คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 22 ชดใช้เงินมา
แมวบินได้ที่น่ารัก ลิงตาสีทองที่แสนฉลาด ยุงทรายเจ็ดสีขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง ยังมีลูกเสือขาวเทียนซานที่ดุร้าย และแมงกะพรุนแก้วผลึกที่โปร่งใส สัตว์ภูติมากมายหลายหลาก มากจนจินเฟยเหยามองดูไม่หวาดไม่ไหว ขาดแค่น้ำลายไหล
นางนั่งยองๆ อยู่หน้าประตูร้านแห่งหนึ่ง เล่นกับแมวบินได้ขนสีขาวบริสุทธิ์ เท้าสี่ข้างและส่วนหางมีลายสีแดง ดวงตาโตสีเขียวใสแจ๋วน่ารักอย่างที่สุด แมวบินได้ตัวนี้ยังเล็ก ปีกยังไม่งอกออกมา ต้องบรรลุขั้นสองจึงจะงอกปีกเล็กๆ ออกมา พอถึงขั้นสามก็จะสามารถบรรทุกคนบินเหาะเหินได้
ตอนนี้มันมีขนาดเท่าลูกแมวธรรมดา ยื่นอุ้งเท้าเล็กๆ ในกรงเล่นต้นหญ้าในมือจินเฟยเหยาไม่หยุด
ครู่หนึ่ง ภายใต้สายตาอยากจะฆ่าคนของลูกจ้างในร้าน จินเฟยเหยาจึงลุกขึ้นอย่างไม่ยินยอม นางชอบแมวบินได้ตัวนี้จริงๆ เพียงแต่ราคาสองพันแปดร้อยศิลาวิญญาณสูงลิบลิ่ว ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถซื้อได้
นางโยนกิ่งหญ้าทิ้งคอตกอย่างผิดหวัง นางเดินมาถึงบนถนนอย่างไม่ค่อยมีความสุข ทันใดนั้นพบว่าเบื้องหน้ามีบุรุษผู้หนึ่งคุ้นตาอย่างยิ่ง ทว่ากลับนึกไม่ออกชั่วขณะว่าเคยพบที่ใด
บุรุษผู้นั้นอายุยี่สิบกว่าปี ท่าทางสัตย์ซื่อ หน้าตาเที่ยงธรรม สวมชุดยาวแบบจีนสีข้าวสารที่ไม่หรูหรา กำลังเป็นเพื่อนผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสองนางพูดกระเซ้าเย้าแหย่งูเหลือมมังกรทอง จินเฟยเหยาเดินเข้าไปใกล้ทั้งสามคนอย่างช้าๆ กางหูคิดจะแอบฟังคำสนทนาของทั้งสามคน ดูว่าจะนึกออกว่าบุรุษผู้นี้เป็นใครจากบทสนทนาได้หรือไม่
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสองคน คนหนึ่งดูแล้วตัวเล็กหน่อยสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน ฉุดดึงผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษเอ่ยวาจาอย่างยินดี ส่วนอีกคนสงบนิ่งกว่าสวมชุดกระโปรงสีขาวปักลายดอกไม้หลากสีประดับตกแต่ง
บางทีคงคิดว่าสวมชุดสีขาวแล้วยิ่งมีปราณเซียน หากใช้กระโปรงสีขาวเป็นสีพื้น บุคลิกในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีจะยิ่งสูงส่ง คนที่สวมชุดสีขาวคงคิดเหมือนกันหมด เกรงว่าดูแล้วจะเหมือนสวมชุดไว้ทุกข์ ฝีมือเย็บปักนานาชนิดบนชุดจึงซับซ้อนอย่างผิดปกติ และจินเฟยเหยาในตอนนี้ก็สวมกระโปรงพื้นสีขาวปักลายดอกไม้สีฟ้าตามความนิยม
