ท่านทั้งสาม หรือว่ามิอาจเห็นแก่หน้าของสำนักอวิ๋นซานเรา?” ฮูหยินสยงไม่ยินยอมอย่างยิ่ง น้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้น นางคิดว่าสำนักสาขาของสำนักอวิ๋นซานก็อยู่ที่นี่ ถ้าสู้กันขึ้นมา ทางฝั่งของตนเองคงไม่เสียเปรียบ
“อาจารย์อา ท่านอย่าทำเช่นนี้สิ ถังจู่จะกล่าวโทษได้นะ”
“ถอยไป คิดไม่ถึงสำนักอวิ๋นซานของข้าจะยอมให้คนมาดูถูกได้เช่นนี้ พวกเจ้าอยู่เมืองลั่วเซียนอย่างไร” ฮูหยินสยงประกาศชื่อสำนักอวิ๋นซานออกมา คิดไม่ถึงว่าสามคนฝั่งตรงข้ามกลับมีสีหน้าดูแคลนนาง โทสะที่นางได้รับในวันนี้ยังมากกว่าโทสะเกือบร้อยปีมานี้รวมกันเสียอีก เดือดดาลจนนางใช้มือผลักศิษย์ที่ขวางอยู่เบื้องหน้านางอย่างขวัญผวาออกไป
กระบี่โลหิตในมือลอยขึ้น ตัวกระบี่ล้อมรอบด้วยดอกไม้สีแดงโลหิต กระบี่บินสีโลหิตลากเงาสีแดงบินไปทางผู้ดูแลเมืองลั่วเซียน
ชายชราถือกระจกดอกไม้ห้ากลีบในมือขึ้นอย่างเฉยชา แสงสีทองที่บานกระจกกระพริบวาบราวกับมีกระแสไฟฟ้าปริมาณมหาศาลเกิดขึ้นไม่หยุด
บุรุษเสื้อดำยิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา “ให้เจ้าลองลิ้มรสความร้ายกาจของกระจกอัสนีทองแห่งเมืองลั่วเซียน แค่สำนักเล็กๆ ไร้ชื่อ ก็กล้าดูแคลนและไม่เห็นหัวผู้ใดในเมืองลั่วเซียน”
ไม่รอให้กระบี่โลหิตบินออกมาไกล เสือลายสีขาวตัวหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากในกลุ่มคนที่มุงดู ใช้มือฟาดตบกระบี่โลหิตให้ลอยออกไป กระบี่โลหิตหมุนคว้างหลายรอบ ก็บินกลับมาอยู่ในมือของฮูหยินสยง
เสือลายสีขาวก็ตัวหดเล็กลงกลายเป็นที่ทับกระดาษเสือขาวอันหนึ่ง ร่วงลงในมือของผู้บำเพ็ญเซียนที่เร่งรุดมา
“ศิษย์น้อง เจ้าถอยกลับไป เหลวไหลจริงๆ” คนผู้นี้อายุสี่สิบกว่าปี ท่วงท่าไม่ธรรมดา เพิ่งได้รับข่าวก็รีบรุดมา ดุด่าฮูหยินสยงเป็นการใหญ่
“ศิษย์พี่หวัง พวกเขาไม่เห็นใครในสายตามากเกินไปแล้ว”
ผู้มาดุด่าทำให้ฮูหยินสยงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ทว่านางยังคิดจะโต้เถียง
“ถอยไป” เขาคำรามใส่ฮูหยินสยง ทำให้ฮูหยินสยงต้องถอยไปหลายก้าว จากนั้นเขาก็ใช้มือที่ว่าง เรียกวงแหวนหยกที่รัดอยู่บนร่างจินเฟยเหยาให้บินกลับมาอยู่ในมือเขา
จินเฟยเหยารีบนำยารักษาอาการบาดเจ็บโยนใส่ปากหนึ่งเม็ด นั่งลงขัดสมาธิรีบรักษาบาดแผล ถ้าไม่รีบปิดปากแผลนางต้องเสียโลหิตมากจนตายแน่
ส่วนสยงเทียนคุนเฝ้าอยู่ข้างกายนางป้องกันคนลอบโจมตี
“สหายเซียนเฉิน ศิษย์น้องของข้าผู้นี้อยู่ในสำนักในมาตลอด ไม่รู้จักกฎระเบียบของเมืองลั่วเซียน ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดอภัยให้ด้วย เรื่องนี้สำนักอวิ๋นซานเราจะยอมรับโทษแน่ ศิษย์น้องของข้าตามหาบุตรชายอย่างร้อนใจจึงได้พูดจาไร้มารยาทกับท่านทั้งสาม ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้ถือสานางเลย”
คนผู้นี้คือหวังเฉิงเย่ ถังจู่ของสำนักสาขาแห่งสำนักอวิ๋นซานในเมืองลั่วเซียน อยู่เมืองลั่วเซียนมาอย่างน้อยเจ็ดสิบกว่าปี โดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นผู้ก่อสร้างสำนักสาขาในเมืองลั่วเซียนขึ้นทีละนิดๆ ศิษย์ของสำนักอวิ๋นซานในเมืองลั่วเซียนล้วนมีเขาควบคุมดูแล
ผู้ดูแลเมืองลั่วเซียนทั้งสามมองหน้ากัน ชายชราผู้นั้นเดินออกมาข้างหน้า เดินมาเอ่ยพึมพำกับหวังเฉิงเย่ที่ด้านข้างอยู่นาน พอความคิดเห็นตรงกันในที่สุดก็เดินกลับไป
“ศิษย์น้อง เจ้ารีบพาเทียนคุนไปเถอะ เจ้าต่อสู้ภายในเมืองลั่วเซียน ละเมิดกฎระเบียบของที่นี่ มิอาจอยู่ในเมืองลั่วเซียนต่อไปได้ เจ้าห้ามลงมือกับเด็กหญิงผู้นี้อีก ถ้าสำนักสาขาของเราถูกขับไล่ออกจากเมืองลั่วเซียน อาจารย์อาเจ้าสำนักจะกล่าวโทษได้ เจ้ารับไหวหรือ?”
