คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 14 มองส่ง
“ทว่าพวกท่านห้ามทำให้นางลำบาก ไม่เช่นนั้น…ข้าจะทำให้พวกท่านเสียใจ” สยงเทียนคุนเหมือนคนละคนกับก่อนหน้านี้ ดวงตาเย็นชา น้ำเสียงไม่ดี หากมิใช่เห็นกับตายังนึกว่าถูกใครชิงร่าง[1]เสียอีก
หวังเฉิงเย่อยากจะส่งเทพโรคระบาดกลุ่มนี้จากไปทันที เรื่องในครั้งนี้ทำให้เขาต้องล้วงศิลาวิญญาณชั้นกลางห้าร้อยก้อนมาจัดการ จำนวนเงินที่ใช้มหาศาลเกินไปแล้ว อีกทั้งยังมิอาจหวังให้ฮูหยินสยงควักเงินก้อนนี้ด้วย ผู้ใดให้สามีของนางคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมในสำนักเล่า หากมาด้วยตนเองจริงๆ แม้แต่เขาก็ล่วงเกินไม่ได้
ไม่สนใจท่าทางไร้มารยาทของสยงเทียนคุน เขารีบรับรอง “เจ้าวางใจ พวกเราเป็นถึงสำนักอวิ๋นซาน จะไปหาเรื่องผู้บำเพ็ญเซียนน้อยคนหนึ่งที่เพิ่งบรรลุขั้นฝึกปราณได้อย่างไร อีกอย่างหนึ่งที่นี่คือเมืองลั่วเซียน ถึงเจ้าไม่ไว้ใจพวกเรา เจ้ายังไม่ไว้วางใจผู้ดูแลของที่นี่อีกหรือ?”
สยงเทียนคุนกวาดตามองพวกเขา เดินมาถึงข้างกายจินเฟยเหยา เขาลงนั่งยองๆ ดึงกระเป๋าเก็บของของตนเองออกมา ยัดกระบี่สีขาวและผ้าไหมในมือใส่มือจินเฟยเหยา
“ข้าไปแล้วนะ ข้าจะจดจำคำพูดของเจ้าไว้ ต้องมีสักวันที่ข้าจะได้รับอิสระ”
เอ่ยจบ สยงเทียนคุนเดินไปหาศิษย์สำนักอวิ๋นซานโดยไม่หันหน้ากลับมา มองฮูหยินสยงนำสยงเทียนคุนจากไป จินเฟยเหยาถือสิ่งของในมืออย่างมึนงง ที่แท้ตนเองเคยพูดอะไรกับสยงเทียนคุนกันแน่ อิสระ เหตุใดจึงนึกไม่ออกเลยสักนิด
นางลืมคำพูดให้กำลังใจที่พูดไปเรื่อยเปื่อยเพื่อไม่ให้สยงเทียนคุนเป็นเหมือนสตรีตอนอยู่ในรถม้าจนหมดแล้ว สยงเทียนคุนจดจำหลักการพื้นฐานไว้ วันต่อมาจินเฟยเหยากลับลืมเลือนจนเกลี้ยงเกลา
น่าจะเพราะจินเฟยเหยาเป็นเพียงผู้เยาว์รุ่นหลังขั้นฝึกปราณช่วงต้นที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง ผู้ดูแลเมืองลั่วเซียนเห็นคนของสำนักอวิ๋นซานปล่อยนาง ทั้งยังรับผลประโยชน์มาไม่น้อยและยอมรับการลงโทษ เรื่องจึงคลี่คลายลงอย่างน่าพอใจ ก็สะบัดมือจากไป
ส่วนคนของสำนักอวิ๋นซานเห็นฮูหยินสยงพาสยงเทียนคุนจากไปอย่างเร่งร้อนราวกับเกรงว่าบุตรชายจะหนีไปกลางทาง
หวังเฉิงเย่ก็ด่าทอศิษย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองลั่วเซียนหลายประโยค ทั้งหมดรีบกลับไปสำนักสาขาของสำนักอวิ๋นซาน โทสะในใจของเขามากมายยิ่ง ศิษย์เหล่านี้อยู่ในเมืองลั่วเซียนมานานหลายปี เห็นอาจาย์อาต่อสู้ในเมือง คิดไม่ถึงว่าจะไม่ห้ามปราม หากไม่สั่งสอนให้ดีสักหน่อย ต่อไปถ้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เกรงว่าคงทำลายความบากบั่นทุ่มเทของตนเองแล้ว
