คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 131 โกลาหล
“ไม่ต้องพูดไร้สาระ มอบร่างกายมาให้ข้า” พานหยวนนับว่าถือกำเนิดในตระกูลเก่าแก่มีชื่อเสียง ถ้าพูดต่อไป แม้แต่ตนเองก็ต้องรู้สึกขายหน้า ถึงแม้หน้าตาจะสำคัญ ทว่าชิงร่างสำคัญกว่า ลงมือก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ในใจคิดเช่นนี้ พานหยวนก็พุ่งใส่จินเฟยเหยา
“เจ้าฝันไปเถอะ” จินเฟยเหยาหมุนตัววิ่งหนี จิตวิญญาณดั้งเดิมสองดวงไล่กวดกันในห้วงการรับรู้ของจินเฟยเหยา
ถึงห้วงการรับรู้ของจินเฟยเหยากว้างใหญ่ ครึ่งหนึ่งยังถูกทะเลนรกสีฟ้ายึดครอง พื้นที่หลบหนีเล็กแค่นี้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของพานหยวนใหญ่กว่าของจินเฟยเหยาสองเท่า วิ่งได้เร็วกว่าจินเฟยเหยา ครู่หนึ่งก็ไล่ตามทัน เพียงสัมผัสเบาๆ จิตวิญญาณดั้งเดิมของจินเฟยเหยาก็ถูกกลืนกินไปส่วนหนึ่ง
“อ๊า!” จินเฟยเหยาร้องลั่น หลบหนีในห้วงการรับรู้อย่างสุดชีวิต เพียงแต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของพานหยวนไล่ตามนางราวกับวิญญาณที่แค้นซึ่งไม่สลายหายไป พุ่งเข้ากลืนกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของจินเฟยเหยาเป็นครั้งคราว ไล่ตามพลางกลืนกินเช่นนี้ ไม่นานนัก สีสันจิตวิญญาณดั้งเดิมของจินเฟยเหยาก็จางลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
ครั้งนี้จินเฟยเหยารู้สึกหวาดกลัวแล้ว จิตวิญญาณดั้งเดิมจางไปกว่าครึ่ง ต่อให้ไม่ถูกพานหยวนกลืนกินจนหมด ก็ต้องใช้เวลาสิบกว่าปีในการปิดด่านกักตนจึงสามารถซ่อมแซมจิตวิญญาณดั้งเดิมให้กลับคืนมาได้ ถ้าจิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งหมดหายไป ตนเองก็ได้แต่รอความตาย ทว่าในห้วงการรับรู้ ตนเองต้องทำอย่างไรจึงสามารถกำจัดพานหยวนที่แข็งแกร่งกว่าตนเองหลายเท่าได้
ในขณะนี้เอง จิตวิญญาณดั้งเดิมของพานหยวนก็พุ่งเข้ามาอีก แลเห็นว่าเขาจะกลืนกินจิตวิญญาณของตนเองอีก อารามร้อนใจจินเฟยเหยาจึงพุ่งปักเข้าไปในมหาสมุทรที่อยู่ด้านล่างห้วงการรับรู้ ส่วนพานหยวนกำลังกลืนกินอย่างย่ามใจ ก็พุ่งหัวปักตามจิตวิญญาณดั้งเดิมของจินเฟยเหยาเข้าไปในน้ำทะเล
เพิ่งพุ่งเข้าในน้ำทะเล พานหยวนก็รู้สึกว่าเริ่มควบคุมจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเองไม่อยู่ ร่างกายหนักราวกับก้อนหิน จมลงไปในทะเล ในใจของเขาแตกตื่นลนลาน พยายามดิ้นรนให้หลุดออกมา ทว่ากลับใช้กำลังไม่ได้ ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งจมลงไปเร็วขึ้น