เห็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีตัวเล็กฉุดดึงบุรุษแล้วมีโทสะอย่างหยาดเยิ้ม “ศิษย์พี่หวา ท่านซื้อให้ผู้อื่นเถอะ ข้าอยากได้งูเหลือมมังกรทองตัวนี้ ครั้งนี้ในสำนักมีการแข่งขันคัดเลือก ข้ายังไม่มีสัตว์ภูติดีๆ เลย”
“ศิษย์น้องอี่ซาน ถึงแม้งูเหลือมมังกรทองตัวนี้จะเป็นสัตว์ปิศาจขั้นสามทว่ายังเป็นลูกงูอยู่ อย่างน้อยต้องเลี้ยงหลายปี โตไม่ทันการแข่งขันคัดเลือกในสำนักอีกสามเดือนข้างหน้า” บุรุษที่ชื่อว่าศิษย์พี่หวาเอ่ยปลอบโยนอย่างลำบากใจอยู่บ้าง
ศิษย์น้องอี่ซานขมวดคิ้วเบาๆ ไม่พอใจ ทำปากยื่นเล็กน้อยสะบัดมือศิษย์พี่หวา “ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าศิษย์พี่หวาดีต่อศิษย์พี่หยวนถง ปีที่แล้วท่านก็จับตั๊กแตนหน้าหยกตัวเมียมาให้นาง ออกไข่มาห้าใบ ก็ให้ศิษย์พี่เก็บไว้ทั้งหมด ตอนนี้แค่งูเหลือมมังกรทองตัวเดียวราคาแค่หนึ่งพันสองร้อยศิลาวิญญาณ ท่านก็ไม่ยอมซื้อให้ข้า”
“แค่หนึ่งพันสองร้อยศิลาวิญญาณ ช่างกล้าพูดนะ ท่าทางจะเห็นว่าบุรุษผู้นี้เป็นสุกรให้เชือด” จินเฟยเหยาแลบลิ้น เห็นผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษสวมชุดงั้นงั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีศิลาวิญญาณซื้อสัตว์ภูติให้สตรีมากมายปานนี้
ทันใดนั้น ดูเหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นได้ ตั๊กแตนหน้าหยก ตัวเมีย นางกระโดดพุ่งเข้าไปหาผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษคนนั้นทันที “ใช่สิ มิน่าล่ะข้าถึงได้คุ้นหน้าเจ้า ที่แท้เป็นเจ้า เจ้าทำให้ข้าต้องตามหาตัวแทบแย่ สหายเซียนตั๊กแตนตัวเมีย”
จินเฟยเหยาพุ่งเข้าไปและเงยใบหน้าเล็กๆ ขึ้น มีสีหน้าเหยียดหยาม เอ่ยเยาะเย้ยเสียดสี
ทั้งสามคนมองจินเฟยเหยาที่โผล่มากะทันหันอย่างสับสนงุนงง รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วสั่นศีรษะ แสดงออกว่าไม่รู้จักคนที่โผล่มาอย่างกะทันหัน
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ชื่ออี่ซานหลังจากตกตะลึง ก็เอียงคอมองจินเฟยเหยาอย่างไม่พอใจ “เจ้าเป็นใคร ถึงกล้ามาแอบฟังพวกเราพูดคุยกัน เจ้าว่าใครเป็นตั๊กแตนตัวเมีย?”
