คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 227 ท้องโต
ของกิน! ในตัวมีอะไรที่กินได้หรือไม่ จินเฟยเหยารู้สึกตาลาย เวียนศีรษะ
ทันใดนั้น นางสังเกตเห็นในฝ่ามือมีสิ่งของบางอย่าง ทั้งยังส่งกลิ่นยั่วยวนออกมา นั่นเป็นกลิ่นอะไร ไม่ใช่เนื้อและไม่ใช่ขนม เป็นสิ่งที่ทำให้คนน้ำลายไหลและหมดหนทางต้านทาน จินเฟยเหยายัดสิ่งของในมือใส่ปากโดยไม่คิดเลยสักนิด สิ่งของขนาดเท่าเหอเทาเพิ่งเข้าปากก็เปลี่ยนจากแข็งกลายเป็นอ่อนหยุ่นทันที และไหลลื่นลงไปตามลำคอ
นี่เป็นความรู้สึกอะไร ดวงตาจินเฟยเหยาเป็นประกาย อดลูบท้องไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าข้าจะอิ่ม?”
ไม่ตาลาย หายเวียนศีรษะ ท้องไม่หิว และไม่รู้สึกว่าอิ่ม ให้ความรู้สึกสบาย เหมือนตอนก่อนเจี๋ยตันที่สามารถกินขนมเล็กๆ น้อยๆ ตามใจอยากได้ทุกเมื่อ
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? หรือว่าข้าหลุดพ้นจากความรู้สึกหิวที่พัวพันข้าตลอดเวลาได้แล้ว!
ที่จริงหลังเจี๋ยตัน จินเฟยเหยาก็ไม่เคยกินอิ่มเลยสักวัน ตอนที่หิวสุดๆ ดวงตาของนางที่มองจอมมารหลงจะเป็นสีเขียวทั้งหมด ไม่ว่ากินอาหารมากเพียงใด ร่างกายมักเรียกร้องจะกินอีก มีเพียงกินไม่หยุดจึงทำให้นางไม่เกิดความรู้สึกอยากกินคน
จินเฟยเหยาจำไม่ได้แล้วว่านางยืนมองศิษย์สำนักตงอวี้หวงที่บินผ่านท้องนภาอยู่บนยอดเขาและเกิดความรู้สึกอยากจะกลืนพวกเขาลงไปทั้งเป็นกี่ครั้ง ในสายตาของนาง สิ่งที่เคลื่อนไหวได้ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารเลิศรส โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเซียน กลิ่นหอมหวนประหลาดที่ลอยออกมาจากร่างของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อพบผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ตลอดร่างของพวกเขาแผ่กำจายแรงดึงดูดที่ทำให้นางควบคุมตนเองไม่อยู่ออกมา
ทว่าตอนนี้ จินเฟยเหยาพบว่าความรู้สึกเช่นนั้นหายไปแล้ว ความรู้สึกเห็นอะไรก็อยากกินไปหมดหายไปโดยสมบูรณ์ จินเฟยเหยามองอวี้จูอีกครั้ง ไม่มีความคิดว่าส่วนไหนของนางมีรสชาติดีอีก
ตามเสียงร้องโหยหวนครั้งสุดท้าย พั่งจื่อและต้านิวสังหารหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนข้ารับใช้ทั้งหมดอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นจินเฟยเหยาที่อารมณ์ดีก็นำป้ายหยกเปิดประตูเหล็กลงมาจากร่างครึ่งท่อนของราชครู
นางถือป้ายหยกกำลังจะเดินไปเปิดประตูเหล็กเหล่านั้น พลันนิ่งอึ้ง จินตัน! สิ่งที่ข้าเพิ่งกินลงไปเมื่อครู่คือจินตันของท่านอ๋องหมาจื่อ? เหมือนข้าจะเผลอกินจินตันของเขาเข้าไป อีกทั้งเพิ่งกินลงไปก็รู้สึกอิ่ม
จินเฟยเหยารู้สึกมีเหงื่อหยดหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผาก มิน่าเล่าตนเองกินอาหารมากมายก็ไม่อิ่ม ที่แท้ต้องกินจินตันหรือหยวนอิงของผู้บำเพ็ญเซียนจึงจะอิ่ม ว่าแล้วเชียวว่าดูอย่างไรไป๋เจี่ยนจู๋ก็ท่าทางน่าอร่อย อีกทั้งพี่จู๋ก็ยิ่งน่าอร่อย ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่ตามเขามาถึงสำนักตงอวี้หวง
ว่าจะลองเลียดูเมื่อไรดีว่าจะอร่อยเหมือนหน้าตาหรือไม่ แต่อวี้จูที่เป็นขั้นสร้างฐานก็ไม่มีจินตัน เพราะเหตุใดจึงดูน่ากิน หรือว่าเนื่องจากรูปร่าง?
