คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 217 เทพแห่งการกิน
จินเฟยเหยาถูกเมี่ยวอวี่เจินเหรินฉุดลากมาอย่างกระตือรือร้น ส่วนจู๋ซวีอู๋ถูกไล่ไปอยู่อีกด้านหนึ่ง นางบอกว่าต้องการคุยเรื่องผู้หญิงๆ กับหลานสาว ไม่อยากให้บุรุษฟัง
พวกนางก็สนทนากัน แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเลยสักนิด เมี่ยวอวี่เจินเหรินน้ำเสียงอ่อนโยน ถามถึงชาติกำเนิดของจินเฟยเหยาไม่หยุด ก่อนหน้านี้ฝึกบำเพ็ญที่ใด รู้จักกับจู๋ซวีอู๋ได้อย่างไร
ที่จริงนี่ไม่ใช่ความลับอะไร นอกจากเคล็ดวิชาที่ตนเองฝึกบำเพ็ญ เคยไปโลกเผ่ามารแล้วและมีความเกี่ยวพันกับจอมมารหลงแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนสามารถบอกได้
ทว่าจินเฟยเหยาไม่ชอบวิธีปั้นหน้ายิ้มแย้มจากนั้นหลอกถามอ้อมๆ เหมือนตนเองเป็นคนปัญญาอ่อนแบบนี้ ถ้าอยากรู้ถามมาตรงๆ ก็ได้ ต้องวกไปวนมา
ดังนั้นตลอดทางนางจึงยิ้มบางๆ ตอบคำถามอย่างคลุมเครือ ทั้งยังแสดงสีหน้าเขินอายออกมาบ่อยๆ ไม่ตอบคำถามตรงๆ ทำให้เมี่ยวอวี่เจินเหรินร้อนใจอย่างยิ่ง
เมี่ยวอวี่เจินเหรินก็มิใช่คนโง่ที่จะคิดว่าจินเฟยเหยาเขินอายจริงๆ ผู้บำเพ็ญเซียนที่สามารถเจี๋ยตันได้ ผู้ใดมิใช่ตะเกียงพร่องน้ำมัน[1]บ้าง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่สำนักบ่มเพาะออกมา ขณะอยู่ขั้นสร้างฐานก็ต้องออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ออกไปผจญโลกภายนอก ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่ราวกับคุณหนูใหญ่ในโลกมนุษย์ ขี้อายและขี้ขลาด จะไปหาได้จากที่ใด ไปหลอกผีเถอะ
ถึงจะคิดแบบนี้ ทว่านางเป็นคนของจู๋ซวีอู๋ เมี่ยวอวี่เจินเหรินไม่เหมาะจะใช้วิธีบังคับถาม ฉายาเด็กนรกตัวร้ายของจู๋ซวีอู๋ ไม่ได้ตั้งเล่นๆ ทว่าใช้ซากศพของผู้บำเพ็ญเซียนกองสุมขึ้นมา หากเคล็ดวิชาเสวียนเทียนไม่อหังการขนาดนี้ ผู้ใดจะยอมมีลักษณะเป็นเด็กน้อยไปชั่วชีวิต ฝึกบำเพ็ญคู่ไม่ได้และไม่อาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้
ถึงแม้เมี่ยวอวี่เจินเหรินจะบรรลุขั้นกำเนิดใหม่เร็วกว่าจู๋ซวีอู๋ ทว่ายังกริ่งเกรงความแข็งแกร่งของเขา นอกจากศิษย์พี่เจ้าสำนัก ผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่เหล่านี้ไม่มีใครมีความเชื่อมั่นมากนักว่าในด้านความแข็งแกร่งจะสามารถสะกดข่มจู๋ซวีอู๋ได้
จินเฟยเหยาและเมี่ยวอวี่เจินเหรินจึงต่อยหมัดไทเก๊ก[2]จนมาถึงในงานเลี้ยงเช่นนี้เอง
งานเลี้ยงจัดบนทะเลสาบซึ่งกินพื้นที่ร้อยหมู่ กลางทะเลสาบมีศาลาริมน้ำแบบเปิดโล่งขนาดใหญ่ มีทางเดินไม้ระแนงยาวเหยียดสี่สายอยู่บนผิวทะเลสาบเชื่อมศาลาริมน้ำกับริมฝั่ง
บนศาลาริมน้ำจัดวางโต๊ะเตี้ยแกะสลักตัวยาวห้าหกสิบตัว ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณยี่สิบกว่าคนกำลังวิ่งไปมาอยู่ในศาลา ยกสุรา น้ำ และอาหารอย่างต่อเนื่อง
จินเฟยเหยาได้กลิ่นหอมมาแต่ไกล ใจที่แขวนค้างมาตลอดจึงวางลงได้ นึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เหล่านี้เพียงแค่แสร้งทำท่าทาง ดื่มสุรานิดคู่กับผลไม้หน่อยก็ไล่กลับไป
พอนึกถึงสุราคู่กับผลไม้ นางก็รู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะ รสชาติแบบนั้นไม่ได้ให้คนกินจริงๆ ไม่เข้าใจผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้เลย องุ่นพวงหนึ่งก็สามารถกินคู่กับสุราได้หลายชั่วยาม ต้องตากลมกลับยังมีอารมณ์ท่องบทกวี กระเพาะจะไม่สบายเอานะ?