จินเฟยเหยากลับลอยอยู่ในน้ำทะเลได้อย่างอิสระ เห็นจิตวิญญาณของพานหยวนพลันร่วงลงมา จากนั้นค่อยๆ จมลงในทะเลอันมืดมิดที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง นางตกตะลึงอย่างล้นเหลือและหวาดกลัวจนต้องรีบว่ายออกมาจากในทะเล
น้ำทะเลไม่ได้สกัดขัดขวางจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางแต่อย่างใด นางบินกลับมาอยู่ด้านบนของห้วงการรับรู้ได้อย่างราบรื่นยิ่ง ในใจยังจับจ้องผิวน้ำทะเลอย่างหวาดกลัวไม่หาย รออยู่นาน ก็ไม่เห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของพานหยวนลอยขึ้นมา ราวกับถูกผืนทะเลในห้วงการรับรู้กลืนกินจนหมดอย่างเงียบๆ
จินเฟยเหยารู้สึกคุ้นเคยกับทะเลผืนนี้อย่างยิ่ง ราวกับไฟนรกที่ออกมาจากร่างกายนางได้ทุกเมื่อ ทำให้นางอดคาดเดาไม่ได้ว่าทะเลผืนนี้คือไฟนรก ดังนั้นตนเองจึงไม่เป็นอะไร ส่วนจิตวิญญาณดั้งเดิมของพานหยวนเข้าไปในนั้นก็ถูกไฟนรกกลืนกิน
เพียงแต่นางไม่พอใจอยู่บ้าง ในเมื่อกำจัดพานหยวนได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่ยื่นมือเข้าช่วยแต่แรก ทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเองถูกกลืนกินไปกว่าครึ่ง และโทษตนเองว่าถ้าซ่อนอยู่ในน้ำทะเลแต่แรกก็ดี
เสียใจภายหลังตอนนี้ยังไม่ถือว่าสายเกินไป นับว่ารักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้แล้ว นึกถึงว่าพั่งจื่อยังอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง จินเฟยเหยารีบเคลื่อนการรับรู้ออกจากร่าง
จิตวิญญาณดั้งเดิมของพานหยวนหายไปแล้ว อาคมที่เขาใช้เพื่อชิงร่างก็หมดฤทธิ์ พอการรับรู้ของจินเฟยเหยาออกมา ร่างกายก็สามารถเคลื่อนไหวได้
สภาพเบื้องหน้ากลับทำให้นางตกใจ ปราณวิญญาณสีขาวล้อมรอบกายพั่งจื่อ สองตาแดงก่ำเห็นสิ่งใดก็โจมตีสิ่งนั้น ปราณวิญญาณสีขาวเหล่านั้นพุ่งออกมาจากภายในร่างของมันราวกับหม้อที่กำลังต้มน้ำเดือด ร่างกายควบคุมปราณวิญญาณในร่างไม่ได้ปราณวิญญาณจึงพุ่งออกมาภายนอกอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนพานอี้ที่ถูกน้ำพิษของพั่งจื่อทำให้ตาบอด ยามนี้กำลังคำรามไม่หยุด ควบคุมมุกอาคม ใช้การรับรู้แยกแยะตำแหน่งของพั่งจื่อ บางครั้งยังใช้มุกอาคมโยนไปโจมตีมัน ใบหน้าของเขามีโลหิตสดหยดติ๋งๆ เพราะถูกน้ำพิษทำร้าย ทำให้คนไม่อยากมอง