หวังเฉิงเย่เดินมาถึงเบื้องหน้าฮูหยินสยง ลดเสียงลงสั่งนาง ภายใต้การพูดจาทั้งขู่ทั้งปลอบของหวังเฉิงเย่ ฮูหยินสยงถลึงตาใส่จินเฟยเหยาหลายครั้งอย่างไม่ยินยอม แล้วมองบุตรชายที่เฝ้าอยู่ข้างกายจินเฟยเหยาตลอดเวลาโดยไม่ยอมมาหา ได้แต่เอ่ยกับศิษย์พี่หลายประโยค
หวังเฉิงเย่พยักหน้า เดินมาถึงข้างกายสยงเทียนคุน เอ่ยโน้มน้าวว่า “ศิษย์หลาน เจ้าก่อเรื่องต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี เจ้ามิใช่ไม่เข้าใจมารดาของเจ้า ถ้าเจ้าอยากจะทำเพื่อเด็กหญิงผู้นี้จริงๆ ทางที่ดีกลับไปกับแม่ของเจ้าเถอะไม่เช่นนั้นนางต้องคิดหาวิธีมาหาเรื่องสหายของเจ้าแน่นอน”
“อาจารย์ลุง หรือว่าข้ามิอาจทำเรื่องที่ตนเองคิดอยากทำได้? เพราะเหตุใดต้องบีบคั้นข้า” สยงเทียนคุนสีหน้าซีดขาว ภายในจิตใจรู้สึกขมขื่นอย่างยิ่ง
หวังเฉิงเย่ตบบ่าของเขา “ศิษย์หลาน หากเจ้ามีกำลังคิดจะทำสิ่งใดก็สามารถทำได้ ทว่าตอนนี้ เพื่อสหายของเจ้า เจ้าได้แต่กลับไปสำนักอวิ๋นซานกับท่านแม่ของเจ้า”
เห็นสยงเทียนคุนก้มศีรษะลงไม่เอ่ยอะไรอีก แล้วเขาก็เดินมาใกล้จินเฟยเหยา “ผู้บำเพ็ญเซียนน้อยท่านนี้ หากเจ้าถือว่าสยงเทียนคุนเป็นสหาย ก็น่าจะเข้าใจว่าเขากลับสำนักอวิ๋นซานไปเป็นหนทางที่ดีที่สุด วันเวลาอันยากลำบากของผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ไม่เป็นประโยชน์กับคนที่มีคุณสมบัติการฝึกบำเพ็ญที่ดีเช่นเขา อีกทั้งเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเองด้วย ทางที่ดีโน้มน้าวให้เขากลับไปเถอะ”
“เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย เขาอยากกลับไปหรือไม่อยากกลับไปล้วนเป็นอิสระของเขา ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าข้ากับเขาแค่รู้จักกัน ต่อให้เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายข้าก็จะไม่ไปควบคุมการตัดสินใจของเขา วันนี้ถูกพวกเจ้าทุบตี เป็นเพราะข้ามีกำลังไม่เพียงพอ ข้ายอมรับ ส่วนเรื่องอื่นอย่าหวังจะให้ข้าทำ ข้าไม่ใช่คนของสำนักอวิ๋นซานของพวกเจ้า” จินเฟยเหยาจ้องมองเขาอย่างชิงชัง ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หวังเฉิงเย่ยิ้มนิดๆ เอ่ยเสียงเบาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระมักจะออกไปล่าสัตว์ปิศาจ ไม่เช่นนั้นแม้แต่บ้านก็เช่าอยู่ไม่ได้ เจ้าคงอยู่ในเมืองลั่วเซียนตลอดเวลาโดยไม่ออกไปไม่ได้”
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ?” จินเฟยเหยายิ้มแย้มเช่นเดียวกัน ตนเองเช่าบ้านได้หนึ่งปีนะ อย่างมากก็ไปเป็นคนงานในร้านค้าสักแห่ง ขอเพียงข้าไม่ออกจากเมืองลั่วเซียนดูสิว่าพวกท่านกล้าลงมือกับข้าหรือไม่ ข้าไม่เชื่อว่าพวกท่านจะสะกดรอยตามข้าได้ทั้งวันโดยไม่ต้องฝึกบำเพ็ญ
“อาจารย์ลุง ข้ายินยอมกลับไป” สยงเทียนคุนพลันเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงเย็นเยียบผิดปกติ
[1] 堂主 ถังจู่ คือ ผู้บริหารจัดการสำนัก