คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 19 สำนักเฉวียนเซียน
อาคารที่พักอาศัยของเมืองลั่วเซียน โดยพื้นฐานแล้วแต่ละวันต้องแจ้งวันหมดอายุสัญญาเช่าบ้านแก่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ยังไม่มาจ่ายศิลาวิญญาณให้มาจ่ายค่าธรรมเนียมที่อาคารที่พักอาศัย ถ้าได้รับยันต์ถ่ายทอดเสียงแล้วภายในสิบวันไม่มาจ่าย อาคารที่พักอาศัยจะไปเก็บบ้านคืน
ส่วนมากผู้บำเพ็ญเซียนไม่ได้จงใจค้างชำระเงิน ทว่าบางครั้งไม่มีคนออกจากบ้าน หรือปิดด่านกักตนจนลืมวันเวลา ไม่มีผู้ใดเตือน สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นแม้แต่ตนเองอายุเท่าไหร่เกรงว่าคงจำไม่ได้ บรรดาพนักงานของอาคารที่พักอาศัย เหาะเหินกลางอากาศในเมืองลั่วเซียนด้วยอาวุธเวทเดินเท้าชนิดพิเศษ เมืองลั่วเซียนมีการห้ามบิน มีเพียงอาวุธเวทที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษของตำหนักลั่วเซียนชนิดนี้จึงสามารถบินกลางอากาศโดยไม่ถูกคาถาป้องกัน มาถึงเหนือบ้านที่ค้างชำระค่าเช่าบ้านก็โยนยันต์ถ่ายทอดเสียงใบหนึ่งลงไปด้านล่าง โปรยยันต์ถ่ายทอดเสียงสีเหลืองกลางอากาศราวกับเทพบุตรโปรยดอกไม้
ลานบ้านเล็กๆ ของจินเฟยเหยาถูกโยนยันต์ถ่ายทอดเสียงเข้ามา ยันต์ถ่ายทอดเสียงสีเหลืองหยุดอยู่ในเขตคาถาป้องกันของลานบ้าน ส่งเสียงราวกับกระดิ่งเงินอย่างต่อเนื่อง อาคารที่พักอาศัยช่างรู้ใจจริงๆ เกรงว่าเสียงอื่นๆ จะเอะอะเกินไป จึงใช้เสียงที่ค่อนข้างเสนาะหูโดยเฉพาะ
ไม่นานนัก ประตูห้องข้างก็เปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด จินเฟยเหยาเดินออกมาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง เพิ่งครึ่งปีกว่า นางสูงขึ้นไม่น้อย ร่างกายสมบูรณ์ขึ้นมาก เสื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่างคับไม่พอดีตัว ถ้าแขนไม่สั้นไป ก็เอวลอย
ช่วงเวลาที่นางปิดด่านกักตน ไม่เคยมีใครมาสักคน เห็นนางท่าทางมึนงง ก็รู้ว่านางไม่ได้สังเกตเห็นว่าบ้านเช่าหมดอายุแล้ว
นางฉีกยันต์ถ่ายทอดเสียง เสียงอันอ่อนหวานของพนักงานหญิงของอาคารที่พักอาศัยดังมาจากด้านใน ในเนื้อหาเพียงเร่งรัดให้นางไปจ่ายศิลาวิญญาณ
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าของเมืองลั่วเซียน คิดไม่ถึงว่าตนเองจะปิดด่านกักตนมานานขนาดนี้ ในช่วงเวลานั้นนางไม่ได้ออกนอกบ้านเลย เมื่อครู่ตอนเปิดประตู เนื่องจากไม่ได้เปิดประตูบานนั้นมาเป็นเวลานาน จึงส่งเสียงระคายหูออกมา
สามเดือนก่อน นางฝึกบำเพ็ญถึงขั้นฝึกปราณช่วงกลางสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ใช้เวลาหนึ่งเดือนยัดยาพลังปราณ ในที่สุดก็ทำให้นางทะลวงขั้นฝึกปราณช่วงต้นเข้าสู่ขั้นฝึกปราณช่วงกลาง ส่วนสองเดือนที่เหลือถูกจินเฟยเหยานำเวทมนตร์ในเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญมาฝึกปรือ
