คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 133 พั่งจื่อ บุรุษผู้หล่อเหลา?
“ท่านเซียน ท่านว่าสิ่งของเหล่านี้สามารถเอาลงจากเรือได้หรือไม่” เสี่ยวหมางเห็นจินเฟยเหยาดูเหมือนหงุดหงิด จึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง
จินเฟยเหยามองสิ่งของที่กองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ บนเรือปลาทองแล้วพยักหน้า เสี่ยวหมางรีบขนย้ายสิ่งของลงมา นางกลัวว่าพอจินเฟยเหยามีโทสะจะไม่ให้นางส่งของอีก นางต้องพึ่งพาสิ่งนี้ดำรงชีพนะ
เห็นเสี่ยวหมางหอบผลไม้ในลังไม้อย่างกินแรง จินเฟยเหยาผลักต้านิว ให้มันไปช่วย เห็นผักเป็นกอง และเนื้อสัตว์ปิศาจชิ้นใหญ่ๆ บนท่าเรือ นางพลันรู้สึกว่าต้องมีสักวันที่ตนเองต้องถูกเจ้าพวกนี้กินจนกลายเป็นยาจกแน่
ทันใดนั้น จินเฟยเหยาเห็นเสี่ยวหมางหอบกล่องอันสวยงามขึ้นมาหลายกล่อง จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “นี่คือสิ่งใด ดูแล้วลักษณะงดงามประณีตอย่างยิ่ง”
เสี่ยวหมางวางกล่องหยกบนท่าเรือ จากนั้นเปิดให้จินเฟยเหยาดู “ข้าก็ไม่รู้ว่าด้านในเป็นสิ่งของใด บรรดาคุณชายบนเรือท่องเที่ยวเหล่านั้นไหว้วานให้ข้าส่งมา”
จินเฟยเหยามองดูอย่างละเอียด ผ้ามัสลินเจ็ดสีที่มีรัศมีเสียดแทงนัยน์ตากำลังส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ เครื่องประดับล้ำค่านานาชนิด บนรัตนชาติล้วนแฝงพลังวิญญาณ ไม่ใช่ของใช้คนธรรมดาทั่วไป ยังมีบางอย่างที่จินเฟยเหยาดูไม่เข้าใจ ชาดและแป้งหอมแต่ละขวดบรรจุอย่างงดงาม
“สิ่งของเหล่านี้แพงมากหรือ?” จินเฟยเหยาลงนั่งยองๆ มองสิ่งของในกล่องเหล่านั้น ใช้มือสุ่มหยิบปิ่นร้อยดอกไม้หยกขาวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
เสี่ยวหมางกลืนน้ำลายเอ่ยว่า “สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเราแล้ว เป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง แต่สำหรับท่านเซียนแล้ว ต้องไม่อยู่ในสายตาแน่นอน”
“ไม่อยู่ในสายตาจริงๆ นั่นแหละ ส่งสิ่งของให้สตรีของข้า ก็ส่งสิ่งของธรรมดาเช่นนี้หรือ?” จินเฟยเหยาโยนปิ่นร้อยดอกไม้หยกขาวกลับใส่กล่อง ปัดๆ มือแล้วยืนขึ้น
“…” เสี่ยวหมางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไร
จากนั้นก็ได้ยินจินเฟยเหยาเอ่ยถาม “เจ้าเห็นกบอีกตัวของข้าหรือไม่?”
