คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 171 ซือจู่จู๋ซวีอู๋
ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่สบายใจอยู่บ้าง ติดตามเฟิงอวิ๋นจู๋ไปยังตำหนักซวีชิง
ตำหนักซวีชิงอยู่ทางทิศตะวันตกของสำนักตงอวี้หวง ในเทือกเขาตงอวี้หวงที่มีไอหมอกม้วนตลบก่อสร้างตำหนักหลากรูปแบบหลายสิบหลัง รอบตำหนักเหล่านี้จมอยู่ในทะเลเมฆแห่งเทือกเขา ส่วนมากเพียงเผยให้เห็นมุมหนึ่งของตำหนัก วิหคเซียนเหินบินและสัตว์ภูติร่ำร้องในภูเขา เป็นทัศนียภาพแห่งแดนเซียน
ตำหนักซวีชิงเป็นตำหนักที่สร้างขึ้นเพื่อจู๋ซวีอู๋ซือจู่ของพวกเขาโดยเฉพาะหลังพวกไป๋เจี่ยนจู๋มาถึงสำนักตงอวี้หวง และศิษย์ที่จู๋ซวีอู๋พากลับมาล้วนอาศัยอยู่บนยอดเขาซวีชิงทั้งหมด เปรียบกับตำหนักอื่นๆ ที่อยู่มานับพันนับหมื่นปี ตำหนักซวีชิงยังถือเป็นเด็กหนุ่ม และไม่รับศิษย์ภายนอกสักคน
จู๋ซวีอู๋ไม่ชอบอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่หรูหรา ดังนั้นตำหนักซวีชิงจึงใช้ศิลาวิญญาณหยกขาวที่ใช้เป็นประจำก่อสร้าง แลดูยิ่งใหญ่อลังการ เปล่งแสงเจิดจรัสอยู่ท่ามกลางตำหนักอื่นๆ ในภูเขา ศิษย์ของตำหนักซวีชิงนอกจากกลุ่มไป๋เจี่ยนจู๋ที่เป็นขั้นสร้างฐานแล้ว ก็เป็นรุ่นอาจารย์และอาจารย์อาของพวกเขารวมทั้งหมดสองคน สร้างถ้ำเซียนอยู่สองฟากฝั่งของตำหนักซวีชิง
พวกไป๋เจี่ยนจู๋จึงลงจากบนยอดเขาซวีชิงค้นหาสถานที่สร้างถ้ำเซียนเอง เนื่องจากแทบทุกวันบนยอดเขาล้วนมีทะเลเมฆมารวมตัวกัน ต่อให้เป็นเวลาเที่ยงวันถ้ำเซียนจำนวนมากก็ถูกทะเลเมฆโอบล้อมไว้
พวกเขาสองคนมาถึงหน้าตำหนักซวีชิง มองตำหนักที่ขาวเรืองรองเบื้องหน้า เฟิงอวิ๋นจู๋ตบบ่าไป๋เจี่ยนจู๋ ถอนหายใจเอ่ยว่า “ศิษย์น้องไป๋ ถ้าเจ้าถูกซือจู่ลงโทษให้หันหน้าเข้าหาผนังสำนักผิดสามร้อยปี ข้าจะจำไว้ว่าต้องไปส่งดอกไม้ให้เจ้าบ่อยๆ”
“ศิษย์พี่ ข้ายังไม่ได้เจี๋ยตัน ถ้าหันหน้าเข้าหาผนังสำนึกผิดสามร้อยปี ท่านคงต้องส่งดอกไม้ให้กระดูกของข้าจริงๆ” ไป๋เจี่ยนจู๋ตอบเขาอย่างอารมณ์ไม่ดี
เฟิงอวิ๋นจู๋หัวเราะแห้งๆ สองที ส่งไป๋เจี่ยนจู๋ถึงหน้าประตู อาจารย์สั่งไว้เป็นพิเศษ ให้เขาเพียงพาคนมา แต่ห้ามเข้าไป ให้กลับไปรอฟังข่าว เขาได้แต่ตบบ่าไป๋เจี่ยนจู๋อย่างหมดวาจาเป็นการให้กำลังใจ
ไป๋เจี่ยนจู๋ยิ้มอย่างขมขื่นให้เขา แล้วเดินเข้าไปในตำหนักซวีชิง
ภายในตำหนักใหญ่กว้างขวางอย่างยิ่ง มีกระจกสีโปร่งใสชิ้นใหญ่ๆ แต่ละชิ้นสร้างไว้บนผนังอย่างเป็นระเบียบ แสงอาทิตย์ยามเช้ากำลังสาดส่องเข้ามาจากด้านนอก ทำให้ภายในตำหนักอันว่างเปล่ามีความอบอุ่นขึ้นไม่น้อย บนแท่นสูงจัดวางบัลลังก์ที่มีปราณวิญญาณคุกคามคน จู๋ซวีอู๋ซือจู่ของพวกเขากำลังนั่งอยู่บนนั้น ส่วนสองฟากของบัลลังก์ มี คงจู๋อู๋ อาจารย์ของไป๋เจี่ยนจู๋ และคงจู๋โหย่ว อาจารย์อาผู้ว่างงานอีกคนซึ่งไม่เคยรับศิษย์แม้ครึ่งคนยืนอยู่