เมี่ยวอวี่เจินเหรินฉุดลากจินเฟยเหยามาตลอด ขนาดมาถึงศาลาริมน้ำก็ไม่ยอมปล่อยมือ ลากนางมานั่งหน้าโต๊ะเตี้ยใกล้ๆ จู๋ซวีอู๋กลับหาตำแหน่งที่อยู่ไกลจากจินเฟยเหยานั่งลง หลังจากทุกคนนั่งแล้ว อาหารร้อนกรุ่นนานาชนิดยกขึ้นโต๊ะ
พอจินเฟยเหยาเห็นสุราอาหารบนโต๊ะเหล่านี้ก็ตกตะลึงทันที
สุราใสในถ้วยหยกเศียรมังกรที่มีหูจับสองข้าง มีปราณวิญญาณสีขาวชั้นหนึ่งล่องลอย ปราณวิญญาณเหล่านี้ยังเข้มข้นกว่าในสุราร้อยวิญญาณมากนัก จากนั้นมองอาหารบนโต๊ะ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีปราณวิญญาณชั้นหนึ่งล่องลอย แม้แต่ถาดขาสูงบนโต๊ะ ผลไม้ที่วางอยู่ก็มีปราณวิญญาณสีสันสดใสกระพริบ ส่ายไหวจนทำให้คนตาพร่าพราย มองเห็นไม่ชัดว่าเป็นผลไม้อะไร
บนโต๊ะเตี้ยแต่ละตัวจัดวางอาหารสิบกว่าชนิด ไม่ต้องเอ่ยถึงเนื้อชั้นดีที่มีปราณวิญญาณล่องลอยเหล่านั้น อาหารจานผักรสชาติอ่อนๆ สามจาน ก็มีปราณวิญญาณเล็กน้อยไหลเวียนในจาน
จินเฟยเหยามองดูอาหารเหล่านี้แล้วตะลึงงัน ไม่เข้าใจว่าเป็นเนื้อสัตว์ชนิดใด คิดไม่ถึงว่าจะมีปราณเซียนมากขนาดนี้ ทั้งยังทำให้มันไม่ลอยกระจาย ครุ่นคิดดู ตอนนั้นในบ้านของปู้จื้อโหยว อาหารเหล่านั้นดูเหมือนไม่เห็นมีปราณวิญญาณลอยออกมา หรือแม้แต่วิธีปรุงอาหารระหว่างทั้งสองเผ่าก็แตกต่างกัน?
เมี่ยวอวี่เจินเหรินเห็นท่าทางของนาง น่าจะไม่เคยกินอาหารแบบนี้จึงเอ่ยกระซิบว่า “ก่อนหน้านี้เสี่ยวเหยาไม่เคยกินอาหารแบบนี้หรือ?”
