คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 221 หายนะของสำนักตงอวี้หวง
จินเฟยเหยาโยนนกปีกสวรรค์เข้าไปไว้ในกรง ขณะที่คิดจะไปฝึกบำเพ็ญที่โรงอาหาร ศิษย์พี่โต้วอีก็วิ่งมาแจ้งนาง ว่าโรงอาหารปิดแล้ว
ศิษย์พี่โต้วอีคนนี้เป็นศิษย์ที่คงจู๋อู๋เพิ่งรับหลังมาถึงสำนักตงอวี้หวง ตอนนี้เพิ่งสร้างฐาน ถ้าในตำหนักมีเรื่องวิ่งเต้นล้วนให้เขาเป็นคนไป เนื่องจากจินเฟยเหยาเรียกเขาว่าศิษย์พี่ ดังนั้นทุกครั้งที่เขาพบจินเฟยเหยาจะรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง อย่างไรผู้อื่นก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเอาเปรียบแบบนี้ทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ
“โรงอาหารปิดแล้ว?” จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้อาละวาดขึ้นมา
“ฮึ นึกว่าทำแบบนี้จะหยุดข้าได้หรือ? ดูแคลนข้าเกินไปแล้ว” จินเฟยเหยายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ โต้วอีแผ่นหลังหนาวเยือกและรู้สึกว่าดวงตาของจินเฟยเหยาเปลี่ยนไป เขาไม่กล้ารั้งอยู่นานหลังเอ่ยลาอย่างรีบร้อนก็หนีไป
จินเฟยเหยายืนอย่างสงบนิ่งครู่หนึ่ง จากนั้นบิดขี้เกียจ หลังจากทำให้ร่างกายสดชื่นก็เรียกต้านิวและพั่งจื่อมา “ไป พวกเราไปล่าสัตว์”
เห็นจินเฟยเหยาพากบสองตัวนั่งพรมบินจากไป ไป๋เจี่ยนจู๋ก็หายตัวออกมาจากประตูห้องฝึกบำเพ็ญ เอ่ยอย่างสงสัยอยู่บ้าง “ล่าสัตว์? รอบสำนักตงอวี้หวงไม่มีสัตว์ปิศาจขนาดใหญ่ สัตว์ปิศาจภายในสำนักก็กำจัดจนเกลี้ยงไปนานแล้ว นางจะไปล่าสัตว์ที่ใด?”
พลันนึกถึงหลายเดือนก่อนได้ จินเฟยเหยานำผลเซียงหยวนมาหลอกล่อกระต่ายของตนเอง ไป๋เจี่ยนจู๋นิ่งอึ้งไปทันที แต่ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ภายใต้หนังตาของคนมากมาย นางจะกล้าขโมยสัตว์ภูติของคนอื่นมากินได้อย่างไร
เนื่องจากเผ่ามารไม่สงบพร้อมเคลื่อนไหวก่อหวอด จู๋ซวีอู๋จึงถูกเจ้าสำนักพาไปเข้าร่วมงานประชุมใหญ่เป่ยเฉิน ตอนนี้จึงหาคนมาควบคุมนางไม่ได้ ไป๋เจี่ยนจู๋ครุ่นคิด ตัดสินใจว่าจะเฝ้าประตูบ้านของตนเองให้ดี เขารู้จักคำพูดที่ว่ากระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง[1] เพียงแต่ไม่รู้ว่าจินเฟยเหยาจะรู้จักหรือไม่
จินเฟยเหยาที่ติดยันต์ซ่อนกายยืนอยู่หน้าทุ่งหญ้าสีเขียวขจี เบื้องหน้าเป็นกระเรียนเซียนขั้นสองหลายร้อยตัวกำลังเยื้องย่างอย่างเอื่อยเฉื่อย กินแมลงเล็กๆ ไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายเลยสักนิด ไม่ไกลนักมีศาลามุงหญ้า ในนั้นมีศิษย์ขั้นฝึกปราณหาเวลาว่างมานั่งฝึกบำเพ็ญอยู่
นี่คือสวนกระเรียน ด้านในเลี้ยงกระเรียนเซียนให้ศิษย์ใช้แทนการเดินเท้าหรือไปส่งสิ่งของ แตกต่างจากกระเรียนเซียนธรรมดา กระเรียนเซียนเหล่านี้ตัวใหญ่อย่างยิ่ง เมื่อยืนขึ้นสูงเท่าหนึ่งคนกว่า จินเฟยเหยาใช้ต้นขาของตนเองเทียบกับขาของพวกมัน ขากระเรียนเซียนใหญ่มาก หยาบหนากว่าขาของตนเองสามสี่เท่าเต็มๆ
คว้าผงสีเหลืองๆ นิดหน่อยจากในกระเป๋าเก็บของอย่างระมัดระวัง ยังไม่ได้โยนออกไปก็เห็นกระเรียนเซียนหลายตัวที่อยู่ใกล้พลันหันหน้าจ้องมาทางนาง
ความรู้สึกไวขนาดนี้! จินเฟยเหยานึกยินดีที่ยังไม่ได้โยนผงกระตุ้นกำหนัดในมือออกไป
ตูม!
สิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาคาดไม่ถึงคือ เพิ่งสาดผงออกไป กระเรียนเซียนหลายร้อยตัวนี้ก็เดือดพล่านขึ้นมา ตีปีกอย่างตื่นเต้น โก่งคอร้องเสียงดัง มีท่าทางปั่นป่วนตอนหาคู่ ศิษย์ที่เฝ้ากระเรียนเซียนหยุดนั่งสมาธิ มองกระเรียนเซียนที่บ้าคลั่งเหล่านี้ รู้สึกถึงสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงที่กระเรียนเซียนจับคู่ผสมพันธุ์ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
กระเรียนเซียนกระพือปีกโผมายังสถานที่ซึ่งจินเฟยเหยายืนอยู่ นางรีบหมุนตัวบินขึ้นกลางอากาศ กระเรียนเซียนไม่ได้หยุดลงบินตามออกไปราวกับฝูงผึ้ง ครู่หนึ่งก็หายลับไปในหมู่เทือกเขา
สวนกระเรียนเซียนทั้งหมดเหลือเพียงศิษย์ขั้นฝึกปราณคนนั้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้างุนงงและแข็งทื่อเป็นไก่ไม้ เขาอยากจะไล่ตามไปทว่าเขาขี่ของวิเศษไม่เป็น แม้แต่กระเรียนเซียนที่ปกติใช้แทนการเดินเท้าก็หนีตามไปด้วย
“อาจารย์ลุงผู้ดูแล! แย่แล้ว กระเรียนเซียนหนีไปหมดแล้ว!” เขาได้สติคืนมา หมุนตัวไปตะโกนเรียกผู้ดูแลดังลั่น
หนึ่งชั่วยามผ่านไป จินเฟยเหยานั่งบนพรมบิน แทะขานกซึ่งไม่ทราบที่มาแน่ชัดบินผ่านข้างสวนกระเรียนไปอย่างเอื่อยเฉื่อย นางแทะพลางมองดูศิษย์ที่ค้นหากระเรียนเหล่านี้ผ่านเบื้องหน้าตนเองไปอย่างสงบนิ่ง แต่ละคนล้วนมีสีหน้าร้อนใจ กลับไม่มีใครสังเกตเห็นขานกในมือนาง ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงกระเรียนเซียนขั้นสองหลายร้อยตัวจะถูกคนฆ่ากินหมด
ในถุงเฉียนคุนของจินเฟยเหยามีซากกระเรียนเซียนยัดอยู่เต็ม นางย่างทันเพียงตัวเดียว ส่วนตัวอื่นๆ ใส่ไว้ในถุงเฉียนคุน นางไม่ใช่คนป่าเถื่อนต่อให้หิวโหยก็ไม่ถึงขั้นกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสดๆ
ไป๋เจี่ยนจู๋ที่สังเกตข้างบ้านมาโดยตลอดพบว่าจินเฟยเหยากลับมาแล้ว ทั้งยังกำลังทำอาหารอย่างครึกครื้น ไป๋เจี่ยนจู๋รู้เรื่องโรงอาหารปิดแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจแบบนี้เพื่อประหยัดเงินในสำนัก ไม่รู้ว่าจะถูกซื่อเต้าจิงเขียนจนกลายเป็นอย่างไร คิดไม่ถึงว่าไม่มีอาหารฟรีให้กิน นางก็ยืนด้วยลำแข้งของตนเอง