ไป๋เจี่ยนจู๋เดินเข้ามาในตำหนักและคุกเข่าลงเบื้องหน้าแท่นสูง “ศิษย์ไป๋เจี่ยนจู๋ คารวะซือจู่ อาจารย์ และอาจารย์อา”
มีอาจารย์ของอาจารย์อยู่ ย่อมไม่ถึงรอบคงจู๋อู๋เอ่ยวาจา จู๋ซวีอู๋ที่นั่งบนบัลลังก์เอ่ยปากอย่างไม่พอใจ “จู๋อู๋ เกิดอะไรขึ้นกับขนาดของบัลลังก์ตัวนี้ ข้านั่งแล้วรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง สูงเกินไปหน่อยหรือไม่?”
คงจู๋อู๋หันมาประสานมือคารวะแล้วเอ่ย “อาจารย์ บัลลังก์ตัวนี้ตำหนักหลักส่งมาให้ บอกว่าในอดีตอาจารย์ชอบปีนเก้าอี้ตัวนี้เล่นที่สุด อีกทั้งดูเหมือนไม่แตกต่างกับบัลลังก์ตัวอื่นๆ ดังนั้นหลังจากศิษย์รับไว้จึงไม่เคยทดลองนั่ง”
“ต่อให้เจ้าเคยทดลองนั่งจะมีประโยชน์อะไร ไม่ดูเสียบ้างว่าเจ้าสูงกว่าข้ามากเพียงใด อีกทั้งข้าเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนที่โดดเด่นแห่งยุค เกิดมาก็เฉลียวฉลาดสุดเปรียบปาน ผ่านตาไม่ลืมเลือน ผู้ใดจะทำเรื่องปีนป่ายโต๊ะและเก้าอี้ ต้องเป็นพวกตาเฒ่าของตำหนักหลักพูดจาเหลวไหล จงใจคิดจะทำให้ข้าอับอายแน่ พรุ่งนี้เจ้าส่งมันกลับไปให้ข้า” จู๋ซวีอู๋นั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์ ตบบัลลังก์ใต้ร่างพลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ
จากนั้นเขาก็จู้จี้อีกว่าเบาะแข็งเกินไป หลังพิงไม่สบาย ภายในตำหนักใหญ่มีเพียงเสียงบ่นที่เหมือนเด็กหนุ่มของเขา
จู๋ซวีอู๋อายุแปดร้อยกว่าปีแล้ว กลับยังมีลักษณะของหนุ่มน้อยอายุสิบสองสิบสาม นั่งอยู่บนบัลลังก์ไม่มีมาดของซือจู่เลยสักนิด เดี๋ยวอย่างนั้นเดี๋ยวอย่างนี้ อย่าเห็นว่าเขามีท่าทางเด็กน้อยแสร้งเป็นผู้ใหญ่ ทว่าพวกไป๋เจี่ยนจู๋ คงจู๋อู๋ และคงอู๋โหย่วทั้งสามต่างก้มหน้าอย่างเดียว ปล่อยให้เขาอาละวาดไป คนเหล่านี้รู้กระจ่างที่สุด เขาไม่ได้หลอกง่ายเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกเลยสักนิด
ฟังเขาบ่นอยู่นาน คงจู๋อู๋จึงเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ บัลลังก์ตัวนี้ยกมาให้หลายสิบปีแล้ว ส่งคืนไปกะทันหันไม่ค่อยดีกระมัง”
“มีอะไรไม่ดี!” ยามนี้จู๋ซวีอู๋เปลี่ยนรูปแบบ ศีรษะพิงบนเท้าแขนเก้าอี้ด้านขวา เท้าพาดบนเท้าแขนเก้าอี้ด้านซ้าย ได้ยินคำพูดของคงจู๋อู๋จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “วางไว้หลายสิบปีแล้วอย่างไร วันนี้ข้าเพิ่งนั่งเป็นวันแรก ใครจะรู้ว่านั่งไม่สบายขนาดนี้ อีกสักครู่เจ้ายกมันกลับไปคืน จากนั้นเอาตั่งนุ่มๆ มา ถ้าสิ่งของที่แข็งขนาดนี้ทำกระดูกอ่อนๆ ของข้าหักจะทำอย่างไร”
“ขอรับ” คงจู๋อู๋เอ่ยเตือนแต่พอเหมาะจึงหยุดลง เขารู้จักนิสัยของอาจารย์ผู้นี้ดี หากทำให้อาจารย์มีโทสะคาดว่าต้องออกไปก่อเรื่องอีกแน่
