คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 228 ไม่ต้องขอบคุณ
ในเมื่อต้องจัดการตัวอ่อนในท้องของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเหล่านี้ก่อน ทุกคนจึงจากไปไม่ได้ชั่วคราว ถึงแม้จะร้อนใจ แต่นึกถึงว่าคิดเพื่ออนาคตของทุกคน บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีจึงไม่อาละวาดว่าจะจากไป
พวกนางถูกขังมานาน ไม่เคยใช้พลังวิญญาณมาหลายปีถึงหลายสิบปี จึงไม่คุ้นเคยและติดขัด คิดจะกำจัดตัวอ่อนในท้องจำเป็นต้องใช้เวลา ถ้ามีสิ่งของจำพวกยาหล่อเลี้ยงวิญญาณ ยาบำรุงให้ความอบอุ่นก็จะดีหน่อย
ยาเหล่านี้จินเฟยเหยาไม่มี ต่อให้มีก็ไม่เพียงพอจะให้คนเกือบสามร้อยคนใช้ นางได้แต่พาอวี้จูไปค้นในตึกเล็กๆ ดูว่าจะหายากและสิ่งของมีค่าพบหรือไม่
ในตึกเล็กๆ มีกลิ่นแป้งหอมอบอวล ทำให้คนสำลักจนรู้สึกไม่สบาย จินเฟยเหยาพาอวี้จูขึ้นลงค้นหารอบหนึ่ง ขนาดเตียงยังถูกนางฟันเป็นชิ้นๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกำแพงที่อาจจะเป็นห้องลับ ชั่วครู่ ตึกเล็กๆ ก็ถูกจินเฟยเหยารื้อทั้งหลัง
นางรื้อตึกเล็กๆ แล้วยังไปค้นในทางเดินศิลาแต่ละสายอีกรอบหนึ่ง นางไม่ได้เข้าไปในถ้ำศิลาที่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเหล่านี้อาศัยอยู่ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าด้านในไม่มีสิ่งของ ต่อให้มีบนประตูเหล็กก็มีวงเวทป้องกันพลังวิญญาณ ถ้าตนเองเข้าไปแล้วมีคนปิดจากข้างนอก นั่นคือหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ
“ยากจนเกินไปแล้ว คนเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่อย่างไรกันแน่!” จินเฟยเหยาเดินออกมาด้วยใบหน้าขมขื่นพลางส่งเสียงบ่นอย่างไม่พอใจ
นางรื้อวังต้งหวงทั้งหมดเป็นชิ้นๆ จึงหาวงเวทหลบหนีสวรรค์พบอย่างยากเย็น อย่างอื่นล้วนเป็นขยะที่ทำให้คนเห็นอยากหลั่งน้ำตา ลำบากท่านอ๋องหมาจื่อแล้วจริงๆ เพียงยางดอาหารที่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นฝึกปราณก็ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างรัดเข็มขัดแล้ว
จินเฟยเหยาหายาพบไม่มาก มีเพียงยี่สิบสามสิบเม็ด นางแบ่งให้พวกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ท้องโตและร่างกายอ่อนแอเป็นพิเศษ แบ่งให้คนละส่วนก็ไม่ได้ หนึ่งเม็ดต้องแบ่งสองส่วนสามส่วน ให้ทุกคนจัดการท้องก่อน
ฉวยโอกาสขณะที่คนเหล่านี้หาที่นั่งสมาธิด้านข้างและใช้พลังวิญญาณทำให้สิ่งที่อยู่ในท้องกลายเป็นความว่างเปล่า จินเฟยเหยาที่อยู่ทางด้านข้างหยิบหมึกยันต์และกระดาษยันต์ออกมาแล้วเริ่มวาดยันต์
“ผู้อาวุโสจิน ท่านหลอมสร้างยันต์อะไร” อวี้จูอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงนั่งยองๆ ลงข้างจินเฟยเหยาและเอ่ยถามอย่างสงสัย ขอเพียงยาในตัวนางไม่ใช่สิ่งล้ำค่าเป็นพิเศษก็แบ่งให้ทุกคนจนหมด
“ทำยันต์ถ่ายทอดเสียงนิดหน่อย พรุ่งนี้ให้พวกนางถ่ายทอดเสียงไปบอกสำนักตนเองให้พวกเขามารับ” จินเฟยเหยาก้มหน้า ระหว่างที่เอ่ยวาจาก็วาดยันต์ถ่ายทอดเสียงใบหนึ่งออกมา จากนั้นค่อยใช้สองนิ้วกดบนกระดาษยันต์ บังคับให้พลังวิญญาณเข้าไป ยันต์ถ่ายทอดเสียงมีแสงสว่างวาบขึ้นก็หลอมสร้างยันต์ใบหนึ่งเสร็จสิ้น
