คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 219 กระต่ายมานี่
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเจ้าสำนักเปลี่ยนแปลงประเพณีที่สำนักตงอวี้หวงสืบทอดมาหลายพันปี
ยามราตรี จินเฟยเหยาที่มีน้ำชาเต็มท้องและใบหน้าอมทุกข์ถูกศิษย์ขั้นสร้างฐานคนหนึ่งของตำหนักเฟิงหลิ่วส่งกลับมาตำหนักซวีชิง นางเดินเข้าไปในตำหนักซวีชิงอย่างมีโทสะ เห็นจู๋ซวีอู๋ก็บอกความทุกข์ที่ตนเองประสบมาให้ฟัง
“พี่จู๋ เฉียนจงเหวินคนนี้ตระหนี่เกินไปแล้ว งานเลี้ยงอาหารค่ำ นี่คืองานเลี้ยงอาหารค่ำนะ คิดไม่ถึงว่าเขาจะแขวนหินแสงราตรีให้คนเกือบร้อยคนนั่งดื่มชาใต้แสงจันทร์โดยไม่มีแม้แต่ขนมแกล้มน้ำชา”
“อุ๊บส์” จู๋ซวีอู๋หัวเราะออกมา ตบเท้าแขนบัลลังก์และเช็ดน้ำตาที่หัวเราะจนไหลออกมา “เขาถึงกับเปลี่ยนงานเลี้ยงอาหารค่ำเป็นงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อป้องกันเจ้า”
“น่าโมโหยิ่งนัก อาหารก็ไม่ให้กิน ตั้งกระดานหมากล้อมหลายสิบโต๊ะอยู่มืดๆ ดวงอาทิตย์ลับภูเขาแล้วยังไม่ให้คนกินอาหารค่ำ ท้องหิวโหยยังจะเดินหมากล้อมอะไรอีก ข้าเห็นว่าใบชาของเขาไม่เลว ชงแล้วมีปราณวิญญาณอยู่บ้าง ข้าจึงกินใบชาทั้งหมดดูสิว่าเขาจะประหยัดได้หรือไม่” จินเฟยเหยาหาเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลง ส่งเสียงฮึและเอ่ยอย่างกระหยิ่มยินดี
จู๋ซวีอู๋ปิดปากหัวเราะและเอ่ยถาม “ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานขึ้นไปไม่ต้องกินอาหาร เจ้ากินใบชาของเขาไปเท่าใด?”
“หลายร้อยถ้วย ศิษย์ของเขาเพิ่งนำชามา ข้าก็ดื่มทั้งชาทั้งน้ำลงไปจนหมด จากนั้นถ้วยชาก็ว่างเปล่า เขาได้แต่ใส่ใบชาให้ข้าอีก เจ้าคนที่เล่นหมากล้อมกับข้าก็ก้มศีรษะตลอดไม่รู้ว่าหัวเราะอะไร สุดท้ายยังแพ้ข้าอีก” จินเฟยเหยาลูบท้อง วันนี้ดูเหมือนดื่มน้ำเยอะไปหน่อย ตบท้องแล้วดังปุๆ
จู๋ซวีอู๋ก็หัวเราะขึ้นอีก ทำให้จินเฟยเหยาไม่พอใจอย่างยิ่ง “พี่จู๋ ท่านดีใจอะไร ถ้าท่านยังหัวเราะอีกก็เลี้ยงข้าวข้าเลย”
“พอแล้ว กินของตนเองเถอะ ในถุงเฉียนคุนของเจ้ายังมีเนื้อวัวเกล็ดเหลืองของจิ่วเมิ่งเจินเหรินอยู่มิใช่หรือ ถ้าคิดว่าไม่มีรสชาติ ข้าจะให้เกลือแก่เจ้านิดหน่อย สิ่งนี้น่าจะพอ ถึงกระเพาะใหญ่เทียมฟ้าก็ไม่มีปัญหา” พอจู๋ซวีอู๋ได้ฟัง ก็รีบเก็บรอยยิ้มและเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“เกลือ? ท่านคิดจะให้ข้าเค็มตายหรือ บนพื้นคืออะไร เหตุใดจึงโยนไว้บนพื้น” จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขา พบว่าบนบัลลังก์ของเขาและบนพื้นทุกแห่งหนล้วนเต็มไปด้วยกระดาษหลากสีสัน จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