“เห็น เมื่อครู่ตอนข้ามายังเห็นดื่มสุราอยู่บนเรือลำนั้น” เสี่ยวหมางรีบชี้เรือท่องเที่ยวซึ่งอยู่ไม่ไกลนักพลางเอ่ย
“อะไรนะ ดื่มสุราบนเรือ?” จินเฟยเหยามองไปอย่างสงสัย
ตรงหัวเรือของเรือท่องเที่ยวลำนั้น มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นสวมชุดลวดลายสีเงินเรียบง่ายทว่าสง่างามและสวมก้วน[1]หยกขาวคนหนึ่ง กำลังไพล่มือมองนาง อีกทั้งหน้าตายังหล่อเหลาสง่างาม ท่าทางสำอาง ถึงจะด้อยกว่าไป๋เจี่ยนจู๋เล็กน้อย ทว่าเพิ่มกลิ่นอายผู้มีอำนาจและร่ำรวย
เห็นจินเฟยเหยากำลังมองเขา เขาก็มองตอบสายตาของจินเฟยเหยา แย้มยิ้มชั่วร้ายให้
จินเฟยเหยาตกตะลึงจนคางแทบร่วงพื้น นี่มันเรื่องอะไรกัน พั่งจื่อเลื่อนขั้นกลายเป็นคนแล้ว ทั้งยังเป็นชายรูปงามเช่นนี้ ต่อไปจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร อีกทั้งยังแต่งตัวเป็นด้วย เสื้อผ้าชุดนั้นสวมใส่แล้วสมบูรณ์แบบถึงปานนี้ มิน่าเล่ามันจึงไม่ชอบต้านิว ลักษณะเช่นนี้ต้องจับคู่กับเนี่ยนซีจึงถูกต้อง
ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังตกตะลึงอย่างที่สุด ด้านหลังคุณชายเจ้าสำอางคนนั้น ก็มีกบขนาดใหญ่สีขาวกระโดดออกมา
“หืม” จินเฟยเหยาตะลึงงัน ร่างขนาดยักษ์ มองทุกสิ่งด้วยสายตาว่างเปล่า เหตุใดเจ้านี่จึงเหมือนพั่งจื่อขนาดนี้ เพียงแต่บนร่างพั่งจื่อมีสีสันสับสนปนเปเหมือนอันธพาล ไหนเลยจะมีสีขาวบริสุทธิ์งดงามเช่นนี้
เสียงดังตุ้บ กบขนาดใหญ่ตัวนั้นกระโดดจากเรือท่องเที่ยวอย่างกะทันหัน ระยะห่างยี่สิบสามสิบจั้ง มันกระโดดทีเดียวได้อย่างสบายๆ ยืนอยู่บนท่าเรืออย่างมั่นคง
ไม่รอให้จินเฟยเหยาเอ่ยปาก ต้านิวที่อยู่ด้านข้างก็กระแซะเข้ามา สองมือปั่นป่วน ทำท่าทางยั่วยวนอย่างเขินอาย ก็เห็นกบรูปงามสีขาวตัวนี้กระโดดมาใช้ฝ่ามือตบไปหลายที จากนั้นเตะต้านิวที่ร่วงไปกองกับพื้นอีกหลายครั้ง
หลังจากทุบตีพอ มันจึงเดินส่ายอาดๆ มาเบื้องหน้าจินเฟยเหยา จากนั้นเหล่มองพลางเอ่ยว่า “อ๊บๆ”
จินเฟยเหยาเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยกับเสี่ยวหมางว่า “นายท่านเจ้าขา เจ้าพูดให้ชัดเจนหน่อยไม่ได้หรือ ข้านึกว่ามันกลายเป็นคนเสียอีก”
เสี่ยวหมางย่นคิ้ว คิดในใจอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม เจ้าเข้าใจผิดเอง กบจะกลายเป็นคนได้อย่างไร
ในขณะนี้เอง คุณชายเจ้าสำราญบนเรือท่องเที่ยวก็เอ่ยปาก “สหายเซียนท่านนี้ ข้ารอท่านมาหลายปีแล้ว”
“เจ้าเป็นใคร?” จินเฟยเหยารู้สึกถูกคนฉีกหน้า น้ำเสียงจึงไม่ดี
“ข้าน้อยเยวี่ยปู้ชิงแห่งตระกูลเยวี่ย มีเรื่องอยากพูดคุยกับสหายเซียน” เยวี่ยปู้ชิงยิ้มเอ่ยอย่างมั่นใจในตนเอง คนในเมืองวั่นเซียนสุ่ย ไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลของเขา
“ไม่เคยได้ยิน มีธุระอะไรก็พูดมาตรงๆ” จินเฟยเหยาไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ความไม่พอใจในใจยังไม่หายไป
คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะไม่รู้จักเขา เยวี่ยปู้ชิงมีสีหน้าแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาบอกเองไม่ได้ว่าเป็นคนตระกูลใด หรือตระกูลข้ามีอำนาจอิทธิพลมากนะ ตอนนี้เขาเพียงแค้นว่าเหตุใดบ่าวรับใช้ของตนเองจึงหัวช้าเช่นนี้ ยามนี้สมควรออกมาแนะนำศักดิ์ฐานะของข้ามิใช่หรือ?