หนีไฟนรกสามารถทำให้ทั่วร่างกลายเป็นเปลวเพลิงได้ ภายในหนึ่งอึดใจสามารถวิ่งได้ร้อยจั้ง เหมาะสำหรับหนีเอาชีวิตรอดที่สุด เพียงแต่มีข้อเสียสองอย่างที่ทำให้จินเฟยเหยาไม่พอใจอย่างมาก ข้อแรกคือสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างยิ่ง อีกข้อยิ่งทำให้นางรับไม่ได้ ด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงกลาง นางควบคุมไฟนรกตอนใช้หนีไฟนรกไม่ได้ ขอเพียงใช้ผลสุดท้ายจะน่าโมโหสุดๆ
ส่วนที่นางชอบที่สุดก็คือเวทมนตร์ที่ชื่อเกล็ดหิมะนรก เวทมนตร์นี้สามารถทำให้ไฟนรกล้อมเป็นวงเล็กๆ รอบกายได้ ล่องลอยทั่วท้องนภาราวกับเกล็ดหิมะ ใช้เพื่อป้องกันได้ดีที่สุด ขอเพียงมีคนหรืออาวุธเวทเข้าใกล้ พอสัมผัสถูกเกล็ดหิมะนรกก็มีแต่ถูกเผาเท่านั้น เพียงแต่เวทมนตร์นี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน นั่นก็คือควบคุมไม่ได้ ได้แต่ลอยอยู่รอบกายนางอย่างไร้จุดหมาย เคลื่อนไหวตามเจตจำนงของนางไม่ได้ ยังดีอยู่นิดหนึ่ง คือต่อให้จินเฟยเหยาวิ่งไปวิ่งมา เกล็ดหิมะไฟนรกก็จะตามไปด้วย ไม่ได้ลอยอย่างโง่งมอยู่ที่เดิมทำให้นางเคลื่อนไหวไม่ได้
มีเวทมนตร์สองอย่างนี้เพิ่มเข้ามา ต่อไปก็สามารถรับภารกิจอื่นๆ ได้ นางวางแผนจะไปล่าตะขาบเหล็กสักหน่อย ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปทำเรื่องนี้อีก
กลิ่นเหม็นของเห็ดหูหนูเน่ามีพลังทำลายล้างสูงเกินไป อย่างไรจินเฟยเหยาก็เป็นเด็กผู้หญิง ใครจะยอมแช่อยู่ในกลิ่นเหม็นที่เหม็นยิ่งกว่าศพเน่าทั้งวัน อีกทั้งช่วงโตเต็มวัยของเห็ดหูหนูเน่าสั้นเกินไป คิดจะค้นหาก็ยากเย็น การค้านี้ทำเพียงครั้งสองครั้งให้มีเงินทุนก็พอ เรื่องนี้ใครอยากทำก็ไปทำ
ในมือยังเหลือศิลาวิญญาณสี่ร้อยกว่าก้อน จินเฟยเหยาไม่คิดจะเปลี่ยนที่อยู่ ตนเองยังต้องแช่น้ำแกงยาวิญญาณอีก ประหยัดได้นิดหน่อยก็ประหยัด อีกทั้งหลังจากขั้นฝึกปราณช่วงกลาง ประสิทธิภาพของยาพลังปราณก็น้อยลง ต้องใช้ยารวมปราณจึงมีประสิทธิภาพยกระดับพลังฝึกปรือได้ ของสิ่งนั้นราคามิใช่น้อย
ประสิทธิผลของน้ำแกงยาวิญญาณในเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง บวกกับนางบรรลุถึงขั้นฝึกปราณช่วงกลาง คุณสมบัติร่างกายของจินเฟยเหยายิ่งดีมากขึ้นทุกขณะ ถ้าเมื่อก่อนใช้หมัดเดียวต่อยศิลาใหญ่ครึ่งจั้งแตก ตอนนี้ก็สามารถต่อยศิลาขนาดหนึ่งจั้งแตกได้อย่างง่ายดาย
ก่อนหน้านี้ตะขาบเหล็กสามสิบกว่าปล้อง นางต้องต่อยยี่สิบสามสิบหมัดจึงสามารถต่อยเปลือกตรงส่วนท้องแตก ส่วนพละกำลังในยามนี้ ต่อยไม่ถึงสิบหมัดก็สามารถต่อยเปลือกตะขาบตัวหนึ่งแตก บวกกับอานุภาพของหัตถ์ไฟนรก ก็ฆ่าตะขาบได้อย่างง่ายดายเหมือนหั่นเต้าหู้