ไป๋เจี่ยนจู๋เดินไปถึงชั้นสองแสร้งทำเป็นชมทิวทัศน์ พอกวาดไปมองทางจินเฟยเหยาก็ตะลึงงันทันที
นี่มันทิวทัศน์อะไร! บนสนามหญ้ามีกระเรียนเซียนที่ตายแล้วกองอยู่หลายร้อยตัว พวกมันหัวห้อยลงมาถึงเท้า ทั้งยังแขวนป้ายของสวนกระเรียน ด้านข้างมีเตาหลอมยาใบไม่เล็กนัก เพลิงแท้ในนั้นกำลังลุกไหม้อย่างร้อนแรง กระเรียนเซียนถูกพั่งจื่อโยนลงในเตาหลอมยาทั้งๆ ที่มีขนทีละตัว
จินเฟยเหยากลับนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอมยา ฝาเตาเปิดออกอย่างรวดเร็ว พั่งจื่อก็โยนกระเรียนเซียนเข้าไปอีกตัว ผ่านไปสิบอึดใจเตาก็เปิดออก กระเรียนมันเยิ้มที่ขนและเครื่องในถูกเผาจนเกลี้ยงตัวหนึ่งก็ลอยออกมาจากในเตา ร่วงลงในมือต้านิวที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นต้านิวรับกระเรียนเซียนไว้ ฝ่ามือรวดเร็วราวกับภาพมายา ขวดเครื่องปรุงบนโต๊ะด้านข้างร่ายรำกลางอากาศราวกับมีชีวิต หลังจากเงาร่างของมันหยุดลงกระเรียนย่างตัวนั้นก็กลายเป็นอาหารเลิศรสที่ปรุงขึ้นอย่างดี
จากนั้นต้านิวหยิบถุงเฉียนคุนด้านข้างแล้วใส่กระเรียนย่างลงไป ปัดๆ มือแล้วไปรับกระเรียนเซียนที่ย่างเสร็จอีกตัว
คิดไม่ถึงว่านางจะล่ากระเรียนเซียนในสวนกระเรียนทั้งหมดมา! ทั้งยังย่างกระเรียนเซียนตรงประตูอย่างเปิดเผยเช่นนี้อีก ไม่กลัวถูกคนพบเห็นหรือ ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรดี ก่อนหน้านี้ความประทับใจที่เขามีต่อจินเฟยเหยาหยุดอยู่แค่ในตอนแรก ถึงจะมีบุญคุณความแค้นกันมาร้อยปี ที่จริงไม่ได้สัมผัสกันมากนัก
ตอนนี้สัมผัสมาหลายเดือน ไป๋เจี่ยนจู๋ได้แต่ใช้คำพูดประโยคเดียวมาแสดงความรู้สึกของตนเอง ถ้าคนเราไม่สนใจอะไรแล้วก็ไร้เทียมทานจริงๆ
พอจินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นก็เห็นไป๋เจี่ยนจู๋ยืนมองตนเองอยู่บนตึก นางหยุดย่างกระเรียนเซียนและกัดนิ้วอย่างลังเล
โอ๋? หรือว่าคิดจะยอมรับว่าตนเองขโมยฆ่ากระเรียนเซียน ไป๋เจี่ยนจู๋มองท่าทางลังเลและลำบากใจของนาง อดคาดเดาเช่นนี้ไม่ได้
ในที่สุดดูเหมือนจินเฟยเหยาจะตัดสินใจได้ นางลุกขึ้นยืนและเดินมาข้างต้านิว หยิบกระเรียนเซียนที่ย่างเสร็จและใส่เครื่องปรุงแล้วออกมาตัวหนึ่ง กัดฟันโยนให้ไป๋เจี่ยนจู๋