จินเฟยเหยามองเหม่อไปรอบด้าน คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะมีผลลัพธ์เช่นนี้ นางทำความดี อย่าว่าแต่ได้รางวัลเลย ยังถูกทุบตีเปล่าๆ ยกหนึ่งด้วย แม้แต่ค่าเสียหายก็ยังไม่ชดใช้ ครู่หนึ่งคนก็ไปกันหมด และที่น่าเศร้าใจคือสำนักสาขาของสำนักอวิ๋นซานถึงกับอยู่ข้างบ้านเล็กๆ ที่จินเฟยเหยาเช่าแค่กำแพงกั้น
กลายเป็นว่าพวกเขาสองคนเพิ่งมาที่นี่ก็พบเข้ากับฮูหยินสยงที่ออกมาตามหาบุตรชายไปทั่วจนโทสะพวยพุ่งพอดี คนจะซวย ขนาดดื่มน้ำเย็นก็ยังติดฟันจริงๆ เรื่องนี้บังเอิญเกินไปแล้ว
จินเฟยเหยาขยับตัวอย่างจนใจ บาดแผลที่ไหล่ซ้ายเจ็บปวดอย่างรุนแรง ถึงเลือดจะหยุดไหล ทว่าความเจ็บปวดกลับยังไม่หายไปทันที เพราะเสียเลือดมากเกินไป สีหน้านางจึงซีดขาว เวียนศีรษะ เห็นไม่มีผู้ใดสนใจตนเอง จินเฟยเหยาจึงดิ้นรนล้วงแผ่นหยกออกมาเปิดการควบคุมของบ้าน พอผลักประตูก็เข้าไปในลานบ้าน
ยังไม่เห็นอย่างชัดเจนว่าในลานบ้านมีทิวทัศน์เป็นอย่างไร นางก็กระแทกประตูของห้องหนึ่งในนั้นให้เปิดออก แล้วล้มลงบนเตียงไม้อันว่างเปล่าแล้วสลบไป
เช้าตรู่ในเมืองลั่วเซียน ยังคงอึกทึกเช่นเดิม บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่รู้ความแตกต่างของเวลาก็ยังมีชีวิตตามความพึงพอใจของตนเองดังเดิม บางคนตื่นแต่เช้า บางคนเพิ่งนอนพักผ่อน และบางคนก็ไม่ก้าวออกจากบ้านแม้ครึ่งก้าวมาหลายปีแล้ว
ด้านข้างประตูสำนักอวิ๋นซานทางทิศตะวันตกของเมือง มีบ้านหลังเล็กๆ เชื่อมต่อกันเก้าหลัง บ้านหลังเล็กริมสุดมีร้านเลิศรสมาส่งสามมื้อทุกวัน มีอาหารมาส่งถึงบ้านก็แสดงว่าเจ้าของบ้านหลังเล็กไม่ได้ปิดด่านกักตน กลับไม่เห็นผู้บำเพ็ญเซียนผู้นั้นออกจากบ้านเลย ขี้เกียจจนเป็นแบบนี้พบเห็นได้น้อยนัก
นกชางเชวี่ยอ้วนพีตัวหนึ่งบินมาจากที่ไกลๆ อุ้งเท้าจับกล่องอาหารแน่น อย่าเห็นว่านกชางเชวี่ยดูโง่งม รูปร่างอ้วนใหญ่ ทว่ายามบินกลับบินอย่างมั่นคงยิ่ง จับกล่องอาหารไม่สั่นไหวโอนเอน ดูแล้วทำให้คนวางใจ
อย่างไรเสียคงไม่มีใครคิดว่าพอออกจากบ้านแต่เช้าตรู่จะถูกกล่องอาหารร่วงลงมาใส่ศีรษะพอดี
นกชางเชวี่ยบินไปทางบ้านหลังเล็กที่อยู่ริมสุดอย่างคุ้นเคย ผ่านการควบคุมของบ้านหลังเล็กอย่างง่ายดาย วางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะศิลากลางลานบ้าน จากนั้นก็ตีปีกบินไป