เดี๋ยวก่อน! ข้าจะไปเอาจินตันและหยวนอิงจากที่ใดมากิน ไม่ได้นอนตามสบายบนถนนให้ข้าฆ่าเสียหน่อย อีกทั้ง…ถ้าให้พวกเขารู้ว่าข้าต้องกินจินตันหรือหยวนอิงของผู้บำเพ็ญเซียน มิเอาข้าไปสังหารหรือ จินเฟยเหยาสะดุ้งขึ้นมา เรื่องนี้ห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาด ถ้ารู้แล้วจบเห่แน่
แต่ต่อไปข้าจะทำอย่างไรดี? จินเฟยเหยาจมลงสู่ความกลัดกลุ้ม จะทำอย่างไรดีนะ
ขณะที่นางกำลังกลัดกลุ้มอยู่ตรงนี้ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเหล่านั้นรอแทบแย่ ถูกขังมาหลายสิบปีแล้ว ในที่สุดก็มีคนมาช่วยพวกเรา เหตุใดวีรสตรีผู้นี้จึงหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ หรือว่าเพลิงสีดำที่เพิ่งเผาทารกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่เพิ่งออกฤทธิ์ตอนนี้?
ทุกคนกำลังสงสัย ทว่าอวี้จูกลับรอไม่ไหว เขย่ารั้วเหล็กพลางร้องตะโกน “ผู้อาวุโสจิน รีบปล่อยพวกเราออกไป! ในถ้ำเหล่านี้ทั้งสกปรกทั้งเหม็น ข้าทนอยู่ไม่ไหวแล้ว”
จินเฟยเหยาได้สติคืนมา ตัดสินใจช่วยคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน สำหรับเรื่องกรอกท้อง ใช้อาหารธรรมดามาต้านทานต่อไปก่อน
นางถือป้ายหยก บินขึ้นบินลงช่วยคน
สิ่งของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเหล่านี้ถูกเอาไปหมด ทั้งยังถูกขังอยู่ในที่แคบเล็กมานานปี ร่างกายจึงอ่อนแอ และส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ คิดจะให้พวกนางลงจากถ้ำศิลาเองจึงเป็นไปไม่ได้ บนร่างแต่ละคนทั้งสกปรกทั้งเหม็น เกรงว่าเพื่อประหยัดจึงไม่ได้ให้พวกนางอาบน้ำเลย
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสามร้อยกว่าคนรวมกัน บางครั้งหัวเราะบางครั้งร้องไห้ มีจำนวนไม่น้อยไปเตะซากศพข้ารับใช้เหล่านั้นเพื่อระบายแค้น ทว่าสิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาสนใจคือในจำนวนนั้นยังมียี่สิบกว่าคนกำลังอุ้มทารก และมีจำนวนไม่น้อยเป็นหญิงตั้งครรภ์ท้องโต มีตัวอ่อนในท้อง
รอจนพวกนางร้องไห้และอาละวาดพอแล้ว พวกที่มีตัวอ่อนและทารกในท้องเหล่านั้นก็แสดงสีหน้าขมขื่นและเจ็บปวดออกมา มีคนพยายามทุบท้องของตนเองอย่างแรงหลายครั้ง จากนั้นคนเหล่านี้ก็ตัวอ่อนยวบลงกับพื้น และร่ำไห้อย่างช่วยไม่ได้
จินเฟยเหยาลูบผมแล้วเอ่ยอย่างจนใจ “อย่าร้องไห้ ตอนนี้พวกเจ้ากลับสำนักตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ ข้าว่าไม่ต้องหาทางแล้ว ทะลวงด้านบนออกไปโดยตรงดีกว่า”
“ข้าขอพูดเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ก่อน พวกเจ้าดูว่าข้าพูดถูกหรือไม่ เดี๋ยวให้ทุกคนไปอธิบายกับคนของแต่ละสำนัก” จินเฟยเหยากระแอม และเริ่มพูดขึ้นมา
“เจ้าคนชายไม่ใช่ชายหญิงไม่ใช่หญิงคนนี้เป็นทายาทต้งหวง เนื่องจากมีรสนิยมชอบบุรุษ เพื่อเปลี่ยนเป็นสตรี ให้กำเนิดลูกหลานต้งหวง ดังนั้นได้เคล็ดวิชาเล่มหนึ่งมา เคล็ดวิชานั้นต้องดึงดูดพลังหยินของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีทุกวัน หลังผ่านเวลาอันยาวนาน รอวันที่เขาเจี๋ยตันก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นสตรีได้ ดังนั้นทุกวัน เขาต้องใช้เวทมนตร์ดูดปราณหยินบนแท่นราบแห่งนี้ เพราะเหตุนี้พวกเจ้าจึงถูกเขาจับตัวมา”