พานจั๋วหวามีประสบการณ์ต่อสู้จริงมาบ้าง ทว่าต่อกรกับพั่งจื่อในยามนี้ ประสบการณ์เล็กน้อยเหล่านั้นยังไม่เพียงพอ ถูกพั่งจื่อโจมตีจนกระเซอะกระเซิง แม้แต่พานอี้อันก็ด้วย คนทั้งสองตกเป็นเบี้ยล่าง
นี่เป็นปราณวิญญาณของยาเม็ดนั้นทั้งหมด ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป พั่งจื่อจะทำลายตนเองเนื่องจากพลังวิญญาณปั่นป่วน จินเฟยเหยาเห็นท่าทางของพั่งจื่อ ก็รู้ว่าสภาพของมันในตอนนี้ย่ำแย่อย่างยิ่ง
นางรีบสาวเท้าเข้าไปหา โยนฟองแสงนรกใส่พานอี้ซึ่งสูญเสียดวงตาสองข้าง พานอี้คิดไม่ถึงว่าพานหยวนจะชิงร่างล้มเหลว เพิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ใช้การรับรู้กวาดดูก็รู้ว่าเป็นจินเฟยเหยาเดินมา เดิมนึกว่าพานหยวนชิงร่างสำเร็จ เขาเพิ่งคิดจะตะโกนเรียก คิดไม่ถึงว่าจะถูกสิ่งของบางอย่างปกคลุมไว้
พริบตานั้น เขานึกว่าพานหยวนเห็นเขาบาดเจ็บหนัก ดังนั้นจึงใช้ม่านป้องกันบางอย่างช่วยเขารักษาบาดแผล ไหนเลยจะรู้ว่าสิ่งที่ปกคลุมตนเอง ครู่หนึ่งก็มีเปลวเพลิงเย็นเยียบพุ่งออกมา เขารู้ทันที พานหยวนคิดฆ่าคนปิดปาก
“บรรพชนผู้ล่วงลับ!” พานอี้ตะโกนอย่างเศร้าเสียใจ แล้วถูกไฟนรกอันรุนแรงเผาไหม้จนเกลี้ยงทันที
พานจั๋วหวาและพานอี้อันก็เห็นฉากนี้ พานอี้ตะโกนประโยคหนึ่งว่าบรรพชนผู้ล่วงลับก็เสียชีวิตไปทันที ทำให้พวกเขาสองคนเข้าใจผิดนึกว่าจินเฟยเหยาที่พุ่งเข้ามาหาพวกเขาคือพานหยวนที่ชิงร่างสำเร็จแล้ว คนทั้งสองไม่เข้าใจว่าพานหยวนคิดจะทำอะไร ยังเป็นพานอี้อันเฉลียวฉลาด รีบเอ่ยเสียงดัง “บรรพชนผู้ล่วงลับ พวกเราจะไม่หยิบฉวยสิ่งของของท่าน พวกเราเพียงหวังให้บรรพชนผู้ล่วงลับชิงร่างสำเร็จด้วยใจจริง”
พานจั๋วหวาก็ได้สติ รีบพูดคล้อยตาม พวกเขาสองคนหยุดโจมตี ให้พั่งจื่อฉวยโอกาสใช้ลิ้นยาวที่เปื้อนน้ำพิษของมันโจมตีมาที่เอวของพานจั๋วหวาอย่างแม่นยำ และโจมตีพานอี้อันอีกครั้ง เสียงร้องอนาถบนเกาะเล็กๆ ดังอย่างต่อเนื่อง
เห็นพวกเขาสองคนเข้าใจผิดว่านางคือพานหยวน อีกทั้งฝีมือก็อ่อนด้อย จินเฟยเหยาจึงพุ่งไปหาพั่งจื่อทันที นางยกมือขึ้น เรียกฟองแสงนรกออกมาสองฟองให้ไปปกคลุมคนทั้งสองคนละฟอง ส่งพวกเขาสองคนไปหาพานอี้พร้อมกัน
พั่งจื่อสูญเสียเป้าหมายสองคนเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน ดวงตาแดงก่ำถลึงจ้องจินเฟยเหยาที่พุ่งเข้ามาหามันทันที