ทว่าบ่าวรับใช้ของเขา กำลังนั่งดื่มกินเป็นการใหญ่อยู่ในเรือท่องเที่ยว นึกว่าคุณชายยืนชื่นชมสาวงามอยู่ข้างนอก ดังนั้นจึงไม่ได้มารบกวน เยวี่ยปู้ชิงได้แต่ยืนโง่งม ในใจมีโทสะแทบตาย
โชคดีที่ยามนี้มีคนช่วยเขาคลี่คลายความกระอักกระอ่วน ที่แท้เป็นเสี่ยวหมางที่ยืนอยู่บนท่าเรือช่วยแนะนำ “ท่านเซียน นี่คือคุณชายตระกูลเยวี่ยตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนที่มีชื่อเสียงในเมืองวั่นเซียนสุ่ย”
“เทียบกับตระกูลอู่ ตระกูลพานแล้วเป็นอย่างไร?” จินเฟยเหยาเลิกคิ้วเอ่ยถาม
หลังจากเสี่ยวหมางลังเลนิดหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ใกล้เคียงกัน เป็นตระกูลที่มีอำนาจอิทธิพลแข็งแกร่งยิ่ง”
“เยวี่ยปู้ชิง[2] ยิ่งพูดยิ่งไม่กระจ่าง…” จินเฟยเหยาหวนนึกถึงชื่อของเขาแล้วรู้สึกว่าน่าขำยิ่งนัก
คิดไม่ถึงว่าจะมีคนอธิบายชื่อของตนเองเช่นนี้ เยวี่ยปู้ชิงเดือดดาลอยู่บ้าง ทว่าเพื่อคนงามน้อย ได้แต่อดทน เขาเก็บรอยยิ้ม ยามนี้ถ้าแสดงออกอ่อนโยนและใจดีเกินไป ต้องถูกคนดูแคลน
“สหายเซียนท่านนี้ เจ้าบอกราคามา ข้าคิดจะพาตัวแม่นางในศาลาคนนั้นไป” เยวี่ยปู้ชิงพูดตรงไปตรงมา
จินเฟยเหยามองเขา แล้วก็มองกล่องบรรจุของล้ำค่าเหล่านั้นตรงเท้า แล้วใช้เท้าเตะกล่องทั้งหมดลงเรือปลาทองของเสี่ยวหมาง จากนั้นเอ่ยอย่างเย็นชา “เสี่ยวหมาง นำสิ่งของเหล่านี้กลับไปคืน ถ้าพวกเขาต้องการสิ่งของที่ส่งมาในอดีตกลับคืน ก็ร่ายรายการมา บอกพวกเขาว่าข้ายังไม่ยากจนถึงขั้นนี้”
หลังเอ่ยจบจินเฟยเหยาก็หมุนกายเดินกลับเข้าไป ไม่สนใจคนเหล่านี้ ในใจยังครุ่นคิด ต้องไปหาต้นไม้มาปลูกไว้รอบศาลาทันที ดูสิว่าคนพวกนี้จะเฝ้ามองอยู่ที่นี่อีกหรือไม่
ส่วนเสี่ยวหมางไม่กล้าชักช้า รีบจัดระเบียบกล่องหยกทั้งหมดใหม่อีกครั้ง พายเรือปลาทองไปส่งสิ่งของคืน นางไม่กล้าล่วงเกินคนทั้งสองฝั่ง ส่วนคุณชายเยวี่ย เยวี่ยปู้ชิงถูกหักหน้า คิดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนี้จะไม่ไว้หน้าตนเอง บุตรหลานตระกูลเศรษฐีประเภทนี้เดิมทีก็อยู่ว่างไม่มีเรื่องราวใดกระทำ ครั้งนี้จึงโต้เถียงกับจินเฟยเหยา
บนท่าเรือเหลือเพียงต้านิวที่ถูกพั่งจื่อตบตียกหนึ่ง มันเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ขนย้ายสิ่งของอย่างเงียบงัน เครื่องสำอางที่แต่งบนใบหน้ายิ่งน่ากลัวมากขึ้น