ทุกคนฟังวาจาเหลวไหลของจินเฟยเหยาก็มองนางอย่างสงสัย ถ้าเอ่ยถึงทายาทต้งหวงต้องเป็นท่านอ๋องหมาจื่อนั่นต่างหาก ทว่าทุกคนไม่เข้าใจเจตนาของนางจึงฟังอย่างเงียบๆ
จินเฟยเหยายิ้มและเอ่ยต่อไปว่า “หมาจื่อคนนี้เป็นคู่บำเพ็ญของเขาและเป็นผู้สมคบคิด ไปขโมยเด็กที่อยู่รอบๆ มาหลอมสร้างของวิเศษ ทารกในมือของพวกเจ้าก็คือเด็กที่เขาขโมยมา ข้ารู้สึกว่าทารกเหล่านี้อยู่กับพวกเจ้าไม่กี่วัน พวกเจ้าก็จัดการเองเถอะ จะให้คนอื่นหรือเลี้ยงดูเองพวกเจ้าก็ตัดสินใจด้วยตนเอง ถึงอย่างไรทุกคนก็ตายหมดแล้วทารกถูกขโมยมาจากที่ใดก็ไม่รู้”
จากนั้นนางมองคนที่ท้องโตๆ เหล่านั้น อย่างน้อยมีหนึ่งถึงสองร้อยคน นี่เป็นปัญหายาก บางคนท้องยังเล็ก บางคนเจ็ดแปดเดือนแล้ว จะจัดการอย่างไรดี
จินเฟยเหยาครุ่นคิด ได้แต่เอ่ยว่า “ผู้บำเพ็ญเซียนที่กินจนพุงกางหนึ่งถึงสองร้อยคน ข้าจำได้ว่าในเวทมนตร์พื้นฐานมีเวทมนตร์พวกกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ขจัดพิษ และขับไล่แมลง ถ้าพวกเจ้ายินยอม สะสางท้องสักหน่อย กินจนกลายเป็นแบบนี้ยังนึกว่าท้องเสียอีก ข้าจะถ่วงเวลาวันสองวันค่อยออกไปน่าจะไม่มีปัญหา อีกทั้งพวกเจ้าก็ถูกขังมานานร่างกายอ่อนแอน่าจะเป็นเรื่องปกติ”
คิดไม่ถึงว่านางจะปกป้องความบริสุทธิ์ของทุกคน!
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีทั้งหมดตะลึงงัน นอกจากอวี้จูที่เพิ่งถูกจับกลับมาและยังไม่เคยถูกเรียกไปรับใช้แล้ว แต่สภาพในที่เกิดเหตุนางก็เห็นย่อมยืนหุบปากอยู่ข้างจินเฟยเหยาอย่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เวลานี้นางไม่มีสิทธิ์พูดเลยสักนิด
ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษสตรีของผู้บำเพ็ญเซียนไม่เคร่งครัดนัก คิดจะหาคู่บำเพ็ญก็ไม่มีผู้ใดว่าอะไร ไม่จัดงานเลี้ยงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าถูกคนรู้ว่าตนเองถูกขังอยู่ในที่แห่งหนึ่งและยังถูกบังคับให้คลอดบุตรสิบกว่าคนถึงหลายสิบคน คงถูกมองด้วยสายตาประหลาด
ไม่ต้องเอ่ยถึงสายตาดูแคลนเหล่านั้น เพียงแค่ความสงสารในสำนัก บางครั้งยังมีสายตาค้นหาอย่างมีเจตนาและไร้เจตนาก็สามารถทำให้คนมีชีวิตอยู่มิสู้ตายได้
ในใจของทุกคนไม่มีความคิดอื่น แต่ถ้าสามารถฝึกบำเพ็ญอย่างเงียบๆ ได้ ไม่ต้องถูกข่าวลือและคนว่างงานมารบกวนก็เป็นจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุด
เด็ก…ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากลูบท้อง ชีวิตในนี้คือถูกบังคับให้ตั้งครรภ์ อีกทั้งก่อนหน้านี้พวกนางก็ให้กำเนิดออกมามากมายแล้ว
คนจำนวนมากตัดสินใจได้ทันที บอกจินเฟยเหยาด้วยสายตาแน่วแน่ “ผู้อาวุโส! ข้ายินดีกำจัดทิ้ง ขอให้ผู้อาวุโสเก็บเป็นความลับ พี่น้องคนอื่นๆ ก็เช่นกัน ทุกคนถูกขังอยู่ที่นี่มานานหลายปี เรื่องเหล่านี้ปล่อยให้เน่าในท้องจะดีที่สุด หากมีคนแพร่ข่าวออกไปและพูดไม่เหมือนกับที่ผู้อาวุโสกล่าว ต่อให้ข้าตายก็ต้องแยกศพนางเป็นหมื่นชิ้นและนำจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางมาจุดตะเกียงสวรรค์[1]!”