บ่นว่าที่นั่งไม่สบายเสร็จสิ้น ในที่สุดจู๋ซวีอู๋ก็เบนสายตามามองไป๋เจี่ยนจู๋ที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นตลอด เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง หยิบองุ่นพวงหนึ่งด้านข้างขึ้น ยกองุ่นขึ้นกัดด้านบนพลางเอ่ยถามเสียงอู้อี้ “ไป๋เจี่ยนจู๋ ได้ยินว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญมารสตรี ทั้งยังหารือว่าจะหนีตามกันไป? ทำไม เพื่อสตรีก็ไม่ต้องการพวกเราแล้ว กล้ามากนะ”
คุกเข่าอยู่นานในที่สุดซือจู่ก็ถามเสียที ไป๋เจี่ยนจู๋โล่งอก ไม่ต้องถูกซือจู่อาละวาดจนลืมสนิทเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ครั้งที่แล้ว คุกเข่าอยู่สามวันไม่กล้าขยับตัวสักนิด
เพิ่งหันหน้าเข้าหาผนังสำนึกผิดหนึ่งเดือน คิดไม่ถึงว่าข่าวลือจะกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เขารีบอธิบาย “ซือจู่โปรดวินิจฉัย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่คนภายนอกสร้างเรื่องปล่อยข่าวลือ ศิษย์ไม่มีความคิดเช่นนี้เด็ดขาด อีกทั้งเรื่องของข้ากับสตรีผู้นั้นไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด พวกเขาแต่งเรื่องขึ้นทั้งหมด”
“อะไรนะ แต่งเรื่องขึ้น? หมดสนุกจริงๆ” จู๋ซวีอู๋ผิดหวังอย่างที่สุด คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่หนีตามกัน นึกว่ามีเรื่องสนุกให้ดูเสียอีก
ไป๋เจี่ยนจู๋จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเพราะเหตุใดเขาจึงผิดหวัง เรื่องประเภทคนรักทะเลาะกัน เขาคือคนที่หวังว่าจะทะเลาะกันถึงขั้นสามีภรรยาลงไม้ลงมือ จะสนใจเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร
“แล้วความสัมพันธ์ส่วนตัวของเจ้ากับนางมันเรื่องอะไรกัน? ภายนอกเล่าลือกันไปต่างๆ นานา ไม่มีอะไรก็แต่งเข้ามา คนอื่นจะได้ไม่วิพากษ์วิจารณ์วุ่นวาย” จู๋ซวีอู๋รู้สึกหมดสนุกไม่คิดจะถามต่อไป ไปวางยาถ่ายศิษย์พี่อ้วนสนุกกว่า
“ซือจู่ ข้ากับนางมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ละครั้งข้าล้วนคิดจะสังหารนาง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดทุกคนจึงรู้สึกว่าพวกเราสองคนมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกัน พวกเขามองไม่เห็นโทสะเต็มท้องของข้า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงพูดกันจนกลายเป็นแบบนี้” ไป๋เจี่ยนจู๋รีบอธิบาย กลัวว่าซือจู่จะนึกสนุกขึ้น แล่นไปจับตัวจินเฟยเหยากลับมาแล้วบีบให้พวกเขาสองคนแต่งงานกันก็ยุ่งแล้ว