กระเรียนเซียนกลิ่นหอมเตะจมูกพุ่งเข้าใส่ใบหน้าไป๋เจี่ยนจู๋ เขาพลิกมือรับกระเรียนเซียนไว้กำลังเตรียมจะบริภาษจินเฟยเหยา ก็เห็นจินเฟยเหยาจ้องมองอย่างเสียดายจากนั้นถ่ายทอดเสียงมาบอกว่า “เจ้าได้เปรียบแล้ว”
“หา?” ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่เข้าใจ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
จากนั้นก็เห็นการป้องกันข้างบ้านมีหมอกขาวม้วนตลบขึ้นมาบดบังสภาพด้านในไว้อย่างแน่นหนา มองไม่เห็นซากกระเรียนเซียนบนพื้นเลยสักนิด ไป๋เจี่ยนจู๋จึงเข้าใจ กลายเป็นว่าให้กระเรียนเซียนย่างตัวนี้แก่ตนเองเป็นค่าปิดปาก
ฟังน้ำเสียงและท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของนางก่อนหน้านี้ ไม่ได้คิดจะให้ค่าปิดปากเลย สายตาเสียใจนั่นคือแค้นที่ตนเองข่มขู่นางจึงต้องให้อย่างไม่มีทางเลือก
จะปล่อยให้นางก่อเรื่องวุ่นวายไม่ได้ ไป๋เจี่ยนจู๋หิ้วกระเรียนเซียนย่างไปตำหนักซวีชิง เล่าเรื่องให้ที่ได้พบเห็นให้อาจารย์ฟัง ทั้งยังมอบกระเรียนเซียนย่างให้ด้วย
หลังคงจู๋อู๋ได้ฟัง เพียงขมวดคิ้วจ้องมองกระเรียนตัวนี้ ส่วนคงจู๋โหย่วกลับลุกขึ้นยืนเอ่ยอย่างร้อนใจ “แย่แล้ว สัตว์หมิงเฟิง สัตว์ภูติเฝ้าเตาของข้ายังเฝ้าเตาหลอมยาอยู่ตัวเดียว ปริมาณของมันยังมากกว่ากระเรียนเซียนเสียอีก”
“อาจารย์อา…” ไป๋เจี่ยนจู๋มองเขาอย่างหมดวาจา ก็เห็นคงจู๋โหย่วทิ้งพวกเขาไว้แล้วรีบพุ่งออกจากตำหนักซวีชิงไปช่วยสัตว์หมิงเฟิงของเขา
“อาจารย์ จะรายงานเรื่องนี้หรือไม่ ตอนข้ามายังเห็นคนของสวนกระเรียนค้นหากระเรียนเซียนไปทั่วอยู่ไกลๆ” อาจารย์อาพึ่งพาไม่ได้ ตอนนี้ได้แต่พึ่งพาอาจารย์ผู้หนักแน่นมาตลอด
คงจู๋อู๋ขมวดคิ้วอยู่นานจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ก่อนซือจู่ไปเคยกำชับไว้ ไม่ว่านางทำเรื่องอะไร ขอเพียงไม่ใช่กินศิษย์ในสำนักก็อย่าไปยุ่งกับนาง อีกทั้งถ้าทำเรื่องผิดยังให้พวกเราปกป้องนาง ตอนนี้เพียงกินกระเรียนเซียนในสวนกระเรียน ขอเพียงไม่พูดน่าจะไม่มีใครรู้”
เขาเงยหน้าขึ้นมองไป๋เจี่ยนจู๋และถามอย่างระมัดระวังว่า “เจี่ยนจู๋ เจ้ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้?”