จู๋ซวีอู๋อดยิ้มขึ้นอีกครั้งไม่ได้ เอ่ยพลางกุมท้องและชี้ไปยังกระดาษบนพื้น “พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนที่เคยส่งบัตรเชิญมาก่อนหน้านี้ส่งมา พวกเขากลัวว่าถ้าใช้นกถ่ายทอดเสียงแล้วข้าจะลืม ดังนั้นใช้กระดาษเขียนส่งมาก็กลัวว่าข้าจะไม่เห็น”
“พี่จู๋มีวาสนาดีอย่างยิ่ง มีคนมากมายปานนี้เขียนจดหมายให้ท่าน เชิญข้าไปกินข้าวใช่หรือไม่? ถ้าท่านไปต้องพาข้าไปด้วยนะ” จินเฟยเหยานึกถึงงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเจ้าสำนักก็อารมณ์ดีขึ้นทันที
“กินอะไร พวกนี้เป็นกระดาษที่พวกเขาบอกยกเลิกงานเลี้ยง เจ้ากินในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเจ้าสำนักมากเกินไป หลังจากพวกเขากลับไปจึงยกเลิกงานเลี้ยงทั้งหมดทันที ตอนนี้มีเพียงไม่กี่คนที่เตรียมตัวแต่งงานแล้วยังไม่ได้ส่งจดหมายมา” จู๋ซวีอู๋หยิบกระดาษที่นั่งทับขึ้นมาใบหนึ่ง มองเนื้อหาบนนั้นแล้วโยนทิ้ง
จินเฟยเหยาตบเก้าอี้แล้วลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตระหนก “อะไรนะ! ยกเลิกงานเลี้ยงทั้งหมด เช่นนั้นข้ามาที่นี่จะมีความหมายอะไร!”
“อย่าร้อนใจ ไม่มีงานเลี้ยงยังมีโรงอาหาร ศิษย์ขั้นฝึกปราณนับพันคน เป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิกโรงอาหาร หลายวันนี้เจ้าก็อาศัยอยู่กับข้า พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปกินดีๆ ที่โรงอาหารสักมื้อ ข้าจะให้ศิษย์พี่ที่อยู่ว่างๆ ช่วยสร้างที่พักของเจ้า ไม่กี่วันก็เข้าไปอยู่ได้” จู๋ซวีอู๋ฉุดดึงนางนั่งลง เอ่ยพลางกลั้นยิ้ม
จินเฟยเหยาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ส่ายศีรษะเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ข้าพกบ้านติดตัว ท่านพาข้าไปก็พอ ข้าลืมสถานที่พักของศิษย์พี่ไป๋ ตอนกลางวันหาไม่เจอ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตอนกลางคืนที่มืดมิด”
“เอาเถอะ อย่าเสียใจไปเลย พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักเส้นทางไปโรงอาหาร” จู๋ซวีอู๋เอ่ยยิ้มๆ ครู่หนึ่งเขาก็นำจินเฟยเหยาเหาะมาข้างบ้านของไป๋เจี่ยนจู๋ ครั้งนี้พวกเขาสองคนไม่ได้ไปทำลายการป้องกันของผู้อื่น ทว่าถือหินแสงราตรี ค้นหาสถานที่เหมาะสมรอบด้าน