ฝีมือของนางรวดเร็วอย่างยิ่ง โดยพื้นฐานแล้วไม่ผิดพลาดทำให้อวี้จูอิจฉาอย่างยิ่ง “ผู้อาวุโสจิน ฝีมือการหลอมสร้างยันต์ของท่านชำนาญยิ่ง มีพรสวรรค์มาก ผู้อาวุโสใจดีจริงๆ คิดได้รอบคอบถึงเพียงนี้ เตรียมยันต์ถ่ายทอดเสียงให้ทุกคน”
“ข้าเป็นคนชั่ว ทั้งยังไม่มีพรสวรรค์เรื่องวาดยันต์เลยสักนิด ข้าใช้ศิลาวิญญาณสร้างขึ้นมา ตอนแรกข้าหลอมสร้างยันต์ร้อยใบก็ไม่สำเร็จสักใบ ที่จริงนกถ่ายทอดเสียงที่โลกวิญญาณเป่ยเฉินใช้ยุ่งยากมาก ต้องกินอาหารต้องถ่ายอุจจาระ ยันต์ถ่ายทอดเสียงใช้ง่ายกว่า ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง หยิบออกมาใช้ปึกหนึ่งในคราวเดียวก็ไม่เป็นไร ใช้นกถ่ายทอดเสียงก็ได้แต่รอให้มันกลับมา” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ วาดยันต์ถ่ายทอดเสียงเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
อวี้จูก็พยักหน้าเอ่ยเห็นพ้อง “ที่จริงออกมานอกสำนัก คนส่วนมากจะพกยันต์ถ่ายทอดเสียง แต่ตอนอยู่ในสำนักล้วนใช้นกถ่ายทอดเสียง อาจจะเคยชินและเป็นไปได้ว่านกถ่ายทอดเสียงดูน่ารักกว่า ยันต์ถ่ายทอดเสียงเย็นชา ใช้แล้วก็หมดไป”
“ชอบสิ่งของที่สวยแต่ภายนอก ถึงน่ารักก็กินแทนข้าวไม่ได้”
“ผู้อาวุโส ท่านพูดแบบนี้เหมือนพวกผู้บำเพ็ญทุกรกิริยา ผู้บำเพ็ญเซียนมีอายุขัยยาวนาน ย่อมต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าบำเพ็ญทุกกรกิริยาทั้งวัน มิใช่ยิ่งมีชีวิตยืนยาวก็ยิ่งมีความทุกข์มากหรือ” อวี้จูเอ่ยพลางทำปากยื่น
จินเฟยเหยามองนางแวบหนึ่งแล้วยิ้มแย้มเอ่ย “คนของตำหนักซวีชิงล้วนเป็นผู้บำเพ็ญทุกรกิริยา ถ้าเจ้าอยากแต่งงานกับเฟิงอวิ๋นจู๋ เกรงว่ามีความคิดแบบนี้คงไม่ดีแน่”
“ไม่นะ ศิษย์พี่เฟิงไม่ใช่คนเช่นนั้น เขาไม่สนใจการฝึกบำเพ็ญ วิ่งไปวิ่งมาทั้งวัน ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่” อวี้จูนั่งยองๆ ใช้สองมือเท้าคาง เอ่ยพลางหรี่ตา
“เจ้าชอบเขามากมิใช่หรือ? ถึงกับไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาชอบที่สุดคือวงเวท วงเวทของเขาร้ายกาจมาก ถ้าเจ้าไม่เอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน แต่ชวนเขาคุยเรื่องวงเวท เขาต้องไม่รำคาญเจ้าแน่ อีกทั้งถ้าจะส่งของขวัญให้เขา ทางที่ดีส่งสิ่งที่เกี่ยวกับวงเวท” จินเฟยเหยาชี้แนะนางอย่างใจดี เช่นนี้ก็ไม่ต้องพัวพันให้ตนเองถ่ายทอดคำพูดถึงเฟิงอวิ๋นจู๋หรือใช้ข้ออ้างว่ามาหานางอีก แอบลับๆ ล่อๆ ผ่านถ้ำเซียนของเฟิงอวิ๋นจู๋วันละสิบกว่าครั้งเพื่อจะได้เห็นเฟิงอวิ๋นจู๋โดยบังเอิญสักแวบ
อวี้จูเอ่ยอย่างรู้แจ้ง “ที่แท้เป็นเช่นนี้ สอบถามข่าวของตำหนักซวีชิงยากมาก ศิษย์พี่เหล่านั้นไม่สนใจคนอื่นเกินไป แต่ละครั้งที่ถามถึงเรื่องของศิษย์พี่เฟิง พวกเขาเพียงแค่ยิ้มแล้วจากไปอย่างสุภาพ โชคดีที่ผู้อาวุโสเป็นคนดีบอกเรื่องนี้กับข้า”
“ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้เจ้ามาส่ายไหวอยู่ต่อหน้าข้าบ่อยๆ ตัวเจ้าอวบอ้วนดูน่ากินมาก ไม่แน่ว่าข้าอาจจะควบคุมตนเองไม่อยู่กินเจ้าเข้าสักวัน” จินเฟยเหยาก้มหน้าเอ่ยยิ้มๆ
“ผู้อาวุโสชอบล้อเล่นจริงๆ ต่อให้กระเพาะท่านใหญ่ ยังจะกินคนได้หรือ” อวี้จูแย้มยิ้มอย่างเบิกบาน
จินเฟยเหยายิ้มอย่างขมขื่น ก้มหน้าลงวาดยันต์ถ่ายทอดเสียงต่อไป พูดความจริงก็ไม่มีคนเชื่อ ตอนพูดเหลวไหลแต่งเรื่องมักจะสำเร็จ หรือว่าข้ามีพรสวรรค์ในการพูดความจริงให้กลายเป็นคำโกหก?