“ใช่ ก่อนหน้านี้อาหารที่ข้าเคยกิน ต่อให้มีราคาแพงก็ไม่เคยเห็นปราณวิญญาณเข้มข้นจนลอยอยู่เหนืออาหาร” จินเฟยเหยาพยักหน้าตอบรับ
เมี่ยวอวี่เจินเหรินยิ้มแย้มพลางบอกว่า “อาหารเหล่านี้เหมือนกับในโรงอาหาร เพียงแต่ใช้ฟืนธรรมดาทำอาหาร พลังวิญญาณที่มีเป็นของตัววัตถุดิบอาหารเอง อาหารเหล่านี้ทุกอย่างผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมใช้เพลิงแท้ปรุงขึ้นนอกจากสามารถรักษาปราณวิญญาณของตัวอาหารได้ ยังสามารถทำให้พลังวิญญาณเข้มข้นเหมือนหลอมยา อาหารแต่ละอย่างเท่ากับยาขั้นสามขั้นสี่หนึ่งเม็ด ทั้งยังไม่ต้องนั่งสมาธิดูดซับ ขอเพียงรับประทานลงไปก็สามารถดูดซับเองได้”
“ยอดเยี่ยมขนาดนี้เชียว ถ้ากินทุกวันพลังการบำเพ็ญเพียรมิสูงพรวดพราดหรือ!” จินเฟยเหยามองเมี่ยวอวี่เจินเหรินอย่างประหลาดใจ รู้สึกว่าตนเองสามารถมาสำนักตงอวี้หวงได้ช่างดียิ่งนัก ที่นี่เตรียมไว้ให้ตนเองโดยเฉพาะแท้ๆ
เมี่ยวอวี่เจินเหรินถูกคำพูดของนางทำให้ขบขัน “ไหนเลยจะดีขนาดที่เจ้าว่า อาหารเหล่านี้ต้องสิ้นเปลืองพลังเยอะ ยากกว่าหลอมยามากนัก ปกติมีเพียงแค่วันเกิดของผู้อาวุโสหรือเจ้าสำนัก หรือไม่ก็ตอนมีงานสำคัญในสำนักจึงจัดทำออกมา ปกติใครจะมีเวลาว่างมาสิ้นเปลืองพลังมากมายทำสิ่งนี้”
“ไม่ใช่กินได้ทุกวันหรือ…” จินเฟยเหยารู้สึกหมดหวังอย่างที่สุดทันที นึกว่ามีอาหารเหล่านี้ให้กินทุกวันเสียอีก
แต่พอนางคิดดูอีกที ดูเหมือนพวกเขาไม่มีอะไรทำก็จัดงานเลี้ยง ต่อให้ไม่มีอาหารดีขนาดนี้ อาหารในโรงอาหารก็ได้ มีอาหารแบบสำเร็จรูปดีกว่าทำเองมากนัก ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงรู้สึกยินดี มองไปรอบด้านอย่างวาดหวัง ในใจอดร้อนรนไม่ได้ เหตุใดยังไม่เริ่มประทานอีก นั่งอยู่เฉยๆ ทำไม
เวลานี้เจ้าสำนักชูถ้วยหยกเศียรมังกรที่มีหูจับสองข้างเริ่มกล่าวกับทุกคน ความสนใจของจินเฟยเหยาทั้งหมดรวมอยู่ที่อาหารบนโต๊ะ นางไม่ได้ฟังคำพูดตามมารยาทสังคมของเจ้าสำนักเข้าหูเลยสักประโยค เพียงแต่ครุ่นคิดว่าอีกสักครู่จะกินอาหารจานไหนก่อนดี
จู๋ซวีอู๋ก็ไม่ได้ฟังคำพูดของศิษย์พี่เจ้าสำนัก เห็นจินเฟยเหยาที่เพ่งความสนใจทั้งหมดไปจ้องมองอาหารบนโต๊ะ เขาก็อยากหัวเราะ
“ขอให้เจ้าสำนักเข้าสู่ขั้นแปลงจิตในเร็ววัน” ทันใดนั้น ทุกคนก็ชูจอกสุราบนโต๊ะขึ้นในเวลาเดียวกัน เอ่ยแสดงความยินดีอย่างพร้อมเพรียง จินเฟยเหยาได้สติคืนมา ก็รีบชูจอกสุราขึ้นและดื่มสุราในจอกรวดเดียวหมด นางจุปาก นี่สุราอะไร ชิมแล้วบอกไม่ได้ สำหรับจินเฟยเหยาแล้ว สุรานั้นเพียงดื่มเป็นแต่จำแนกชนิดไม่ได้
ในที่สุดตอนนี้ก็รับประทานอาหารได้แล้ว นางหยิบตะเกียบขึ้น ในดวงตามีประกายแสงวาบผ่าน
เห็นจินเฟยเหยายื่นตะเกียบไปคีบเนื้อกวางเดือนห้าย่างใบส้มหอมๆ ชิ้นหนึ่ง เมี่ยวอวี่เจินเหรินก็หันหน้ามาหยิบองุ่นร้อยน้ำผึ้งซึ่งมีห้าแสงสิบสีเม็ดหนึ่งส่งเข้าปากเบาๆ ลิ้มรสอย่างละเอียด นางหันหน้ามามองจินเฟยเหยา คิดจะถามว่านางรู้สึกอย่างไรกับรสชาติเนื้อกวาง