“พวกเจ้ามีความบาดหมางอะไร? ถ้าไม่สนุกข้าไม่ฟังนะ” จู๋ซวีอู๋เอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน ครุ่นคิดว่าศิษย์หลานที่ทื่อเป็นท่อนไม้ผู้นี้ต้องบอกว่าอีกฝ่ายทำชั่วมามากมายอะไรแน่นอน ตนเองต้องลงมือทำโทษเรื่องน่าเบื่ออย่างบาดหมางกัน จู๋ซวีอู๋ยังไม่ได้ฟังก็รู้สึกง่วงนิดๆ แล้ว
ในหนึ่งเดือนที่หันหน้าเข้าหาผนังสำนึกผิดก่อนหน้านี้ ไป๋เจี่ยนจู๋ครุ่นคิดไปมาอยู่นาน ตัดสินใจเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้กระจ่างต่อหน้าซือจู่ ไม่อาจให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักคาดเดาสะเปะสะปะแบบนี้ต่อไป การตัดสินใจนี้ทำให้เขาเจ็บปวดอยู่นาน ถึงอย่างไรเรื่องที่น่าขายหน้าขนาดนี้ ถ้าให้เขาพูดออกจากปากเองก็ลำบากใจจริงๆ
ภายใต้การจับจ้องด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายของจู๋ซวีอู๋ ไป๋เจี่ยนจู๋ลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็เล่าเรื่องราวออกมา ตั้งแต่เพราะเหตุใดตนเองจึงบาดเจ็บสาหัส ใช้ศาสตร์ลับแสร้งตายเพื่อฟื้นฟูร่างกายในป่า จากนั้นเห็นจินเฟยเหยาร่วงลงมาจากฟ้าชนก้อนหินอย่างไร จากนั้นก็เป็นเรื่องทำให้เขายากจะพูดออกจากปาก จินเฟยเหยาใช้ก้อนหินขว้างตนเอง แล้ววิ่งมาถอดเสื้อผ้าของตนเองและชิงสิ่งของทั้งหมดบนร่างตนเองจนเกลี้ยงอย่างไร เล่าไปจนถึงดินแดนลึกลับลั่วเซียน เล่าถึงศิลารองรับฟ้า สุดท้ายก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์อีกแห่งของจอมมารหลงเมื่อไม่นานมานี้
เขากัดฟันเล่ารวดเดียวจนจบ เกรงว่าถ้าตนเองหยุดชะงักจะเล่าต่อไปไม่ได้
“ฮ่าๆๆ…น่าขำแทบตายแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะลอกคราบเจ้าจนเกลี้ยง ปล้นชิงสิ่งของทั้งหมดของเจ้าไป แม้แต่กางเกงในก็ไม่เว้น” จู๋ซวีอู๋นั่งอยู่บนบัลลังก์หัวเราะจนน้ำตาไหล
ไป๋เจี่ยนจู๋ก้มหน้า ปล่อยให้จู๋ซวีอู๋นั่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ตรงนั้น เขาหัวเราะพลางเอ่ยกับศิษย์สองคนด้านล่าง “น่าขำแทบตายจริงๆ เจ้าหมอนี่น่าสนใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะพบกับเรื่องน่าสนุกขนาดนี้ ถึงกับปิดบังอยู่หลายสิบปี ไม่พูดออกมาแต่แรก ทำเกินไปแล้ว”
ส่วนคงอู๋จู่เบือนหน้าไปมองจู๋ซวีอู๋ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน อาจารย์ขำมากเกินไปแล้ว ยังเบิกบานใจมากกว่าอยู่ว่างจนเบื่อหน่ายจึงทำลายโลกหนานซานครั้งที่แล้วอีก
หัวเราะไปหัวเราะมา จู๋ซวีอู๋พลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงหยุดหัวเราะเอ่ยถามว่า “เดี๋ยวก่อน นางถอดเสื้อผ้าของเจ้าไปทำไม? ต่อให้เสื้อผ้าของสำนักมีค่าอยู่บ้าง แต่ตามที่เจ้าเล่ามาเสื้อผ้าเสียหายไปแต่แรกแล้วนี่นา ส่วนกระเป๋าเก็บของในตัวเจ้าก็ใส่ของดีๆ ไว้มากมายมิใช่หรือ เด็กผู้หญิงอย่างนางจะเอาเสื้อผ้าของเจ้าไปทำไม?”