ลานบ้านกว้างเพียงสองจั้งกว่า มีห้องข้างทำจากไม้ขนาดไม่ใหญ่นักสองห้อง ในลานเรือนมีบ่อน้ำหนึ่งบ่อ บนพื้นปูแผ่นหินเขียวเรียบลื่น ตรงกลางปลูกต้นหยางเขียวที่ใบดกหนาต้นหนึ่ง บนโต๊ะศิลาใต้ต้นไม้มีกล่องอาหารจากร้านเลิศรสวางไว้
หลังจากนกชางเชวี่ยของร้านเลิศรสบินไปแล้ว ประตูห้องหนึ่งในนั้นก็เปิดออก จินเฟยเหยาเดินออกมาจากด้านใน นางเดินมาถึงเบื้องหน้าโต๊ะหิน เปิดกล่องอาหารสองชั้นออก
“อาหารวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวาน ร้านเลิศรสช่างทำการค้าจริงๆ” นางยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ หยิบอาหารเช้าออกจากกล่องอาหาร
โจ๊กใสหนึ่งชามใหญ่ ผักดองจานเล็กสองจาน ซาลาเปาไส้เนื้อและผักลูกใหญ่กลิ่นหอมเตะจมูกสี่ลูก จินเฟยเหยาก็นั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะศิลา หยิบซาลาเปาเนื้อขึ้นเริ่มกิน ไส้ซาลาเปาของที่นี่ล้วนเป็นเนื้อสัตว์ปิศาจ แม้แต่อาหารจานผักก็มีพลังวิญญาณแฝงอยู่ ในโลกมนุษย์ธรรมดาหารับประทานไม่ได้
นางหลบรักษาบาดแผลอยู่ในบ้านมาสองเดือนกว่าแล้ว แขนซ้ายถูกกระบี่โลหิตของฮูหยินสยงแทงทะลุ บาดแผลสาหัสมากกว่าที่นางคาด รอบบาดแผลมีปราณกระบี่สีแดงชั้นหนึ่งยับยั้งการหายของบาดแผล หากมิได้ให้ท่านหมอใช้พลังวิญญาณขจัดให้สลายไป เกรงว่าถึงรักษาบาดแผลหนึ่งปีก็คงไม่หาย
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานยอดเยี่ยมจริงๆ เสียด้วย นึกถึงบาดแผลของตนเองจินเฟยเหยาก็อดส่ายศีรษะไม่ได้ นางต้องรีบยกระดับความแข็งแกร่งจึงจะได้ สองเดือนนี้ แม้แต่กินข้าวนางก็ให้ร้านเลิศรสส่งมา ไม่ใช่เกียจคร้านถึงขั้นนั้น ทว่านางนอนอยู่บนเตียงหนึ่งเดือน ลุกไม่ขึ้นเลยสักนิด
ยังนับว่าดี เพราะรู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนส่วนมากต่างก็ยุ่ง ไม่มีเวลาไปทำเรื่องส่วนตัวมากมาย เมืองลั่วเซียนจึงมีคนกลางช่วยผู้บำเพ็ญเซียนทำธุระโดยเฉพาะ
ขอเพียงมีคนเข้ามาอยู่ก็จะมีคนกลางมาสอบถามถึงบ้าน ว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือไม่ จินเฟยเหยาฟื้นจากการหมดสติ พบว่าตรงประตูมีคนกลางผู้หนึ่งมารออยู่สองวันแล้ว
พวกเขาทำทุกอย่าง ซักเสื้อผ้าส่งอาหาร ทำตั้งแต่กวาดบ้าน ดูแลสัตว์ปิศาจ เพาะปลูกหญ้าวิญญาณ ขอเพียงท่านนึกออก พวกเขาก็สามารถทำให้ท่านได้ ต่อให้คิดจะหาอนุภรรยา ก็เป็นเรื่องง่ายเพียงแค่ยกมือ
จินเฟยเหยามีบาดแผลบนร่าง ขนาดท่านหมอคนกลางก็เป็นผู้เชิญมา ทั้งยังแนะนำอาหารส่งถึงบ้านของหอเลิศรส ของใช้ภายในบ้านก็ช่วยซื้อหามา แน่นอนว่าพวกเขาต้องได้รับค่าวิ่งเต้น