ยันต์ถ่ายทอดเสียงสามร้อยกว่าแผ่น ใช้เวลาไปไม่น้อย พวกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่กำลังกำจัดตัวอ่อนในท้อง เนื่องจากไม่ได้ใช้พลังวิญญาณมานาน สีหน้าที่ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งเปลี่ยนเป็นซีดขาวมากขึ้น
ต้องใช้พลังวิญญาณทำให้สิ่งที่อยู่ในร่างกายของตนเองกลายเป็นความว่างเปล่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ทรมานรอบหนึ่ง ด้วยร่างกายของพวกนางในตอนนี้ต้องล้มฟุบแน่ ถ้าง่ายดายเช่นนั้นจริง จินเฟยเหยาคงกำจัดสัตว์ร้ายที่อยู่ในท้องตัวนั้นทิ้งไปนานแล้ว
พวกนางอยู่ที่นี่รวมทั้งหมดสามวัน ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีทั้งหมดจึงกำจัดตัวอ่อนในท้องได้ เห็นพวกนางหอบหายใจ เหงื่อไหลโซมกาย จินเฟยเหยาก็กระแอมเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน
“ข้ามียันต์ถ่ายทอดเสียง พวกเจ้าหยิบไปคนละใบถ่ายทอดเสียงไปหาสำนัก คาดว่าในหมู่พวกเจ้าคงมีศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ก็ไม่เป็นไร ส่งเพิ่มอีกใบจะได้ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะนึกไม่ออกว่าพวกเจ้าเป็นใคร” จินเฟยเหยานำยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมา ให้พวกนางส่งต่อๆ กันไปคนละหนึ่งใบ
มองพวกนางแบ่งยันต์ถ่ายทอดเสียงกัน จินเฟยเหยาก็เอ่ยอีกว่า “หลังพวกเจ้าเขียนยันต์ถ่ายทอดเสียงเสร็จแล้ว ข้าจะเจาะด้านบน เรื่องที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าอย่าได้พลั้งปาก ที่จริงเรื่องของพวกเจ้าไม่อาจปิดบังผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงได้แน่ แต่แค่ศิษย์ธรรมดาไม่รู้และจะไม่แพร่ไปให้ทั้งสำนักและทั่วโลกเป่ยเฉินได้รับรู้ จึงเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว”
“ผู้อาวุโส พวกเราต่างรู้ดี ต่อให้ซือจุนและอาจารย์เอ่ยถาม พวกเราก็จะขอร้องให้พวกเขามอบทางรอดสายหนึ่ง คาดว่าคงไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้แพร่ออกไป เพราะไม่มีประโยชน์อันใดต่อสำนักตนเอง” มีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีตอบรับ
หยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงก็จะสามารถได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเหล่านี้ยินดีอย่างยิ่ง ขณะที่ยังไม่ได้จากไปก็พากันเอ่ยขอบคุณจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาได้ยินพวกนางเอ่ยขอบคุณไม่หยุด ก็ลูบศีรษะเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ และลำบากเพียงยกมือเท่านั้น อีกทั้งเนื่องจากการย้อนกลับมากลืนกินวิญญาณทารกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าจึงชนะเขาได้ พวกเจ้าไม่ต้องเกรงใจ”
“ผู้อาวุโสจินเป็นคนดีจริงๆ นี่เป็นการทำความดีครั้งใหญ่ ยังถ่อมตัวขนาดนี้” อวี้จูอดเอ่ยชมไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสูงช่างแตกต่างจากคนอื่นๆ จริงๆ ชื่อเสียงและลาภยศล้วนเป็นเมฆและควันที่ผ่านตา[1]