จินเฟยเหยาจากไปไม่นาน การป้องกันบนเกาะเสี่ยวสือพลันเปลี่ยนแปลง ทั่วทั้งเกาะปรากฏไอหมอกชั้นหนึ่ง ไอหมอกยิ่งมายิ่งหนาแน่น สุดท้ายทุกสิ่งก็ถูกปกคลุมไว้ในหมอกหนาทึบ เหลือเพียงท่าเรือที่ตั้งอยู่นอกหมอกสีขาว ทำให้คนรู้ว่าที่นี่คือเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ทำอะไรน่ะ พวกเราอยากเห็นสาวงาม”
“ผู้ใดใจร้ายขนาดนี้ เปิดการป้องกันนะ”
“พวกเราอยากเห็นสาวงาม ขอพบสาวงามหน่อย”
ทุกคนบนเรือท่องเที่ยวชมทิวทัศน์เห็นหมอกสีขาวกระจายไปทั่วเกาะอย่างกะทันหัน ทั้งหมดร้องตะโกนอย่างไม่พอใจ ทุกคนเอะอะโวยวายอยากเห็นเนี่ยนซี ล้อมรอบเกาะเสี่ยวสือไม่ยอมจากไป
“ไสหัวไปให้หมด เกาะของข้าไม่ใช่หอโคมเขียว ถ้ายังอาละวาดอีกข้าจะหักขาพวกเจ้าทิ้งเสีย” บนเกาะพลันมีเสียงจินเฟยเหยาดังมา ดังสะท้อนไปถึงชั้นเมฆ คนที่อยู่รอบด้านทั้งหมดฟังเข้าใจ
นอกจากเยวี่ยปู้ชิงที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน คนอื่นๆ ส่วนมากเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือบางคนเป็นผู้คุ้มกันผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ พวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง พลันนึกขึ้นได้ว่าเยวี่ยปู้ชิงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ทั้งยังมีอำนาจในตระกูลไม่น้อย ทุกคนมองเขา คิดจะดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร
เยวี่ยปู้ชิงยืนอยู่บนเรือท่องเที่ยว เอ่ยอย่างเย็นชา “ได้ คอยดูกันไปเถอะ พวกเราไป”
นี่คือเตรียมแก้แค้นสินะ มีเรื่องน่าสนุกให้ดูอีกแล้ว เพียงแต่เสียดายคนงามผู้นี้ ท่าทางจะถูกเยวี่ยปู้ชิงได้ไป ทุกคนแอบพูดคุยกัน ถึงในใจอยากดูเรื่องน่าสนุกอย่างยิ่ง ทว่ากลับทอดถอนใจเสียดายที่คนงามต้องตกเป็นของผู้อื่น
ปฏิกิริยาของเยวี่ยปู้ชิง จินเฟยเหยาย่อมเห็นอยู่ในสายตา แต่นางส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “บุตรหลานตระกูลเศรษฐีกลุ่มหนึ่ง มีอะไรวิเศษกัน หรือข้ายังกลัวเจ้า ข้ายังมีแผนการจากไปโดยไม่สนใจอะไรอีก”
นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าต้านิวกลับทำให้จินเฟยเหยาปวดศีรษะ เห็นมันถูกพั่งจื่อทุบตีอย่างรุนแรงยกหนึ่ง นางจึงเรียกพั่งจื่อมา “เจ้าทุบตีมันทำไม พวกเจ้าอยู่ด้วยกันมากี่ปีแล้ว ลงมือหนักขนาดนี้ได้อย่างไร เจ้านึกว่าตอนนี้เจ้าเป็นสัตว์ภูติขั้นสี่ มันเพิ่งเป็นสัตว์ภูติขั้นหนึ่ง เจ้าจึงรังแกมันได้หรือ?”