จินเฟยเหยาค้นหารอบหนึ่ง สถานที่อื่นๆ พื้นไม่ค่อยราบเรียบยังต้องไปจัดการปรับอีกยุ่งยากเกินไป จึงตัดสินใจอาศัยอยู่ติดกับสนามหญ้าข้างการป้องกันของไป๋เจี่ยนจู๋ เป้าหมายของนางคือน้ำพุร้อนแห่งนั้น ว่างๆ คิดจะหยิบยืมใช้ สุดท้ายก็ตกอยู่ในเขตแดนของตนเอง บุรุษต้องแช่น้ำพุร้อนทำไม ไปลงน้ำเย็นในทะเลสาบก็พอ ทั้งยังปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิมได้
นางหยิบตึกหลิงหลงออกมาด้วยเจตนาไม่ดี จงใจวางด้านหลังป่าไผ่ข้างน้ำพุร้อน ยืนอยู่บนตึกสามารถมองเห็นทิวทัศน์ในน้ำพุร้อนได้ชัดเจน คิดจะใช้วิธีนี้บีบให้ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่กล้าอาบน้ำและมอบน้ำพุร้อนออกมา
ไป๋เจี่ยนจู๋กำลังนั่งอยู่ในห้องฝึกบำเพ็ญ พลันรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวนอกการป้องกันจึงเดินออกจากห้องฝึกบเพ็ญ เพิ่งก้าวออกจากบ้าน เขาก็เห็นตึกเล็กๆ ตั้งอยู่ด้านข้าง ทั้งยังอยู่ข้างน้ำพุร้อนพอดี ไป๋เจี่ยนจู๋ตะลึงงันจึงนึกได้ว่าซือจู่เคยบอกไว้ว่าจะให้จินเฟยเหยามาอาศัยอยู่ข้างบ้านของตนเอง
หรือว่ามาคืนนี้เลย!
ไป๋เจี่ยนจู๋มองไปทางตึกที่กั้นด้วยเขตป้องกัน เห็นจินเฟยเหยากำลังอยู่กับจู๋ซวีอู๋ด้านหน้าหอ กรีดมือวาดเท้าพูดอะไรอยู่จริงๆ อีกทั้งยังเห็นจินเฟยเหยาชี้น้ำพุร้อนอย่างยินดี ส่วนจู๋ซวีอู๋ก็กล่าววาจาด้วยใบหน้ายิ้มชั่วร้าย เขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีทันที เกรงว่าคงใช้น้ำพุร้อนอีกไม่ได้แล้ว ปิศาจร้ายสองตัวนี้ เหตุใดตอนกลางวันจึงไม่ท้องแตกตายไปเสียนะ
ไม่อยากดูต่อไปจริงๆ ไป๋เจี่ยนจู๋หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องฝึกบำเพ็ญและปิดประตูอย่างแรง ตอนนี้ไม่มีงานเลี้ยงมารบกวนตนเองแล้วในที่สุดก็ตั้งใจฝึกบำเพ็ญได้เสียที ในเมื่อข้างๆ มีปิศาจมาอาศัยอยู่เช่นนั้นก็ปิดด่านกักตนสักสิบปีเถอะ
เช้าตรู่วันที่สอง จินเฟยเหยาวิ่งมาหน้าการป้องกันของไป๋เจี่ยนจู๋ หยิบผลเซียงหยวนที่มีสีทองและหอมหวานออกมาผลหนึ่ง นางโผล่ศีรษะออกมาดูก่อน ห้องฝึกบำเพ็ญเงียบกริบ ท่าทางไป๋เจี่ยนจู๋ยังฝึกบำเพ็ญอยู่จึงวางใจ
นางนั่งยองๆ ลงข้างการป้องกัน ปอกเปลือกผลเซียงหยวน กลิ่นผลไม้หอมหวานแผ่กระจายออกไป ยามนี้พั่งจื่อและต้านิวโผล่หัวออกมาดูและใช้ภาษากบพูดคุยกันเบาๆ แล้ววิ่งกลับไปยังตึกหลิงหลง รออยู่ครู่หนึ่ง ในแปลงสมุนไพรของไป๋เจี่ยนจู๋ก็มีกระต่ายตัวหนึ่งโผล่หัวออกมา มันมองจินเฟยเหยาอย่างระแวดระวัง สายตาตกลงบนผลเซียงหยวน