จากนั้น นางก็เห็นจินเฟยเหยาเท้าสะเอวเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเกรงใจ ข้าไม่ต้องการของตอบแทนอะไร ข้าไม่ต้องการสิ่งของล้ำค่า ถ้าใครจะให้ของวิเศษชั้นยอดและหญ้าวิญญาณหมื่นปีแก่ข้า ข้าจะเปลี่ยนท่าทีทันควัน”
“หา?” อวี้จูนิ่งอึ้ง นี่คืออะไร…ดูเหมือนไม่มีใครบอกจะให้สิ่งของแก่นางนะ
จากนั้นก็เห็นจินเฟยเหยาขมวดคิ้วและเอ่ยอย่างลำบากใจ “ตอนนี้ในตัวพวกเจ้าไม่มีอะไรเลย ต่อให้มีสิ่งของทิ้งไว้ที่สำนัก เกรงว่าในสำนักคงนึกว่าพวกเจ้าประสบเคราะห์ สิ่งของอาจถูกยึดไปแล้ว ดังนั้น ข้าเข้าใจเจตนาดีของพวกเจ้า แค่ให้ศิลาวิญญาณชั้นกลางนิดหน่อยหรือสัตว์ปิศาจขั้นห้าขั้นหกก็พอ ถ้ามีหญ้าวิญญาณร้อยปีก็ใช้ได้ ข้าไม่รับสิ่งของที่มีมูลค่าเกินกว่านี้ ได้ยินหรือไม่!”
“…” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีทั้งหมดมองนางราวกับเป็นใบ้ ครุ่นคิดว่าต้องเขียนบนยันต์ถ่ายทอดเสียงเพิ่มอีกหนึ่งบรรทัดว่าให้สำนักนำของตอบแทนมาด้วยหรือไม่ ผู้อื่นพูดถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ให้สิ่งของก็ดูเหมือนจะไม่ไว้หน้ากันเกินไป
ดูเหมือนปฏิกิริยาของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเหล่านี้จะเป็นไปตามเจตนาของจินเฟยเหยา นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “ทุกคนไม่ต้องขัดเขิน นี่เป็นความยินยอมของข้าเองที่ไม่อยากจะรับสิ่งล้ำค่ามาก ตกลงตามนี้นะ ไม่ต้องรู้สึกไม่สบายใจ”
“เจ้าค่ะ…” ในใจไม่รู้ว่าเป็นรสชาติใด นอกจากตอบรับว่าเจ้าค่ะก็พูดอย่างอื่นไม่ออก ขอเพียงออกไปได้ ต้องการสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น วันเวลาที่อยู่มิสู้ตายแบบนี้มากจนเกินพอแล้ว
จินเฟยเหยาปัดๆ มือแล้วเรียกทงเทียนหรูอี้ออกมาอย่างยินดี เริ่มขุดด้านบนผนังถ้ำ พลั่วขนาดยักษ์ขุดก้อนหินด้านบน ก้อนหินร่วงลงมาก้อนแล้วก้อนเล่าราวกับเต้าหู้ ทั้งหมดร่วงลงหลุมลาวา ไม่รู้ว่าด้านบนเป็นสถานที่ใด ถ้ายังอยู่ในเมืองเซียนเหม่ยก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นบ้านหรือถนนใหญ่ ดังนั้นจินเฟยเหยาต้องตื่นตัว เกรงว่าจะขุดเอาคนธรรมดากลุ่มหนึ่งลงมาและร่วงลงในลาวากลายเป็นเนื้อย่าง
“ไม่ถูกสิ สิ่งที่ข้าได้ยินและได้เห็นเมื่อครู่ต้องเป็นเสียงหลอนและภาพมายาแน่ๆ” อวี้จูยังไม่ได้สติคืนมา เอ่ยพึมพำกับตนเองไม่หยุด
คำพูดของจินเฟยเหยาเมื่อครู่ทำลายภาพลักษณ์อันสูงส่งของนางในใจอวี้จูทันที จนถึงตอนนี้อวี้จูก็ยังไม่ได้สติคืนมา เพราะเหตุใดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมจึงพูดแบบนี้ออกมาต่อหน้าคนมากมายได้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณก็คงไม่กล้าพูด อวี้จูจมดิ่งลงในความสับสนของตนเอง ยืนอยู่ด้านข้างมีปมปัญหาที่แก้ไม่ออกอยู่เต็มสมอง
……………………………….
[1] เมฆและควันที่ผ่านตา หมายถึง ไม่ยึดติด และไม่เห็นความสำคัญกับสิ่งของนอกกาย