ทว่าเมี่ยวอวี่เจินเหรินกลับเห็นจินเฟยเหยาวางสองมือบนต้นขา ไม่ได้กำลังกินอาหาร เมี่ยวอวี่เจินเหรินจึงยิ้ม นึกว่าจินเฟยเหยาหลงเสน่ห์เนื้อกวางจนกลายเป็นแบบนี้ กำลังคิดจะถามไถ่พลันรู้สึกไม่ถูกต้อง นางมองบนโต๊ะของจินเฟยเหยา พบว่าบนโต๊ะของจินเฟยเหยาเหลือเพียงจานเปล่า แม้แต่เปลือกหอมสักชิ้นก็ไม่มี จานหยกแกะสลักเหล่านั้น เกลี้ยงเกลาจนเป็นประกายวิบวับราวกับเคยล้างมาแล้ว
“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เมี่ยวอวี่เจินเหรินมองโต๊ะอันว่างเปล่า รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง เมื่อครู่ยังมีอาหารเต็มโต๊ะชัดๆ เหตุใดชั่วเวลากินองุ่นเม็ดเดียว แม้แต่จานก็ล้างจนสะอาดแล้ว
จินเฟยเหยายิ้มให้เมี่ยวอวี่เจินเหริน จากนั้นทำท่าทางน่าสงสาร ใช้มือหยิบตะเกียบวาดวงกลมในจานอันว่างเปล่า นางที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้บำเพ็ญเซียนโดยบนโต๊ะว่างเปล่า ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของคนอื่นๆ ศิษย์ที่ยกอาหารขึ้นโต๊ะก็ตะลึงงัน หลังสงสัยอยู่ครู่หนึ่งจึงเก็บจานเปล่าบนโต๊ะแล้วยกอาหารมาขึ้นโต๊ะใหม่อีกครั้ง
ศิษย์คนนี้เพิ่งวางน้ำแกงลิ้นนกเฟิ่งซีเชวี่ยบนโต๊ะ ก็เห็นจินเฟยเหยายกชามขึ้นวางลงตรงปากดื่มอึกๆ เมื่อวางชามลง ในชามก็ไม่มีอะไรเหลือเลย
“อา!” ศิษย์คนนี้อดร้องลั่นไม่ได้
“ตกใจทำไม เจ้าเพียงรับหน้าที่ยกอาหารขึ้นโต๊ะก็พอ” ฉือชางเจินเหรินขมวดคิ้วตวาดเบาๆ
ไม่รู้จักกฎระเบียบจริงๆ พวกผู้บำเพ็ญเซียนอิสระไม่เคยกินอาหารดีๆ ท่าทางการกินหยาบคายขนาดนี้ก็ช่วยไม่ได้ ตกใจหน้าถอดสีแบบนี้ หากแพร่ออกไปยังนึกว่าสำนักตงอวี้หวงของข้าแม้แต่ข้าวก็ไม่เลี้ยง
“ขอรับ” ศิษย์คนนี้ได้สติคืนมา ไม่เอ่ยมากความอีก นำอาหารที่ส่งมาวางบนโต๊ะของจินเฟยเหยา
จัดวางอาหารใหม่อีกครั้ง เขาเพิ่งลุกขึ้นยืนก็เห็นเบื้องหน้าปรากฏเงาตกค้างหลายสาย อาหารสิบกว่าอย่างบนโต๊ะหมดในพริบตา ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นหลอมรวมเบื้องหน้ากำลังมองเขาด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ราวกับไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิด
ทว่าจานว่างเปล่าที่ส่องประกายบนโต๊ะพวกนั้นกลับเป็นความจริงที่โต้แย้งไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมผู้นี้ใช้เวลาไม่ถึงสิบอึดใจก็กินอาหารเหล่านี้จนหมด อีกทั้งศิษย์คนนี้สงสัยอย่างหนักว่าจานทั้งหมดถูกนางเลียแล้ว ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีอาหารติดอยู่เลยและเกลี้ยงเกลาถึงปานนี้
งานเลี้ยงที่เดิมทียังครึกครื้นเงียบลงทันที ทุกคนมองจินเฟยเหยาอย่างตกตะลึง ขนาดฉือชางเจินเหรินยังนิ่งอึ้ง
จินเฟยเหยาหยิบตะเกียบขึ้นวาดวงกลมในจานเปล่าอีกครั้ง เอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “ไม่มีแล้วหรือ?”