“ศิษย์น้องอี่ซาน อย่าทำเช่นนี้ สหายเซียนท่านนี้จำคนผิดแล้ว” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสวมชุดสีขาวที่ชื่อหยวนถงยื่นมือมาฉุดดึงแขนเสื้อของอี่ซาน
สตรีสองคนนั้นช่างเถอะ เห็นบุรุษผู้นี้ก็แสดงออกว่าไม่รู้จักตนเอง จินเฟยเหยาจึงมีโทสะในใจ ชี้บุรุษผู้นั้นแล้วเอ่ยด่าทออย่างเดือดดาล “เจ้าเสแสร้งให้น้อยๆ หน่อย ปีที่แล้วเจ้าจับตั๊กแตนหน้าหยกที่น่าตายตัวนั้น แล้วไม่วิ่งไปทางอื่น กลับวิ่งมาตรงสถานที่ที่ข้าอยู่ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าทำให้ตะขาบเหล็กของข้าเสียหาย ตนเองยังใช้ยันต์เดินทางหนีไป เกือบจะทำให้ข้าตายเสียแล้ว”
“ตั๊กแตนหน้าหยก…” บุรุษผู้นั้นหวนนึก รู้แจ้งขึ้นทันใด “ที่แท้เป็นเจ้า ข้าก็ค้นหาสหายเซียนอยู่นาน ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน”
เห็นบุรุษผู้นั้นมีท่าทางตื่นเต้นอย่างยิ่ง ถ้าไม่รู้ยังนึกว่าเขาหาญาติที่สูญหายไปหลายปีพบเสียอีก แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสองคนข้างกายเขาก็มองดูเขาอย่างสงสัย ครุ่นคิดว่าเด็กหญิงคนนี้ใช่เป็นคนรู้จักของเขาหรือไม่
“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ จะเสแสร้งไปทำไม รีบชดใช้เงินข้ามา ตะขาบเหล็กตัวนั้นมีห้าสิบปล้องรวมหัวด้วยก็เป็นศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน จากนั้นข้าเป็นทัพหลังให้เจ้าจนเกือบตายคิดเป็นศิลาวิญญาณหนึ่งพันก้อน แล้วเจ้ายังทิ้งข้าหนีไปอีก ทำให้จิตใจของเด็กน้อยอย่างข้าถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ดังนั้นรวมทั้งหมดเจ้าชดใช้ข้ามาสองพันศิลาวิญญาณก็พอ” จินเฟยเหยามีสีหน้าดุร้าย คิดบัญชีออกมา
บุรุษผู้นั้นมุมปากกระตุก ยักไหล่ด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ “สหายเซียน ตอนนั้นเพราะข้าเป็นสาเหตุจริงๆ จึงทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย ทว่าตอนนี้เจ้าก็ยังอยู่ดีมิใช่หรือ ยามนี้ต้องการศิลาวิญญาณมากมาย ข้าจะมีมาให้เจ้าได้อย่างไร”
“นั่นสิ เจ้าปล้นคนนี่นา ศิลาวิญญาณสองพันก้อน เพียงพอให้เจ้าตายตั้งสิบรอบ” อี่ซานกระโดดขึ้นชี้หน้าด่าทอจินเฟยเหยา
“ไสหัวไปอีกทางหนึ่งเลย ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า จะพูดแทรกทำไม” จินเฟยเหยาไม่ชอบสตรีเช่นนี้ที่สุด ก่อนหน้านี้ในตระกูลก็มีอยู่หลายคน ทำให้คนชิงชังอย่างยิ่ง
“เจ้า…” อี่ซานยังไม่เคยถูกคนด่าทอเช่นนี้มาก่อน ก็มีโทสะจนยื่นนิ้วมาชี้จินเฟยเหยา ยามกะทันหันพูดอะไรไม่ออก
จินเฟยเหยามองนางอย่างเย็นชา เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “เก็บมือกลับไป ถ้าชี้อีก ข้าจะหักนิ้วของเจ้าเสีย”
“สหายเซียน ที่นี่มีคนมากมายไม่สะดวกจะพูดคุยกัน พวกเราไปคุยกันที่ร้านน้ำชาด้านหน้าเถอะ” เห็นทั้งสองคนมีท่าทางตึงเครียดพร้อมจะลงมือ บุรุษผู้นั้นจึงรีบดึงอี่ซานออกมาแล้วผลักให้หยวนถง สั่งความหลายประโยค ให้หยวนถงฉุดดึงอี่ซานที่ก่อเรื่องไม่หยุดจากไป
จินเฟยเหยาอยากจะดูสิว่าหมอนี่จะเล่นลูกไม้อะไร จึงติดตามเขามาถึงร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง บุรุษผู้นั้นสั่งน้ำชาและขนม แล้วเทน้ำชาให้นางอย่างกระตือรือร้น จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างขัดเขิน “สหายเซียน เรื่องเมื่อปีที่แล้วข้าขอโทษด้วยจริงๆ จริงสิ ข้าเป็นศิษย์สายในของสำนักชิงโซ่ว[1] ชื่อหวาซี สหายเซียนมีนามว่าอะไร?”