จินเฟยเหยาไปอาคารที่พักอาศัยจ่ายค่าเช่าบ้านเพิ่มหนึ่งปีก่อน จากนั้นก็เตรียมตัว คิดจะไปหุบเขาร้อยหนอนแมลงอีกรอบ ตอนเดินผ่านลานกว้างผิงอัน นางพบว่าด้านข้างลานกว้างมีแท่นไม้เพิ่มขึ้นมา มีคนกำลังพยายามพูดอะไรอยู่บนนั้น และมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากห้อมล้อมแท่น
เห็นครึกครื้นขนาดนี้ อย่างไรเสียก็อยู่ว่างๆ จินเฟยเหยาจึงเบียดเข้าไป คิดจะดูว่าร้องตะโกนอะไรกัน เบียดมาถึงเบื้องหน้า ก็มองเห็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นฝึกปราณช่วงปลายคนหนึ่งบนแท่น กำลังบิดเอวปลุกปั่นทุกคนอยู่
“สหายเซียนทุกท่าน อยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนไม่ได้ ไม่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง ขนาดออกจากบ้านยังถูกคนรังแกได้ง่ายๆ ทว่าไม่ควรเข้าสำนักใหญ่ๆ สำนักเล็กๆ เข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้ที่มีพลังบำเพ็ญเพียรเหมือนทุกท่านต่อให้เบียดเข้าไปในสำนัก ก็มีข้อจำกัดมากมาย มาเข้าสำนักเฉวียนเซียน สมาพันธ์ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระหนึ่งในห้ากลุ่มอิทธิพลของตำหนักลั่วเซียนเราดีกว่า สำนักเฉวียนเซียนรับสมัครสหายเซียนที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระจำนวนมาก เสนอเงื่อนไขให้อยู่ในเมืองลั่วเซียนฟรี มีสวัสดิการมาก ข้อผูกมัดน้อย” หลังจากเอ่ยข้อความยาวเหยียดจบแล้ว นางยังชี้ไปยังหนึ่งในห้าเกาะด้านบนอย่างมีเสน่ห์ “ทุกท่านโปรดดู เกาะสีทองเหลืองอร่ามนั่นก็คือตำหนักของสำนักเฉวียนเซียน สง่างามเพียงใด สำนักอื่นๆ ไม่อาจเทียบได้ ถ้าทุกท่านคิดจะเข้าสำนักเฉวียนเซียนของเรา ก็มาที่ด้านขวาได้ พวกเราจะบอกสวัสดิการดีๆ มากมายในสำนักเฉวียนเซียนให้แก่ทุกท่านฟังอย่างละเอียด”
พอเข้าไปใกล้ทางด้านขวาของแท่นก็มีโต๊ะเก้าอี้สลักรูปหงส์และมังกรอันงดงามวางอยู่มากมาย ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นฝึกปราณที่งดงามน่ารักแต่ละคนนั่งอยู่หลังโต๊ะมองมาที่ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนด้วยรอยยิ้ม มีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระจำนวนไม่น้อยไปสอบถามข้อมูล ส่วนบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีก็พูดคุยเรื่องประโยชน์ในการเข้าสำนักเฉวียนเซียนอย่างแผ่วเบา
ที่แท้ดึงคนเข้าสำนักนี่เอง จินเฟยเหยาไม่ค่อยสนใจ จึงเบียดออกมาจากในกลุ่มคน เพิ่งหมุนตัว ก็ถูกคนยัดกระดาษใบหนึ่งใส่มือ บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งยิ้มให้นาง “เชิญดูหน่อย ยินดีต้อนรับเข้าสู่สำนักเฉวียนเซียน”