นางเป็นผู้นำในการแสดงท่าที ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ตั้งครรภ์เหล่านี้ก็ยืนขึ้นทีละคน ตัดสินใจกำจัดตัวอ่อนในท้องทิ้ง แทบจะไม่มีคนลังเลอีก ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ตั้งครรภ์ทั้งหมดก้าวออกมา ในดวงตามีแววแน่วแน่ คาดว่าหากต่อไปพวกนางกลับสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญเซียน จิตใจคงไม่หวั่นไหวง่ายๆ อีก
“ผู้อาวุโส พวกเราควรจะทำอย่างไร?” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่อุ้มทารกมองนางอย่างไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไร คนอื่นๆ กำจัดทิ้ง บางคนที่ให้กำเนิดแล้วและยังไม่ได้อุ้มท้องก็สามารถล้างมลทินกลับเข้าสู่สำนักได้ ส่วนพวกนางจะทำอย่างไร จะจัดการกับทารกเหล่านี้อย่างไร?
ถึงแม้จะเคียดแค้นเจ้าหมาจื่อสุดขีด ทว่าเด็กพวกนี้กลับเป็นบุตรที่ตนเองให้กำเนิด ถ้าฆ่าทิ้งก็หักใจทำไม่ลง แต่ถ้าพากลับไปเลี้ยงจนเติบใหญ่ การคงอยู่ของพวกเขาก็คือการสาดเกลือลงบนบาดแผลบ่อยๆ ไม่มีใครยินยอมพาตราบาปเหล่านี้ไป จะฆ่าก็ทำไม่ลง จะเลี้ยงก็ไม่อยากเลี้ยง ได้แต่ขอความเห็นจากจินเฟยเหยาที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงที่สุด
จินเฟยเหยาเหงื่อแตก คงไม่ได้ให้ข้าแบกกลับไปเลี้ยงนะ อีกทั้งตนเองก็ไม่มีรสนิยมสังหารทารกเล่น นางครุ่นคิดจากนั้นจึงเอ่ย “มิสู้รวมทั้งหมดไว้ด้วยกัน หลังจากแจ้งแต่ละสำนักแล้วก็เอ่ยเรื่องทารกเหล่านี้กับสำนักและมอบให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นจัดการแก้ไข ถ้ามีพลังวิญญาณก็น่าจะถูกรับไว้เป็นศิษย์ ต่อให้ไม่มีพลังวิญญาณ ตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนในสังกัดก็สามารถรับเลี้ยงได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็หาคนเลี้ยงในเมืองแล้วให้เงินเยอะๆ หน่อย ถ้าไม่วางใจก็มาแอบดูได้ สมควรไม่มีปัญหา”
เอ่ยถึงเรื่องนี้นางก็มองผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่บุตรถูกโยนลงลาวาก่อนหน้านี้ หว่างคิ้วนางมีไฝแดง จำได้ง่ายอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นเห็นจินเฟยเหยามองมาก็ยิ้มให้ ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจเลยสักนิด รู้สึกสบายใจกว่าบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่อุ้มท้องและอุ้มทารกมากนัก
จินเฟยเหยาอดคิดไม่ได้ ถ้าเวลานั้นข้ายื่นมือช่วยเหลือทารกแล้วคืนให้นาง เกรงว่านางคงย้ายความแค้นที่มีต่อท่านอ๋องหมาจื่อมาบนตัวข้าทันที นึกถึงสายตาที่นางจ้องมองทารกในยามนั้นราวกับอยากจะสับเด็กน้อยเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น
……………………………..
[1] จุดตะเกียงสวรรค์ เป็นการทรมานชนิดหนึ่งในมมัยโบราณ นำนักโทษมาเปลือยกาย ใช้ผ้ากระสอบห่อ แล้วเทน้ำมันรดให้ชุ่ม พอเข้าสู่ยามราตรี ก็มัดห้อยหัวลงเอาขาชี้ฟ้ากับท่อนไม้ยาว แล้วจุดไฟจากตรงเท้า