“จินเฟยเหยา ตอนนี้อยู่ที่สำนักเฉวียนเซียน เมื่อครู่เจ้าบอกว่า เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักฉินโซ่ว[2]? เหตุใดจึงมีสำนักเช่นนี้ด้วย ถึงกับตั้งชื่อตนเองว่าเดรัจฉาน หรือว่าวันนั้นเจ้าทิ้งข้าไว้ ก็เพื่อทำตามหลักการและกฎเกณฑ์ของสำนัก?” จินเฟยเหยาตื่นตระหนกอย่างยิ่ง สำนักนี้วิปริตเกินไปแล้ว หรือว่าเป็นนิกายชั่วร้าย
น้ำชาในปากของหวาซีเกือบพุ่งออกมา เขาไม่เคยพบผู้บำเพ็ญเซียนที่เข้าใจชื่อสำนักผิดมาก่อน ต่อให้มีคนที่แอบพูดเช่นนี้อยู่บ้าง ทว่ากลับไม่เคยมีคนเอ่ยขึ้นต่อหน้ามาก่อน ไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว
“สหายเซียนจิน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว สำนักชิงโซ่ว มิใช่สำนักฉินโซ่ว สัตว์เทพของสำนักข้าคือมังกรเกล็ดเขียว ดังนั้นตอนก่อตั้งสำนักปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งจึงใช้ชื่อของมันมาตั้งชื่อสำนักว่าสำนักชิงโซ่ว” หวาซีอธิบายยิ้มๆ นี่เป็นเรื่องใหญ่ซึ่งเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของสำนัก ไม่อธิบายไม่ได้
ได้ยินว่ามีมังกรเกล็ดเขียว ดวงตาจินเฟยเหยาก็เป็นประกาย “ก็ได้ เจ้ามอบเกล็ดมังกรเขียวให้ข้าสิบเกล็ด ศิลาวิญญาณที่เจ้าติดค้างข้าเป็นอันหายกัน”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้ เกล็ดสัตว์เทพของสำนักจะนำมาให้คนนอกได้อย่างไร อีกทั้งแต่ละครั้งที่เกล็ดหลุดก็ถูกเก็บกลับไป ข้าจะไปหาจากที่ไหนมาให้เจ้า” หวาซีสั่นศีรษะ เป็นตายก็ไม่ยอมรับปาก
“ก็ได้ ข้าจะถอยให้ก้าวหนึ่ง เจ้ามอบศิลาวิญญาณสองพันก้อนให้ข้า”
หวาซียักไหล่ สั่นแขนเสื้อ “สหายเซียนจิน เจ้าคิดว่าข้าเหมือนคนมีศิลาวิญญาณสองพันก้อนหรือ?”
“แสร้งทำเป็นยากจนให้น้อยๆ หน่อย เมื่อครู่เจ้ายังจะใช้ศิลาวิญญาณหนึ่งพันสองร้อยก้อนซื้อสัตว์ภูติให้ศิษย์น้องของเจ้าอยู่เลย ตอนนี้กลับแสร้งทำเป็นยากจน อีกทั้งฟังคำสนทนาของพวกเจ้า ตั๊กแตนหน้าหยกที่เจ้าจับมาเมื่อปีที่แล้วก็เพื่อมอบให้สตรี คาดว่าเป็นคนใจกว้าง ดังนั้น…” จินเฟยเหยาดื่มชาเบาๆ มองเขาแล้วยิ้มตาหยี
ถ้าคนผู้นี้ไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้นาง ภายใต้พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นเดียวกัน จินเฟยเหยาก็ไม่รังเกียจที่จะแอบหาเรื่องเขาลับๆ พอดีข้างกายเขามีสตรีที่ทำให้คนชิงชัง ดูนิสัยก็รู้แล้ว ว่าปกติต้องเป็นคุณหนูใหญ่ที่ได้รับการตามใจ ในตัวน่าจะมีของดีไม่น้อย