จินเฟยเหยาตกตะลึง เห็นเด็กหนุ่มเดินจากไปแจกใบปลิวในมือให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนอื่นๆ นางมองดูอย่างละเอียดจึงพบว่าสำนักเฉวียนเซียนมีฝีมือจริงๆ ผู้บำเพ็ญเซียนชายที่หล่อเหลาเพียงส่งใบปลิวให้แก่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรี ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่งดงามกลับพัวพันผู้บำเพ็ญเซียนชายเหล่านั้นคิดจะชิงตัวพวกเขาไปอย่างสุดกำลัง
ทั่วทั้งเมืองลั่วเซียนมีเพียงสำนักเฉวียนเซียนที่ทำเช่นนี้ รับสมัครคนจำนวนมากโดยไม่สนใจคุณสมบัติในการบำเพ็ญเพียร เพราะว่าเดิมทีพวกเขาเป็นสมาพันธ์ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ได้ยินว่าภายในยังมีกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนเล็กๆ มากมาย ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระมีอายุและคุณสมบัติแตกต่างกัน มีความเคลื่อนไหวประชากรมาก ดังนั้นจึงต้องรับสมัครผู้บำเพ็ญเซียนอิสระหน้าใหม่จำนวนมากมาเสริมปริมาณผู้บำเพ็ญเซียนที่ออกไป
เดิมทีจินเฟยเหยาไม่สนใจสำนักเหล่านี้ ทว่าหลังจากเห็นใบปลิวในมือ ในใจนางก็เกิดความคิดจะเข้าสำนักเฉวียนเซียน
สำนักเฉวียนเซียนเสนอเงื่อนไขให้ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระดีมากจริงๆ แม้แต่นางที่คิดจะอยู่คนเดียวก็ยังหวั่นไหว ไม่ต้องเอ่ยถึงเสนอที่พักและอาหารให้ แต่ละเดือนยังจัดให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนหนึ่งมาสอนขั้นฝึกปราณ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนอิสระขั้นสร้างฐาน แต่ละปีจะได้รับการชี้แนะจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมหนึ่งครั้ง นี่ยังไม่นับ ขอเพียงเข้าสำนักเฉวียนเซียน ทรัพย์สินในเมืองลั่วเซียนของสำนักเฉวียนเซียน ไม่ว่าจะเป็นราคาขายหรือราคาซื้อล้วนสามารถเพิ่มหรือลดราคาได้หนึ่งส่วน
สำนักเฉวียนเซียนมีร้านอาวุธหลายร้าน ร้านวัตถุดิบและร้านยาขนาดใหญ่มากหนึ่งร้านในเมืองลั่วเซียน อีกทั้งยังสามารถได้รับค่าตอบแทนสูงหากได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจของสำนักเฉวียนเซียน บวกกับมีผู้บำเพ็ญเซียนมากมายในสำนัก ทุกคนนัดกันไปทำภารกิจก็จะปลอดภัยกว่าหาใครก็ได้มาทำ
และที่ดึงดูดจินเฟยเหยาที่สุดคือ ด้านบนเอ่ยถึงขอเพียงเข้าสำนักเฉวียนเซียนห้าปีก็จะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันช่วงชิงยาสร้างฐานที่แต่ละปีมีครั้งเดียวได้ มอบยาสร้างฐานสิบเม็ดเป็นรางวัลให้กับสิบอันดับแรกของการแข่งขัน อีกทั้งในที่นั้นจะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคอยนั่งดูด้วยตนเอง มีเหตุถึงแก่ชีวิตน้อยมาก