ได้ยินคำบริภาษของจินเฟยเหยา พั่งจื่อที่ข้ามสามขั้นมาเป็นสัตว์ภูติขั้นสี่โดยตรงก็ยืนแกล้งตายอยู่ด้านข้าง พลังการบำเพ็ญเพียรของมันในตอนนี้ยังเหนือกว่าจินเฟยเหยา ดังนั้นจึงกลับคืนสู่ท่าทางการมองทุกสิ่งด้วยสายตาว่างเปล่า จินเฟยเหยาด่าทออยู่ครึ่งวัน มันก็ไม่ส่งเสียงสักแอะ
สุดท้ายจินเฟยเหยาโมโห ใช้นิ้วชี้หัวมันแล้วเอ่ย “ทุกครั้งที่เจ้าได้รับบาดเจ็บ ต้านิวเป็นคนดูแล เจ้าไม่ยอมใช้ตัวเคียงคู่ก็ช่างเถอะ ยังทุบตีมันอีก”
“อ๊บๆๆ!” ในที่สุดพั่งจื่อก็เดือดดาล คำรามใส่จินเฟยเหยาอย่างมีโทสะ
ฟังคำพูดของมัน จินเฟยเหยาหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก ที่แท้เพราะเหตุนี้จึงทุบตีต้านิว นางได้แต่ปล่อยให้พั่งจื่อจากไป นางครุ่นคิด ได้แต่ไปหาต้านิว แต่งทั้งวันจนกลายเป็นแบบนี้ทำให้คนรับไม่ได้จริงๆ
“ต้านิว ข้ามีเรื่องอยากพูดกับเจ้า” จินเฟยเหยาเดินเข้ามาในห้องครัว เห็นต้านิวกำลังจัดสิ่งของอยู่ นางไม่แน่ใจว่าต้านิวจะฟังคำพูดของนางได้เข้าใจมากเพียงใด
ต้านิวหยุดงานในมือ มองจินเฟยเหยาน้ำตาคลอ ใบหน้าเบื้องหน้าส่ายไหว ทำให้จินเฟยเหยาเกิดความรู้สึกอยากทุบตีมัน
“ต้านิว เจ้าเห็นเนี่ยนซีแต่งตัวงดงาม มีผู้คนมากมายชมชอบ เจ้าจึงอยากแต่งกายงดงามทำให้พั่งจื่อชอบเจ้าบ้าง นั่นไม่ผิด เพียงแต่ เจ้ามาผิดทาง กบอย่างพั่งจื่อสนใจเพียงสิ่งเดียว นั่นคืออาหาร ต่อให้เจ้าแต่งตัวจนงดงามราวกับเทพธิดา ก็สู้เนื้อย่างชิ้นหนึ่งไม่ได้”
จินเฟยเหยาเอ่ยคำพูดจากใจจริงจบ พบว่าต้านิวมองนางด้วยสีหน้างุนงง ฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด จินเฟยเหยาได้แต่คำรามว่า “เจ้าฟังนะ พั่งจื่อชอบกิน ถ้าเจ้าทำอาหารอร่อย มันก็จะชอบเจ้า”
พอพูดแบบนี้ในที่สุดต้านิวก็เข้าใจ ดวงตาเปลี่ยนเป็นเปล่งประกาย
“จำไว้ เช็ดสิ่งของบนใบหน้าออก เอี๊ยมก็โยนทิ้งไป ถ้าเจ้าทาของพวกนั้นอีก แม้แต่ข้าก็จะอัดเจ้า” ก่อนจากไป จินเฟยเหยายังเอ่ยเตือนเป็นพิเศษ
……………………………………………..
[1] ก้วน คือ เครื่องประดับศีรษะชนิดหนึ่งใช้สำหรับผูกมวยผมของชนชั้นสูงในสมัยโบราณ
[2] คำว่า ปู้ชิง ในชื่อแปลว่า ไม่เขียว พ้องเสียงกับคำว่า ปู้ชิง ที่แปลว่าไม่กระจ่าง ไม่ชัดเจน