โชคดีที่สยงเทียนคุนทิ้งศิลาวิญญาณชั้นล่างสามสิบกว่าก้อนในกระเป๋าเก็บของไว้ให้ ใช้จ่ายค่าวิ่งเต้นและค่าอาหารสามเดือนนี้ ส่วนที่เหลือก็ถูกท่านหมอเอาไปหมด
เห็นท่านหมอยังรับศิลาวิญญาณเหล่านั้นไปอย่างไม่พอใจ แค่ราคาขจัดพลังวิญญาณของกระบี่บินทิ้งจินเฟยเหยาก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว นางถึงกับเกิดความคิดอยากจะเปลี่ยนไปเรียนเวทรักษาเลยทีเดียว อาชีพนี้หาเงินได้เยอะจริงๆ
ก็เพียงแค่คิดเท่านั้น เรียนหมอต้องเป็นเด็กฝึกหัดก่อน และต้องทำงานเป็นบ่าวให้กับท่านหมอเปล่าๆ หลายปี จึงมีโอกาสได้เรียนเวทรักษา นางรู้นิสัยของตนเองเป็นอย่างดี ถ้าไปเป็นเด็กฝึกหัด เกรงว่าคงทำเตาหลอมยาของผู้อื่นพังตั้งแต่แรก
นอนมาสองเดือนอาการบาดเจ็บดีขึ้นมาก คนของสำนักอวิ๋นซานไม่ได้มาหาเรื่อง ท่าทางต้องวางแผนเรื่องการบำเพ็ญเพียรของตนเองแล้ว
สองเดือนนี้นางไม่ได้อยู่ว่าง มีเวลาก็ฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ พลังการบำเพ็ญเพียรก้าวหน้าขึ้นนิดหน่อย ทว่ายังอยู่ที่ขั้นฝึกปราณช่วงต้น เรื่องสำคัญในตอนนี้ก็คือต้องซื้อยาพลังปราณมายกระดับความเร็วในการฝึกบำเพ็ญ แค่อาศัยการดูดซับพลังวิญญาณรอบด้านเช่นนี้คิดจะบรรลุขั้นสร้างฐานเกรงว่าชั่วชีวิตคงไม่มีหวัง
ถ้าจะฝึกไฟนรกศพมาร ก็จำเป็นต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย ต้องต้มน้ำแกงยาวิญญาณในเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ ไม่เช่นนั้นพละกำลังไม่สูงขึ้นก็จะหาศิลาวิญญาณไม่ได้ จากนั้นก็จมอยู่ในวังวนอันเลวร้ายของการไร้ศิลาวิญญาณก็ไร้พละกำลัง ไร้พละกำลังก็ยิ่งไร้ศิลาวิญญาณ ชั่วชีวิตนี้มิอาจเงยหน้าอ้าปากได้
กินอาหารเช้าจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว โยนจานชามเข้าไปในกล่องอาหารอีกครั้ง พอถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน นกชางเชวี่ยก็มาเอากล่องอาหารนี้ไป
ตอนนี้นางเตรียมจะออกไปลองดู ว่ามีหนทางใดที่จะหาศิลาวิญญาณได้บ้าง จะได้ใช้ศิลาวิญญาณพวกนี้ซื้อยาพลังปราณ กระดูกและหนังสัตว์ปิศาจระดับหนึ่งในกระเป๋าเก็บของสองใบก็ต้องหาสถานที่ขาย
ขณะกำลังจะออกจากบ้าน นางก็พกกระบี่สีขาวที่สยงเทียนคุนทิ้งไว้ให้ไปด้วย ส่วนผ้าไหมผืนนั้นเป็นอาวุธป้องกันที่ดี นางจึงซ่อนไว้บนตัวตั้งแต่แรก
คิดจะขายวัตถุดิบของสัตว์ปิศาจก็ต้องไปที่ถนนถงเหลียน ที่นั่นมีศูนย์กระจายสินค้าของร้านเล็กๆ วัตถุดิบเช่นนี้ถ้าหิ้วไปที่ร้านระดับสูง ไม่ถูกคนงานในร้านโยนออกมาก็นับว่าดีแล้ว