คิดไม่ถึงว่าแม้แต่นางก็จำไม่ได้ จินเฟยเหยาเดือดดาล ครั้งที่แล้วกินตานสัตว์ปิศาจสุ่มสี่สุ่มห้าจึงนอนสลบใสลเลื่อนขั้น ครั้งนี้กินยาสุ่มสี่สุ่มห้า คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้านายก็ไม่รู้จัก ทำเรื่องเช่นนี้ประจำ ต่อไปต้องอบรมสั่งสอนเสียหน่อย
นางหลบการโจมตีของพั่งจื่อ พุ่งไปด้านข้างมัน แล้วชกด้านหลังศีรษะของมันอย่างแรง หมัดนี้จินเฟยเหยาไม่ได้ออมแรง ชกไปเต็มกำลัง ไม่กลัวว่าจะชกพั่งจื่อตาย
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของพั่งจื่อสูงกว่ายามปกติเนื่องจากฤทธิ์ยา อีกทั้งมันก็เนื้อหนังหนาเช่นเดียวกัน ถ้าไม่ลงมืออย่างอำมหิตก็ไม่มีทางทำให้มันสลบได้ หมัดนี้ชกโดนพั่งจื่ออย่างจัง มันถูกชกจนลอยออกไปกระแทกบนกำแพงหิน กำแพงหินถล่มฝุ่นธุลีปลิวว่อน พั่งจื่อถูกก้อนหินที่ร่วงลงมากลบฝัง
จินเฟยเหยาวิ่งไปหา แหวกเศษหินออกดู พั่งจื่อสลบไปแล้ว ทว่าปราณวิญญาณบนตัวมันยังสับสน สภาพไม่ดีขึ้นเลยสักนิด
นางยื่นมือออกมา ถ่ายเทพลังวิญญาณในร่างนางลงในร่างพั่งจื่อ จากนั้นใช้พลังวิญญาณของตนเองควบคุมปราณวิญญาณที่สับสนวุ่นวาย ใช้พลังวิญญาณห่อพวกมันเป็นก้อน พลังวิญญาณที่พุ่งจากตัวพั่งจื่อค่อยๆ ลดน้อยลง สุดท้ายก็ไม่มีพลังวิญญาณพุ่งออกมาอีก
ปราณวิญญาณที่ถูกจินเฟยเหยาบีบให้เล็กลงเหล่านี้สามารถทิ้งไว้ในร่างของพั่งจื่อได้อย่างปลอดภัย นำออกมาไม่ได้ ถ้าปล่อยออกมาจะเอาชีวิตมัน นางครุ่นคิด ต่อไปทุกหลายวันต้องปล่อยปราณวิญญาณออกมาเล็กน้อย ให้พั่งจื่อดูดซับปราณวิญญาณเหล่านี้ไปใช้ทีละนิดจนเกลี้ยง
“ยาปราณฟ้าดินห้าธาตุเป็นสิ่งใดกัน คิดไม่ถึงว่าจะมีปราณวิญญาณมากมายถึงปานนี้” จินเฟยเหยาเสียดายยาวิญญาณเม็ดนี้ นำพั่งจื่อกลับไปอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียน ต้านิวและเนี่ยนซียังอยู่ที่นี่ พอโยนพั่งจื่อเข้าไป พวกมันก็เข้าใจว่าต้องทำอะไรทันที ลากพั่งจื่อโยนกลับรังเก่า
ยามนี้บนเกาะเหลือเพียงจินเฟยเหยา นางเริ่มเก็บสินสงครามซึ่งเป็นงานประจำ ที่เห็นได้ชัดที่สุดย่อมเป็นเตาหลอมยาที่ใหญ่กว่าปกติใบนี้ พอเห็นก็รู้ว่าเป็นของวิเศษชั้นกลางที่ไม่เลว ดีกว่าสินค้าราคาถูกที่นางใช้ใบนั้นมากนัก