คิดไม่ถึงว่าจู๋ซวีอู๋จะสังเกตเห็นจุดนี้ ไป๋เจี่ยนจู๋อึกๆ อักๆ ภายใต้การเร่งเร้าอยู่หลายต่อหลายครั้งของจู๋ซวีอู๋ เขาจึงเอ่ยอย่างไม่มีทางเลือก “ตอน…ตอนนางร่วงลงมาจากฟ้าไม่ได้สวมอะไรเลย”
รอบด้านเงียบกริบ หลังจู๋ซวีอู๋ตะลึงงันจึงรู้แจ้ง “ที่แท้นางไม่มีเสื้อผ้าสวม ดังนั้นเห็นเจ้าตายอยู่ด้านข้าง จึงถอดเสื้อผ้าของเจ้า นี่ก็เป็นเรื่องที่พออภัยได้”
“หืม? หมายความว่าสารรูปตอนไม่ใส่เสื้อผ้าของนางถูกเจ้าเห็นหมดแล้ว?” จู๋ซวีอู๋ได้สติขึ้นมาทันที เอ่ยด้วยรอยยิ้มประหลาด
ไป๋เจี่ยนจู๋ก้มหน้าจนแทบจะมุดเข้าไปตรงหว่างขา ได้ยินซือจู่ถามเขา เขาก็ทำเสียงอู้อี้ไม่อยากตอบ
จู๋ซวีอู๋เงยหน้าขึ้นมองเพดาน ในสมองปะติดปะต่อเหตุการณ์ในตอนนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าหัวเราะ ได้แต่นั่งบนบัลลังก์แล้วหันไปหัวเราะด้านหลังเสียงดังอย่างกำเริบเสิบสานอีกไม่ไว้หน้าศิษย์หลานเลยสักนิด
“พูดไปพูดมาเจ้าเอาเปรียบผู้อื่นมากนะ เจ้าเป็นบุรุษ ให้สตรีมองสักหน่อยก็ไม่เป็นไร อีกทั้งหลังจากนางรู้ว่าเจ้าไม่ตาย ก็ไม่ได้ขอให้เจ้าแต่งกับนางเนื่องจากถูกเจ้าเห็นขณะไม่สวมเสื้อผ้า เจ้ายังจะสังหารผู้อื่น ไม่ใช่หญิงม่ายเสียสามีในโลกมนุษย์สักหน่อย จะใจแคบขนาดนี้ไปทำไม!” จู๋ซวีอู๋ยิ้มพลางเอ่ย
ถ้าจินเฟยเหยาได้ยินเข้าต้องโห่ร้องเสียงดังว่าฉลาดหลักแหลมและชื่นชมแน่ ในที่สุดหอซวีชิงยังมีคนที่มีเหตุผลอยู่
“ซือจู่…” ไป๋เจี่ยนจู๋แทบจะใช้เสียงที่เบาราวกับยุงเรียกอย่างจนปัญญา
จู๋ซวีอู๋เก็บงำรอยยิ้ม เอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้ายังมีเรื่องใดปิดบังข้าอีก เจ้าต้องสังหารนางให้ได้ด้วยสาเหตุอะไรกันแน่!”
ริมฝีปากไป๋เจี่ยนจู๋สั่นระริก “ซือจู่ ตอนนั้นนางหัวเราะ…”
“หัวเราะ? ได้สิ่งของมีค่าไปมากมายทำไมจะหัวเราะไม่ได้?” จู๋ซวีอู๋ไม่เข้าใจ ผู้อื่นหัวเราะแล้วเป็นอะไร
จากนั้นก็ได้ยินไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยว่า “ตอนนั้นเสื้อผ้าของข้าถูกถอดออกจนเกลี้ยง จากนั้น…จากนั้น ขณะที่นางกำลังถอดกางเกงในของข้า หลังมองดูแวบหนึ่ง ก็หัวเราะอุ๊บส์”
จู๋ซวีอู๋กระพริบตา “นางจ้องตรงนั้นของเจ้าแล้วหัวเราะ?”
“ขอรับ…” ไป๋เจี่ยนจู๋โล่งอก เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาถือเป็นการปลดเปลื้องอย่างหนึ่ง
…………………………………………..