“มาๆ ตรงนี้มีผลเซียงหยวนอร่อยๆ รีบมาสิ” จินเฟยเหยาหยิบผลเซียงหยวนชิ้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง ล่อหลอกกระต่ายตัวอ้วนท้วน
กระต่ายเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าไร้เจตนาร้ายของจินเฟยเหยา แล้วมองผลเซียงหยวนเบื้องหน้าอีกครั้ง ในที่สุดก็ทนความยั่วยวนของผลเซียงหยวนไม่ได้ เข้ามาใกล้นอกการป้องกันอย่างช้าๆ
ในเวลานี้เอง พั่งจื่อและต้านิวก็วิ่งมา ต้านิวแบกหม้อส่วนพั่งจื่อแบกฟืนมัดหนึ่งวิ่งมาด้านหลังจินเฟยเหยาจ้องมองกระต่ายราวกับพยัคฆ์จับจ้องเหยื่อ กระต่ายอ้วนถูกสีหน้ากินคนของพวกมันทำให้ตกใจ หมุนตัววิ่งเข้าไปในแปลงสมุนไพรและหายไปโดยไร้ร่องรอย
“พวกเจ้าสองตัวทำอะไร! กระต่ายตกใจหนีไปแล้ว แบกหม้อมาจะมีประโยชน์อะไร!” เห็นกระต่ายที่จะได้มาอยู่ในมือหนีไป จินเฟยเหยาก็ด่าทอเจ้าสองตัวนี้อย่างเดือดดาล
พั่งจื่อและต้านิวมองนางด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ คิดจะช่วยเหลือกลับถูกด่าทอ
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ไม่รู้ว่าไป๋เจี่ยนจู๋ยืนอยู่นอกห้องฝึกบำเพ็ญตั้งแต่เมื่อใด ไพล่สองมือไว้ข้างหลังและมองดูนาง
คิดไม่ถึงว่าไป๋เจี่ยนจู๋กำลังแอบมอง จินเฟยเหยาสงบจิตใจเก็บผลเซียงหยวนบนพื้นราวกับไม่มีอะไร แล้วยัดใส่ปากเคี้ยวพลางเอ่ย “ข้ากำลังกินผลไม้ ไม่ทันระวังทำร่วงพื้นกำลังคิดจะหยิบ”
ยังเหมือนเดิมจริงๆ พออ้าปากก็พูดโกหก คิดจะฉวยโอกาสที่ข้าไม่ทันสังเกต ขโมยกระต่ายของข้าไป ไป๋เจี่ยนจู๋มองนางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่ในใจกลับเดือดดาล
เมื่อค่ำวานนี้เขาเตรียมตัวปิดด่านกักตนสิบปี ไม่คิดจะสนใจว่าข้างบ้านมีใครมาอยู่ ทว่ากลับรู้สึกจิตใจไม่สงบ ตลอดคืนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ ทว่าผุดลุกผุดนั่งอยู่ในห้องฝึกบำเพ็ญ ใช้การรับรู้สังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านตลอดเวลา เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ฟ้าเพิ่งสว่างสลัวรางก็พบว่าจินเฟยเหยาปรากฏตัวขึ้นด้านนอก
ลดความระแวดระวังลงไม่ได้เลยจริงๆ อาไตเกือบจะถูกจับไปกินแล้ว
ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่เปิดโปงนาง เพียงไพล่มือเอ่ยถามดังเดิม “เจ้ากินอาหารได้ประหลาดยิ่ง ชอบกินหน้าประตูบ้านคนอื่น”