จินเฟยเหยาใช้การรับรู้ตรวจสอบดู คิดจะเปลี่ยนมันให้เล็กลงเพื่อเก็บ ทว่ากลับถูกปฏิเสธการรับรู้ พานหยวนตายแล้ว ทว่าการรับรู้ที่เขาทิ้งไว้ยังคงอยู่อยู่ในเตาหลอมยา ด้วยความแข็งแกร่งของจินเฟยเหยาในตอนนี้ ยังไม่อาจลบการรับรู้ที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทิ้งเอาไว้
แต่นางรู้ว่า ร้านหลอมอาวุธในเมืองวั่นเซียนสุ่ยมีวิธีลบการรับรู้ในของวิเศษที่ผู้อื่นทิ้งไว้แล้วสร้างขึ้นใหม่ เพียงแต่ต้องใช้เงินนิดหน่อยเท่านั้น
ในเมื่อหดเล็กไม่ได้ก็ยกไปทั้งหมด จินเฟยเหยายกเตาหลอมยาขนาดใหญ่ขึ้น โยนใส่ในถุงเฉียนคุนทั้งใบ ฝาเตาหลอมยายังฝังอยู่ในกำแพงศิลา นางขุดเอาฝาออกมา ถ้าไม่มีฝา เตาหลอมยาก็ไร้ประโยชน์
เก็บเตาหลอมยาเสร็จ สายตาของจินเฟยเหยาก็จับจ้องกระท่อมเล็กๆ หลังนั้น ของดีน่าจะอยู่ด้านใน เพื่อป้องกันว่ายังมีการป้องกันอยู่อีก นางจึงเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ผลักประตูเปิดออกเบาๆ ในกระท่อมไม่มีการป้องกัน ท่าทางพานหยวนจะตายอย่างกะทันหัน จึงไม่ได้ปกป้องสถานที่อยู่อาศัยอย่างเข้มงวดเหมือนสุสาน
ภายในกระท่อมสะอาดเรียบง่าย ดูเหมือนพานหยวนจะเป็นคนมีระเบียบ ไม่ชอบความหรูหรา แต่ก็ไม่แน่ นี่เป็นเพียงถ้ำเซียนพักร้อนของเขาเท่านั้น ปกติน่าจะอาศัยอยู่ในเมืองวั่นเซียนสุ่ย
บนโต๊ะมีชิ้นไม้เล็กๆ วางกระจัดกระจาย มีตำราฉบับคัดลอกวางอยู่ด้านข้าง ตำราเล่มนี้ยังแผ่พลังวิญญาณจางๆ ออกมา ราวกับสิ่งที่ใช้ไม่ใช่กระดาษธรรมดา บนโต๊ะมีถ้วยชาหยกใบหนึ่ง นางมองดูด้านใน ด้านในยังมีเศษชาอยู่บ้าง ราวกับพานหยวนรีบออกไปกับผู้อื่นจนแม้แต่ถ้วยชาก็ยังไม่เก็บ จากนั้นก็ไม่ได้กลับมา
จินเฟยเหยาหยิบตำราบนโต๊ะขึ้นพลิกดู บนนั้นวาดวิธีทำหุ่นไม้จำนวนมาก ที่แท้เป็นวิธีทำหุ่นไม้ พลิกดูต่อไป หน้าแรกมีวิธีควบคุมหุ่นไม้เหล่านี้เขียนไว้ ในนั้นยังเอ่ยถึงเคล็ดวิชาหลายเล่มที่ยกระดับการรับรู้ได้
เคล็ดวิชายกระดับการรับรู้ นี่เป็นของดีที่หาได้ยาก แต่หลังจากจินเฟยเหยาพลิกดูต่อไปอย่างละเอียด ก็ไม่เห็นว่าด้านในมีเนื้อหาประเภทนี้ ที่แท้เพียงชี้แนะว่า ถ้าหาเคล็ดวิชาชนิดนี้พบ จะยกระดับการรับรู้และสามารถควบคุมหุ่นไม้หลายตัวนี้ได้
จริงๆ เลย หลอกคนอื่นเล่น ทว่าด้วยการรับรู้ของจินเฟยเหยาในตอนนี้สามารถควบคุมหุ่นไม้รูปร่างคนสองตัวได้อย่างไม่มีปัญหา นางเก็บวิธีทำหุ่นไม้และชิ้นไม้วิญญาณบนโต๊ะลงในถุงเฉียนคุน และเริ่มเก็บสิ่งของที่เหลืออยู่ในกระท่อมอย่างเต็มกำลัง