แผนที่ของเมืองลั่วเซียนถูกนางที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจิ้มแผนที่จนคุ้นเคย ไม่ต้องเปิดแผนที่นางก็หาถนนถงเหลียนพบได้สบายๆ
สองฟากของถนนเป็นร้านค้าสองชั้นเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย คนเดินไปมาบนถนน ส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ คนธรรมดาก็มีไม่น้อย เพียงแต่ทั้งหมดยุ่งอยู่กับการไปร้านค้าแต่ละร้านอย่างเร่งรีบ ตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนในเมืองลั่วเซียนมีมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งหมดจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ส่วนคนธรรมดาก็ตัดใจไปโลกมนุษย์ไม่ได้ ได้แต่ต้องทำงานชั้นต่ำที่สุด
ร้านเหล่านี้มีทุกรูปแบบ มีทุกอย่างขาย นอกจากขายยันต์ อาวุธเวท ยาวิญญาณ และสัตว์เลี้ยงที่ผู้บำเพ็ญเซียนใช้ ยังมีร้านเสื้อผ้าเหมือนในโลกมนุษย์ ร้านอาหารของว่าง ชามอ่างกระทะกระบวย เครื่องเรือน สิ่งที่โลกมนุษย์มีที่นี่ล้วนมีทั้งหมด
จินเฟยเหยาไม่ได้เข้าไปร้านหลอมอาวุธที่แขวนป้ายซื้อวัตถุดิบ ร้านเหล่านั้นขายอาวุธเวทที่หลอมแล้วโดยเฉพาะ ราคาที่ซื้อวัตถุดิบไม่สูงนัก ไม่ค่อยเลือกมาก วัตถุดิบอะไรก็รับซื้อหมด ทั้งยังสามารถใช้วัตถุดิบมาแลกอาวุธเวทได้ ดังนั้นจึงมีผู้บำเพ็ญเซียนไม่น้อยมาค้าขายที่นี่
นางวิ่งไปร้านค้าที่ซื้อขายวัตถุดิบนานาชนิดโดยเฉพาะหลายร้านเพื่อสอบถามราคา ตามปกติราคารับซื้อวัตถุดิบของทุกคนจะใกล้เคียงกันเพื่อเสถียรภาพของตลาด ไม่มีช่องทางให้เลือกมากนัก
ในเมื่อราคาเหมือนกันหมด จินเฟยเหยาจึงเลือกร้านหนึ่งที่ชื่อว่าจวี้จ๋าถัง โยนสิ่งของในถุงเก็บของสองใบให้พวกเขาทั้งหมด ไม่เสียทีที่เป็นร้านรับซื้อมืออาชีพ ลูกจ้างขั้นฝึกปราณช่วงต้นในร้าน นำสินค้าของจินเฟยเหยามาวางไว้ในมือ หาข้อบกพร่องไม่หยุด
ตัดขนสัตว์เสีย บนกระดูกสัตว์มีรอยแตก เอาเขาสัตว์ออกมาอย่างไม่ระวัง ผิวแข็งๆ ของเขาสัตว์มีรอยแตก นางรับฟังจนเวียนศีรษะและกระวนกระวายใจ
สุดท้ายก็กดราคาจนยังพอรับได้ ทั้งหมดขายไปสิบห้าศิลาวิญญาณชั้นล่าง สินค้าขยะไม่มีราคา ถึงมีปริมาณมากก็ได้รับเงินน้อย นางยังต้องคิดหาวิธีหารายได้ทางอื่นอีก ไม่เช่นนั้นศิลาวิญญาณที่ขายได้ยังไม่พอศิลาวิญญาณที่ใช้หมดไปกับค่ายา
จินเฟยเหยาเก็บศิลาวิญญาณในกระเป๋าเก็บของ หันกายเดินเข้าไปในร้านอาวุธเวท
[1] ชิงร่าง คือ วิญญาณอื่นเข้ามาสิงสู่ในร่างของเจ้าของร่างแทนวิญญาณเจ้าของร่าง