“เจ้าหมอนี่ยังแค้นอยู่” จินเฟยเหยาตำหนิในใจ
ทันใดนั้นนางพลันหัวไวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “ข้ามาหาศิษย์พี่ไป๋จริงๆ นั่นแหละ เกรงว่าท่านกำลังฝึกบำเพ็ญดังนั้นไม่กล้ารบกวนท่าน จึงรออยู่ตรงประตูครู่หนึ่งกำลังคิดจะกลับท่านก็มาพอดี”
“มาหาข้ามีธุระอะไร?” ไป๋เจี่ยนจู๋รู้สึกเหนือความคาดหมาย เห็นท่าทางของนางก่อนหน้านี้ไม่เหมือนมีธุระเลยสักนิด มาขโมยกระต่ายชัดๆ
“เมื่อวานพี่จู๋บอกจะพาข้าไปโรงอาหาร ทว่าก่อนไปนึกได้ว่าวันนี้มีธุระจึงให้ข้ามาหาท่าน ให้ศิษย์พี่พาไปรู้จักเส้นทาง” จินเฟยเหยาแย้มยิ้มสบตากับเขาตรงๆ สุภาพเรียบร้อย ภาพลักษณ์หยาบคายก่อนหน้านี้หายไปจนเกลี้ยง
“จริงหรือ?” ไป๋เจี่ยนจู๋สงสัยอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ ซือจู่กระทำการใดไร้ความอดทน เป็นไปได้ว่าจะโยนเรื่องยุ่งยากนี้ให้ตนเอง
จินเฟยเหยาพยักหน้าตอบรับอย่างมั่นใจ “จริง ไม่เช่นนั้นด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราสองคน ข้าคงไปหาคนอื่นไม่มาหาศิษย์พี่ไป๋หรอก ข้ารู้ว่าท่านมีอคติกับข้าและไม่อยากพบข้า ข้ามาประจบประแจงท่านมิใช่หาความโชคร้ายใส่ตัวหรือ”
คำพูดของนางตรงไปตรงมาเกินไป ทำให้ไป๋เจี่ยนจู๋รู้สึกขัดเขิน ได้แต่ฝืนใจตอบรับ
ไป๋เจี่ยนจู๋พาจินเฟยเหยาและกบสองตัวจากไปไม่นาน จู๋ซวีอู๋ก็คาบใบไผ่เล็กๆ มา ค้นหาอยู่รอบหนึ่งกลับพบว่าจินเฟยเหยาและไป๋เจี่ยนจู๋ไม่อยู่ในบ้านทั้งคู่ ยังนึกว่าพวกเขาสองคนออกไปต่อสู้กันชั่วคราว จึงรีบไปค้นหาสถานที่ซึ่งสามารถต่อสู้กันได้ไปทั่วทุกแห่ง ต่อมาพบกับศิษย์คนหนึ่ง จึงได้ยินว่ามีคนหลายร้อยคนกำลังล้อมวงดูจินเฟยเหยาในโรงอาหาร
“สองคนนี้คืนดีกันเร็วจริงๆ ครู่เดียวเริ่มเป็นมิตรกันแล้ว” จู๋ซวีอู๋รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะไม่รอให้ตนเองพาไปโรงอาหาร นางเข้าใจชัดเจนหรือไม่ว่าเป้าหมายที่มาสำนักตงอวี้หวงคือมาเล่นเป็นเพื่อนเขา ตอนนี้กลับไปอยู่กับไป๋เจี่ยนจู๋ น่าชังเกินไปแล้ว
เขามาถึงตำหนักฉวนฝ่าอย่างเดือดดาล ก็เห็นรอบโรงอาหารที่จุคนนับพันรับประทานอาหารได้มีคนห้อมล้อมอยู่จำนวนมากแต่ไกล
“หลายร้อยคนที่ไหน หลายพันคนล้อมวงดูชัดๆ!” จู๋ซวีอู๋มองผู้บำเพ็ญเซียนที่แน่นขนัดอย่างตกตะลึง ไม่เพียงศิษย์ขั้นฝึกปราณที่กินอาหารที่นี่ แม้แต่ศิษย์ขั้นสร้างฐานและขั้นหลอมรวมจำนวนมากต่างก็มา
……………………………………..