ยาสร้างฐาน เพราะหาวัตถุดิบได้ยาก บวกกับหากไม่ใช่ผู้ปรุงโอสถที่มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมจะหลอมสร้างออกมาไม่ได้ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่ไร้สำนัก นอกจากพบยาสร้างฐานหนึ่งถึงสองเม็ดในการประมูลเมื่อออกจากสำนักมาเร่ร่อนในบางครั้งแล้วก็ไม่มีทางได้มา
ถึงมีคนไม่พึ่งพายาสร้างฐานก็สามารถทะลวงขั้นฝึกปราณโดยสมบูรณ์เข้าสู่ขั้นสร้างฐานได้ ทว่าไม่มีสักคนที่ไม่ใช่ผู้มีพลังวิญญาณผันแปร มีคุณสมบัติดีเช่นนี้ ผู้ใดจะมาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ คงเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใหญ่ไปนานแล้ว
ไม่มียาสร้างฐาน ผู้บำเพ็ญเซียนก็ได้แต่อยู่ที่ขั้นฝึกปราณ รอกลายเป็นดินเหลืองกองหนึ่งในอีกหนึ่งร้อยปีต่อมา พอคิดถึงเรื่องนี้ จินเฟยเหยาก็ตัดสินใจไปหุบเขาร้อยหนอนแมลงหาเงินทุนอีกรอบ แล้วเข้าร่วมกับสำนักเฉวียนเซียน อย่างไรเสียสำนักเฉวียนเซียนก็ไม่จำกัดการอยู่หรือไปของผู้บำเพ็ญเซียน ถ้าอยู่แล้วไม่พอใจก็ออกได้
เก็บใบปลิวแผ่นนี้เข้าในกระเป๋าเก็บของ นางก็ไปเตรียมตัวเดินทางไปหุบเขาร้อยหนอนแมลงอีกครั้ง แผนการของนางคืออยู่ในหุบเขาร้อยหนอนแมลงครึ่งปีขึ้นไป หาเงินคราวเดียวให้คุ้มจึงค่อยกลับมา
ดังนั้นถุงเก็บของจำนวนมากและยาเสริมพลังต้องพกไปให้พอ กล่องหยกก็ต้องซื้อสักหน่อยใช้สำหรับบรรจุเห็ดหูหนูเน่า ในหุบเขาร้อยหนอนแมลงก็มีหญ้าวิญญาณอยู่บ้าง ถ้าโชคดีได้พบสามารถเด็ดกลับมาได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี
แหล่งน้ำในหุบเขาร้อยหนอนแมลงทั้งหมดไม่ปลอดภัยต้องซื้ออาวุธเวทสำหรับบรรจุน้ำโดยเฉพาะ โชคดีที่ของสิ่งนี้มีราคาไม่แพง ศิลาวิญญาณสิบกว่าก้อนสามารถซื้อน้ำเต้าใส่น้ำได้หนึ่งใบ เพียงพอจะบรรจุน้ำสะอาดได้หนึ่งสระ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าดื่มได้ครึ่งปี ถึงจะนำออกมาอาบน้ำในหุบเขาร้อยหนอนแมลงทุกวันก็เพียงพอ
เสบียงกรังหลากหลายชนิดก็ต้องพกไปให้พอ ครั้งที่แล้วนางพกไปแค่พวกแป้งทอด กินนานๆ แล้วรู้สึกจืดชืดไม่มีรสชาติ อีกทั้งรสชาติของยางดอาหารยังย่ำแย่ กินมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจะสามารถงดอาหารได้นาน ก็ยังต้องรับประทานอาหาร เพียงแต่จำนวนครั้งในการกินอาหารน้อยลง และเพิ่มคุณภาพอาหารเท่านั้น ดังนั้นเพื่อไม่ต้องเผาหนอนแมลงยักษ์ในหุบเขาร้อยหนอนแมลงกิน นางจึงต้องพกพาของกินไปให้เพียงพอ
ในมือยังมีศิลาวิญญาณอีกสี่ร้อยกว่าก้อน จึงไม่ได้ใช้อย่างตระหนี่เกินไป จินเฟยเหยาเตรียมตัวให้พร้อมในคราวเดียว ถ้าหาศิลาวิญญาณได้ไม่ถึงห้าหกพันก้อนก็ไม่คิดจะกลับมา
เช้าวันที่สอง นางพกพาสิ่งของพร้อมสรรพ ก็เดินทางเข้าไปในหุบเขาร้อยหนอนแมลง เริ่มค้นหาเห็ดหูหนูเน่า เริ่มกิจกรรมพารวยโดยการล่อตะขาบเหล็กออกมาฆ่า