“ไม่ได้บอก ตอนข้ามายังใส่กระเรียนเซียนย่างตัวนี้ไว้ในถุงเฉียนคุน” ไป๋เจี่ยนจู๋ส่ายศีรษะ
คงจู๋อู๋ระบายลมหายใจโล่งอก จากนั้นเอ่ยว่า “ครั้งที่แล้วศิษย์น้องเล็กมอบสุราร้อยวิญญาณให้ เจ้าดื่มแล้วหรือไม่”
“ยังไม่” ไป๋เจี่ยนจู๋งุนงง เหตุใดจึงเอ่ยถึงสุราอย่างกะทันหัน
“ยังไม่ได้ดื่มก็นำออกมา พวกเราศิษย์อาจารย์สองคนอยู่ด้วยกันพอดีก็นำกระเรียนเซียนตัวนี้และสุราร้อยวิญญาณไปดื่มกันสักจอกที่ศาลาไผ่ พูดคุยเรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจในด้านฝึกบำเพ็ญ ข้าจะช่วยอธิบายให้” คงจู๋อู๋จ้องมองกระเรียนเซียนตัวนั้นแล้วเอ่ยกับไป๋เจี่ยนจู๋
ไป๋เจี่ยนจู๋หมดวาจาทันที ได้แต่เอ่ยอย่างทำอะไรไม่ได้ “อาจารย์ หรือว่าต้องปิดบังเรื่องนี้ต่อไป”
“ใครบอกว่าจะปิดบังแบบนี้ต่อไป ข้าเดาว่านางน่าจะไม่ลงมือกับสัตว์ภูติของตำหนักซวีชิงเราชั่วคราว ดังนั้นค่ำหน่อยค่อยแจ้งบรรดาศิษย์ ให้พวกเขาเฝ้าสัตว์ภูติของตนเองให้ดี ทางที่ดีใช้ถุงสัตว์ภูติใส่ไว้ดีกว่า ห้ามห่างกายแม้แต่นิดเดียว พวกกระต่ายของเจ้า ทางที่ดีใช้ถุงสัตว์ภูติพกพาไว้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปขอวงเวทศิษย์พี่เฟิงสักหลายอันขังพวกมันเอาไว้ อย่าให้วิ่งวุ่นวายก็น่าจะไม่เป็นไร” คงจู๋อู๋เอ่ยอย่างจริงจัง
“อาจารย์ ท่านก็รู้ว่าที่ข้าพูดไม่ได้หมายความเช่นนี้” คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะกลัวซือจู่ขนาดนี้ ถึงกับแสร้งโง่งมไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
คงจู๋อู๋ตบบ่าไป๋เจี่ยนจู๋ เอ่ยอย่างจริงใจ “เจี่ยนจู๋ ถ้าไม่ให้นางออกไปดักสัตว์ภูติมากิน เจ้าสามารถควักกระเป๋าเลี้ยงนางให้กินอิ่มได้หรือ? อย่าลืมสิ ตอนนี้นางอยู่ภายใต้นามของตำหนักซวีชิง โรงอาหารปิดแล้ว ศิษย์ขั้นฝึกปราณส่วนใหญ่ไม่มีสถานที่กินข้าว ตอนนี้เดือนหนึ่งต้องมอบศิลาวิญญาณชั้นล่างเพิ่มสามก้อนให้พวกเขากินข้าว เจ้าลองคำนวณดูปริมาณอาหารของนาง ต่อให้ตำหนักซวีชิงของพวกเราสะสมสิ่งของไว้มากก็ทนการกินอาหารของนางไม่ไหว”
ไป๋เจี่ยนจู๋ก้มหน้าไม่เอ่ยวาจาอยู่นาน นึกถึงความอยากอาหารของจินเฟยเหยา พลันคิดตก เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “อาจารย์ ข้าคิดว่ากระเรียนเซียนย่างตัวนี้เข้ากับสุราร้อยวิญญาณ รสชาติน่าจะไม่เลว ข้ามีจุดที่สงสัยและไม่เข้าใจในการทะลวงขั้นหลอมรวมช่วงกลางพอดี อยากจะพูดคุยกับอาจารย์สักหน่อย”
“ดี พวกเราคุยไปกินไปในศาลาไผ่เถอะ” คงจู๋อู๋พยักหน้านิดๆ เอ่ยพลางยิ้มแย้ม
………………………………….
[1] กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง หมายถึง คนชั่วจะไม่ทำชั่วในถิ่นของตนเอง