จินเฟยเหยาไม่กลัวว่าเขาจะหนี ขอเพียงเป็นสำนักโดยรอบเมืองลั่วเซียน บนแผนที่ล้วนมีเขียนไว้ ถ้าเป็นในเมือง อย่างมากก็เฝ้าประตู ออกมาก็สะกดรอยตามไปถึงนอกเมืองแล้วฆ่าทิ้งเสีย ถ้าตั้งอยู่นอกภูเขา อย่างนั้นก็ยิ่งสะดวก ขอเพียงไม่มีคน ก็สามารถลงมือได้ทุกที่
เห็นจินเฟยเหยามีท่าทางคล้ายจะยิ้มแต่ไม่เชิงยิ้ม หวาซีก็กังวลอยู่บ้าง
ในสำนักเฉวียนเซียนทั้งหมดเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ แต่ละคนล้วนใจอำมหิตลงมือโหดเหี้ยม ถ้าถูกใช้วิธีสกปรกแทงข้างหลังก็ไม่คุ้มค่า หากต้องชดใช้เงินนางจริงๆ ถ้าเป็นยามปกติคงไม่เป็นไร ปกติเขาเห็นเงินทองเป็นเหมือนสิ่งไม่มีค่า อยากได้ก็นำไป
เพียงแต่ตอนนี้… กลับลำบากอย่างยิ่ง
“ทำไม เจ้าไม่คิดจะชดใช้ค่าเสียหายให้ข้า?” จินเฟยเหยากลืนขนมชิ้นหนึ่ง เลียนิ้วมือพลางเอ่ยถาม
หวาซีครุ่นคิด ได้แต่พูดออกไปตามตรง “สหายเซียนจิน มิใช่ข้าไม่ชดใช้ค่าเสียหาย เพียงแต่ตอนนี้บนตัวข้าไม่มีศิลาวิญญาณ ปีนี้ข้ามอบสัตว์ภูติให้บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนัก มากถึงสิบสามตัว แต่ละตัวล้วนเป็นสัตว์ภูติขั้นสองขั้นสาม ใช้ทรัพย์สินที่ข้ามีไปหมดแล้ว ตอนนี้ทั้งตัวข้าเหลือเพียงศิลาวิญญาณไม่กี่ก้อน ถ้าเจ้าต้องการจริงๆ ก็นำไปก่อนได้”
“ท่านพ่อของเจ้าเป็นเจ้าสำนักชิงโซ่วหรือ?” จินเฟยเหยากระพริบตา เอ่ยถามอย่างสงสัย
หวาซีสั่นศีรษะ เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ข้าเป็นเพียงศิษย์สายในธรรมดา และไม่มีผู้อาวุโสในตระกูลรับตำแหน่งสูงในสำนัก เหตุใดสหายเซียนจินจึงถามเช่นนี้?”
“ถ้าท่านพ่อของเจ้ามิใช่เจ้าสำนัก ผู้บำเพ็ญเซียนแบบใดจึงกระทำเรื่องที่ทำให้ตระกูลล่มจมเช่นนี้ออกมาได้ ถึงกับเอาทรัพย์สินทั้งหมดไปซื้อสัตว์ภูติ เพื่อเอาใจศิษย์สตรีในสำนัก ทั้งยังมิใช่แค่คนเดียวแต่เป็นหลายคน” จินเฟยเหยามองเขา ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือทุบตีเขาดี
หวาซีคิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะเอ่ยเช่นนิ้ จึงไม่พอใจ เขาเอ่ยปฏิเสธอย่างถูกต้องชอบธรรม “ท่านแม่ของข้าเคยบอกว่าสตรีมีไว้เพื่อเอาอกเอาใจ บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักมาขอร้องข้า ให้ข้าช่วยเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ มีอะไรไม่ถูกต้อง”
ฟังคำพูดนี้ ถึงรอบจินเฟยเหยาไม่พอใจแทน นางวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง เอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา “ความหมายของเจ้าคือ ข้ามิใช่สตรี ดังนั้นหลังจากเจ้าชักนำสัตว์ ปิศาจมาทำร้ายข้าก็ทิ้งข้าไว้คนเดียวแล้วหนีไป”
[1] ชิงโซ่ว หมายความว่า สัตว์ร้ายสีเขียว
[2] ฉินโซ่ว มีความหมายว่า เดรัจฉาน