ศิษย์ยกอาหารมองฉือชางเจินเหรินอย่างหวาดกลัว ทว่าสายตาของฉือชางเจินเหรินกลับมองไปยังจู๋ซวีอู๋ จู๋ซวีอู๋คีบอาหารบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อนราวกับไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยง กินอาหารหนึ่งคำดื่มสุราหนึ่งอึก กำลังลิ้มชิมอย่างละเอียดและคร้านจะเงยหน้าขึ้น
ฉือชางเจินเหรินได้แต่เอ่ยเสียงหนัก “ยกอาหารมาต่อ”
ทว่าในที่ลับ เขารีบถ่ายทอดเสียงบอกศิษย์คนนี้ “เจ้ารีบไปบอกหลี่ซือ ให้เขารีบเอาวัตถุดิบอาหารทั้งหมดมาปรุงอาหารออกมา ที่นี่มีตัวกินจุ อย่าให้เสียหน้าสำนักตงอวี้หวงเรา นางกินได้เท่าไร ข้าจะให้นางกินเท่านั้น ดูสิว่ากระเพาะนางหรือโกดังของตำหนักเซียวเทียนจะใหญ่กว่ากัน!”
“ขอรับ” ศิษย์ยกอาหารรีบล่าถอยออกไป ให้ศิษย์คนอื่นๆ รีบยกผลไม้มาขึ้นโต๊ะ นี่คือส่วนที่คำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเกรงว่ามีคนมากะทันหันแล้วอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงเตรียมไว้สามชุด คิดไม่ถึงว่าตอนนี้คนอื่นเพิ่งกินคำเดียว ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ปรากฏตัวขึ้นกลางคันคนนี้ กินหมดไปแล้วสองชุด ถ้าไม่ทำเพิ่มคงไม่ไหว
“ทุกคนเชิญรับประทาน” บรรยากาศในงานเลี้ยงเงียบเกินไป ทุกคนต่างมองโต๊ะที่ว่างเปล่าของจินเฟยเหยา ฉือชางเจินเหรินได้แต่ยิ้มเรียกทุกคน ตนเองฉลองวันเกิดอยู่ดีๆ ถ้าทำให้งานเงียบกริบจะไม่เป็นมงคล
ราวกับพบว่าทำแบบนี้ไม่ดีนัก ทุกคนจึงรั้งสายตากลับมา พูดคุยและหัวเราะเบาๆ ส่วนเมี่ยวอวี่เจินเหรินราวกับสงสัยจินเฟยเหยาอย่างยิ่ง จึงนำอาหารของตนเองจานหนึ่งให้นาง “ความอยากอาหารของเสี่ยวเหยาดีจริงๆ ไม่เคยกินอาหารแบบนี้สินะ จะกินเร็วก็เป็นเรื่องปกติ เจ้ากินจานนี้ก่อนเถอะ อีกสักครู่อาหารอื่นๆ ก็มา”
“ขอบคุณเจินเหริน” จินเฟยเหยารับอาหารมา แล้วตบใส่ใบหน้า ภายในชั่วพริบตาเมื่อนางวางจานหยกลง ในนั้นก็เกลี้ยงเกลาแล้ว
“ยอดเยี่ยมยิ่ง…” เมี่ยวอวี่เจินเหรินไม่รู้ว่าสมควรจะบรรยายอย่างไร ได้แต่เอ่ยออกมาสามคำ
…………………………..
[1] ตะเกียงพร่องน้ำมัน หมายถึง ตัวก่อเรื่อง รับมือได้ยาก
[2] ต่อยหมัดไทเก๊ก ในด้านการพูดจา หมายถึง พูดอ้อมไปมาเลี่ยงจุดสำคัญ หรือยื้อยุดกันไปมา